บล็อกนี้ไม่มี VIP ค่ะ ทุก ๆ คนเป็น VIP อยู่แล้ว เมื่อคลิกเข้ามา
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
24 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
<<>>แนวทางการดูแลบ้านก่อนและหลังน้ำท่วม<<>>

<<>>แนวทางการดูแลบ้านก่อนและหลังน้ำท่วม<<>>














บัญญัติ 20 ประการ เตรียมบ้านก่อนน้ำท่วม




1. ดูทางน้ำที่จะมาสู่บ้าน แล้วจะไปทางไหนได้บ้าง



2. กำแพงบ้านไว้กันน้ำได้ แต่ต้องระวังรั้วพัง

หากระสอบทรายมาวางไว้ในบ้าน วางไว้ติดชิดกับรั้ว ยามเมื่อรั้วจะเอียงเพราะว่าน้ำที่ท่วมกดน้ำหนักมาอีกด้านหนึ่ง กระสอบทรายก็จะทำหน้าที่ช่วยรับน้ำหนักไว้ ถ่ายแรงจากรั้วมา




3. น่าจะมี "ปืน" ไว้สู้ฝน สู้น้ำท่วม จัดการกับ "รูรั่ว"

น่าจะมีวัสดุอุดประสานรอยจำพวกซิลิโคน หรืออะคริลิค หรือโพลี่ยูริเทน เอาไว้เพื่ออุดรอยเหล่านี้ ซึ่งทำได้ด้วยตัวเอง แต่การที่จะใช้วัสดุ ประสานที่มีความยืดหยุ่นและอยู่ในหลอดแข็งๆนี้ได้ จะต้องมีอุปกรณ์การ "ฉีด" ซึ่งภาษาช่างทั่วไปเขาเรียกกันว่า "ปืน"






4. อย่าให้ต้นไม้ล้มทับบ้าน

ระวังต้นไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นไม้ที่ล้อมจากที่อื่นมาปลูก เพราะไม่มี "รากแก้ว" หรือกิ่งต้นไม้ที่ค่อนข้างเปราะ (เช่น ต้นประดู่กิ่งอ่อน) ต้องทำการเล็มกิ่งหรือตัดกิ่งบางกิ่งออกไปเสีย ต้องค้ำยันลำต้นเอาไว้ให้ดี ก่อนน้ำจะท่วม อีกอย่างตอนน้ำท่วมห้ามให้ปุ๋ยต้นไม้ เพราะจะทำให้รากเน่าเร็วขึ้น




5. ตรวจสอบถังน้ำใต้ดิน

ต้องตรวจสอบ "ฝา" ของถังน้ำใต้ดินให้ดี ๆ หากฝาของถังน้ำมีระบบป้องกันน้ำเข้าไม่ดี น้ำสกปรกที่ท่วมเข้ามา ก็จะไปปนกับน้ำสะอาดในถังน้ำ ปัญหาเรื่องโรคภัยต่าง ๆ ก็จะตามเข้ามาหาตัวเราทันที

หากไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องน้ำเล็ดลอดเข้ามาในถัง ก็ขอให้ต่อท่อน้ำตรงจากท่อประปาหน้าบ้าน เข้ามาที่ตัวบ้านเลย




6. ตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้านอกบ้าน ตัดกระแสไฟเสีย

ปั๊มน้ำ เครื่องปรับอากาศ ไฟสนาม และกริ่งหน้าบ้าน ต้องหาสวิตร์ตัดไฟให้พบว่า จะต้องตัดไฟตรงไหนไม่ให้ไฟฟ้าวิ่งเข้าไปที่อุปกรณ์เหล่านั้นได้ ยามเมื่อน้ำท่วมเข้ามา ต้องทำการตัดไฟตรงนั้นเสีย

ส่วนการย้ายเครื่องมือย้ายอุปกรณ์เหล่านั้นในตอนนี้ หากแน่ใจว่าน้ำท่วมแน่ และมีช่างมาช่วยย้าย หรืออาจจะต้องยอมให้อุปกรณ์เหล่านั้นแช่น้ำไปก่อนตอนน้ำท่วม




7. ป้องกัน งู เงี้ยว เขี้ยว ขอ ตะกวด และสัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ

ต้องมั่นใจว่า "รู" ต่าง ๆ ของบ้านต้องโดน "อุด" ไว้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นรูที่ประตูหน้าต่าง หรือที่ผนังบ้าน "รูจากท่อระบายน้ำ" ที่พื้นบ้าน อาจจะมีการโรย "ปูนขาว" ล้อมรอบบ้านเอาไว้ด้วยก็ได้




8. เรื่องส้วม

ระบบส้วมที่เป็นระบบบ่อเกรอะ บ่อซึมแบบเดิม ที่น้ำจากการบำบัดจะต้องซึมออกสู่ดิน แต่พอน้ำท่วม น้ำจากดินภายนอกจะซึมเข้ามาในบ่อ ก็ทำให้บ่อเกรอะเต็มไปด้วยน้ำ ส้วมก็จะ "อืด และ ราดไม่ลง" หากน้ำจากภายนอกท่วมมาก มีแรงดันมาก ก็อาจจะเกิดอาการ "ระเบิด" ทำให้สิ่งปฏิกูลต่างๆ พุ่งกลับมาที่โถส้วม

ในกรณีนี้ ต้องป้องกัน ต้องปิดโถส้วมให้ดี หากเป็นโถส้วมนั่งราบที่มีฝาปิด ก็ต้องปิดฝาให้แน่น เอาเชือกผูกเอาไว้ หากเกิดอาการพุ่งขึ้น ก็จะไม่เรี่ยราดทำความสะอาดยาก กรณีนี้ทำเฉพาะโถส้วมชั้นล่างก็พอ เพราะน้ำคงไม่ท่วมถึงชั้นสอง

กรณีที่เป็นบ่อบำบัดสำเร็จ ซึ่งทำงานโดยไม่ต้องมีบ่อเกรอะบ่อซึม ในเวลาปกติจะบำบัดจนเสร็จภายในถังเอง แล้วก็จะระบายน้ำที่บำบัดเสร็จแล้วลงท่อระบายน้ำนอกบ้าน ยามเมื่อน้ำท่วม น้ำจากบ่อบำบัดจะไหลระบายออกไปไม่ได้ เพราะระดับน้ำที่ท่วมอยู่สูงกว่าบ่อบำบัด ซึ่งเป็นการแก้อะไรไม่ได้ ต้องปล่อยไว้อย่างนั้น

ถังบำบัดสำเร็จบางรุ่นจะมีมอเตอร์อัดอากาศเข้าไป (ซึ่งในบ้านส่วนใหญ่จะไม่ใช้รุ่นนี้) ก็ต้องตรวจดูว่ามอเตอร์อยู่ที่ไหน หากมอเตอร์น่าจะอยู่ในระดับที่น้ำท่วมถึง ก็ต้องตัดกระแสไฟไม่ให้เข้าไปสู่ตัวเครื่องกลนั้น

ทั้งนี้สิ่งที่ต้องระวังก็คือ "ท่อหายใจ" ที่เป็นท่อระบายอากาศของระบบส้วม หากท่อหายใจอยู่ระดับต่ำ ก็ต้อง "ต่อท่อ" ให้มีระดับสูงขึ้นให้ได้ จะต่อแบบถาวรก็ได้ หรือจะต่อแบบท่อไม่ถาวร ก็คือเอาสายยางธรรมดา มาครอบท่อหายใจเดิม แล้วก็ยกให้ปลายท่อนั้นอยู่สูงขึ้นกว่าระดับน้ำที่คาดหมายว่าจะท่วม ท่อหายใจนี้จะเป็นอุปกรณ์สำคัญมากในการช่วยระบายความดันภายในระบบส้วม ไม่ให้สิ่งปฏิกูลมีแรงดันมากเกินไป




9. ปลั๊กไฟ สวิตช์ไฟ ตรวจสอบและแยกวงจร

หากมีการแยกวงจรไฟฟ้าไว้ตั้งแต่แรก คือวงจรไฟฟ้านอกบ้าน วงจรไฟฟ้าชั้นล่าง และวงจรไฟฟ้าชั้นบน ก็ต้องปิดวงจรไฟฟ้านอกบ้านเมื่อน้ำท่วมนอกบ้าน หากน้ำสูงขึ้นมาจนเข้าในตัวบ้าน ก็ต้องปิดวงจรไฟฟ้าชั้นล่าง หากน้ำสูงขึ้นถึงชั้นสอง น่าจะหาทางออกจากบ้านเพื่อย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว เพราะสวิตช์หลักของบ้านโดยทั่วไปจะอยู่ที่ชั้นล่างระดับประมาณ 1.8 เมตรจากพื้นห้อง

กรณีที่วงจรไฟฟ้าชั้นล่างแยกวงจรออกมาเป็นระดับปลั๊กด้านล่างและระดับสวิตซ์บน ก็ค่อย ๆ ตัดวงจรปลั๊กชุดล่างก่อนตามระดับน้ำที่ท่วมขึ้นมา หากไม่มีการจัดวงจรเอาไว้อย่างเป็นระบบตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เราต้องค่อยๆทำการทดสอบอย่างใจเย็น ๆ ว่าปลั๊กหรือสวิตช์ชุดใดจะมีการตัดวงจรไฟฟ้าจากคัทเอาท์หลักบ้าง แล้วทำโน้ตบันทึกเอาไว้ หากเมื่อน้ำท่วมเมื่อไร ก็จะได้ทราบว่าต้องตัดวงจรชุดใดก่อน (ตัดวงจรส่วนที่ถูกน้ำท่วม) อาจจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากหน่อยที่จะตรวจสอบ แต่ก็ต้องใจเย็น ๆ และตั้งใจที่จะตรวจสอบ

ในกรณีที่วงจรบางวงจรที่ควบคุมทั้งปลั๊กหรือสวิตช์ตัวล่างกับปลั๊กหรือสวิตช์ตัวบน ก็จำเป็นต้องตัดวงจรทั้งหมด ห้ามเสี่ยง

อุปกรณ์ไฟฟ้าอาจขนย้ายขึ้นไปไว้ชั้นบนก่อน ยังไม่ต้องใช้ตอนนี้ก็ได้เช่น เตาไฟฟ้า เครื่องปิ้งขนมปัง เครื่องตีไข่ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องชาร์จโทรศัพท์ ฯลฯ ส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ยังต้องใช้งานอยู่ ก็ต้องเตรียมการขนย้ายขึ้นข้างบนเอาไว้เลย เช่นเครื่องไมโครเวฟ โทรทัศน์ วิทยุ เป็นต้น ส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ การขนย้ายยุ่งยาก และหาที่วางยาก เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ฯลฯ ก็ต้องวางแผนว่าจะเอาอย่างไร ในการย้ายหรือจะวางทิ้งไว้อย่างนั้น

เรื่องไฟฟ้าเป็นอันตราย และน้ำเป็น "สื่อไฟฟ้า" ดังนั้นเรื่องไฟฟ้าในบ้าน จึงเป็นสิ่งแรกที่ต้องมีการตรวจสอบและเตรียมการ




10. ตรวจสอบว่าประตูหน้าต่างแน่นหนาและแข็งแรง

ตรวจสอบความแข็งแรง ต้องใช้ "กลอน" ช่วยรับน้ำหนักทางด้านข้างด้วย การลงกลอนในบานประตูและหน้าต่างที่ไม่ได้ใช้เป็นปกติธุระ น่าจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะป้องกันน้ำวิ่งเข้ามาที่ตัวบ้านของเราได้

หากหนักหนาจริง ๆ ต้องเอาไม้มาตีพาดขวางช่วยรับแรง หรือเอาของหนักๆมาวางช่วยดันประตูเอาไว้ (ต้องเป็นประตูด้านที่ไม่ใช้โดยปกติ ไม่เช่นนั้นอาจจะมีปัญหาตอนที่เราจะหนีออกจากบ้าน)




11. เตรียมระบบสื่อสารทุกประเภทเอาไว้ให้พร้อม

ระบบสื่อสารทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบโทรศัพท์ปกติ หรือโทรศัพท์มือถือ ระบบอินเทอร์เน็ตทั้งมีสายและไร้สาย วิทยุ โทรทัศน์ หรือ อุปกรณ์สื่อสารพิเศษอย่างอื่น (เช่น ระบบดาวเทียม วอร์คกี้ทอร์คกี้ เป็นต้น) เพราะการรับข่าวสาร และการติดตามข่าวสารเรื่องภัยน้ำท่วมเป็นเรื่องสำคัญ และไม่น่าจะเกิดความผิดพลาดในทุกวินาที

และหากน้ำท่วมแล้ว การขอความช่วยเหลือหรือสอบถามข้อมูลเพื่อการช่วยเหลือตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ แต่อาจจะมีผู้เดือดร้อนคนอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือต้องการคำปรึกษาจากเรา ก็สามารถติดต่อกับเราได้ ต้องคนละไม้คนละมือเสมอ




12. ชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง

ไฟฉาย วิทยุ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ มือถือ หรือแม้กระทั่งกล้องถ่ายภาพ ฯลฯ จะต้องมีการชาร์จไฟไว้ให้เต็มร้อยตลอดเวลา เพราะยามน้ำท่วม ระบบไฟฟ้าทั้งหมดอาจติดขัด

นอกจากอุปกรณ์ไฟฟ้าจะต้องชาร์จไฟให้เต็มที่แล้ว การใช้อุปกรณ์เหล่านั้นเมื่อไฟฟ้าปกติไม่มา จะต้องประหยัดไฟด้วย เพื่อความมั่นใจว่าอุปกรณ์เหล่านั้นจะทำงานได้เต็มที่ยามฉุกเฉิน เตรียมอุปกรณ์อื่นเสริมอีกด้วย เช่น ไม้ขีดไฟ เทียนไข เป็นต้น




13. ย้ายของทุกอย่างให้อยู่ในที่ที่เหมาะสม

รถยนต์ ถังกาซ เฟอร์นิเจอร์ หนังสือ ของขวัญ รูปภาพ ฯลฯ ขอให้ย้ายไปสู่ที่ที่เหมาะสม ซึ่งที่ที่เหมาะสมนั้นอาจจะอยู่ในตัวบ้าน หรือจะย้ายออกไปเก็บไว้นอกบ้าน สถานที่อื่นที่คิดว่าปลอดภัย

หลายคนเป็นอันตรายเนื่องจาก "ห่วงของ" ลุยน้ำกลับไปกลับมาเพื่อขนของ และหลายครั้งที่ขนของออกมาแล้ว แต่ไม่มีที่วาง ก็จำต้องวางไว้ในที่ที่ไม่ปลอดภัย ปรากฏว่าถูกผู้ชั่วร้ายใจทรามขโมยต่อไปด้วย





14. ใช้พลาสติกซึ่งเป็นวัสดุที่ไม่กลัวน้ำให้เป็นประโยชน์

พลาสติกจะเป็นวัสดุอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์มากจนคาดไม่ถึงได้ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ "ห่วงยาง"




15. เตรียมอาหาร น้ำดื่ม และยาให้พร้อม

"อาหาร" ต้องเตรียมให้เพียงพอประมาณ 3 วัน ยาหลัก ๆ ก็คือ ยาแก้ปวด ยากแก้ไข้ ยาแก้ท้องเสีย ยารักษาโรคน้ำกัดเท้า ยาล้างแผล ยาแก้แพ้ ยากันแมลงและยาของโรคประจำตัว




16. บ้านชั้นเดียว ต้องตรวจสอบหลังคาด้วย

บ้านชั้นเดียว หลังคาหรือส่วนของหลังคาจึงเป็นพื้นที่หลบภัยได้ชั่วคราว จึงต้องตรวจสอบทางหนีทีไล่ กรณีที่ต้องขึ้นไปหนีภัยบนหลังคา ซึ่งอาจจะขึ้นไปทางฝ้าเพดาน (กรุณาอย่าลืมตัดวงจรไฟฟ้าที่บ้านทั้งหมดก่อนจะขึ้นไปบนฝ้าเพดานสู่หลังคา)




17. ระวังโจร ระวังมาร ระวังผู้ชั่วร้าย

อย่าเก็บของมีค่าไว้ในบ้าน เอาไปฝากที่อื่นก่อน เงินทองไม่จำเป็นที่ต้องพกมาก และคอยเฝ้าสังเกตบุคคลที่น่าสงสัย การส่งเสียงดัง ๆ ในบางครั้ง จะเป็นอาวุธป้องกันตัวได้




18. เพื่อนบ้าน ต้องร่วมด้วยช่วยกัน

อย่าต่อสู้หรือป้องกันภัยคนเดียว ต้องสื่อสารกัน วางแนวทางการป้องกัน หากตอนนี้เหล่าเพื่อนบ้านยังไม่มีการเคลื่อนไหวร่วมกัน เราก็อาจจะเป็นแกนตัวเล็ก ๆ ที่จะเป็นผู้เริ่มต้นได้ อย่ากลัวใครเขาหมั่นไส้ หากเราเป็นคนดี มีจิตใจดี ทุกคนจะเข้าใจ




19. เตรียมทางหนีทีไล่เพื่อออกจากบ้าน

ทางหนีจากกรณีน้ำท่วมบ้าน ต้องคิดให้จบว่าจะหนีด้วยอะไร มีเรือหรือห่วงยางหรือไม่ มีเชือกสาวตัวเองหรือไม่ จะพกอะไรติดตัวไปบ้าง (ที่สามารถพกพาแบกหามไปได้) และจะมุ่งหน้าไปทางทิศใด มุ่งหน้าไปไหน และจะไปหยุดที่ใด พักที่ใด กับใคร ทุกอย่างต้องคิดเป็นกระบวนการ และคิดให้จบวงจรไว้แต่แรก




20. ตั้งจิตให้มั่น ตอนนี้ "สติ" สำคัญที่สุด

อย่าเพิ่งด่าใคร ต้องตั้งสติ และคิด และเตรียมการอย่างเป็นระบบ เราต้องรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ อย่างทันต่อเหตุการณ์จากคนที่เชื่อถือได้ ต้องฟังวิทยุ หรือแม้แต่ติดตามทางอินเทอร์เน็ต (เช่น thaiflood.com หรือ flood.gistda.or.th เป็นต้น)













แนวทางการดูแลบ้านหลังน้ำท่วม





1. น้ำท่วมแล้ว น้ำลดแล้ว บ้านมีปัญหา เริ่มต้นที่ไหนดี

หากคิดจะแก้ปัญหาบ้านหลังน้ำท่วม เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าปัจจุบัน (แม้ไม่สามารถจะเปรียบเทียบเท่ากับอดีต) แนะนำในฐานะลูกหลาน พี่น้องว่าน่าจะเริ่มต้นดังนี้

1.) อย่าซีเรียสว่า ทำไมน้ำถึงท่วม ราชการหรือรัฐบาลไปอยู่ที่ไหน เพื่อน ๆ ในถิ่นอื่นทำไมบ้านเขาน้ำไม่ท่วม ฯลฯ เพราะนั่นไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหา "บ้านหลังน้ำท่วม" ที่กำลังจะคุยกัน

2.) ตรวจสอบด้วยจิตอันนิ่งๆว่า บ้านเราเกิดปัญหาใดเพิ่มขึ้นบ้าง เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนน้ำท่วม เช่นรั้วเอียง ปาเก้ล่อน แมลงสาบหายไปไหน ค่าไฟเพิ่ม ฯลฯ และ ทำบันทึกไว้เป็นข้อ ๆ ให้อ่านง่ายจดจำง่าย (ภาษาฝรั่ง เรียกว่าทำ Check List)

3.) ถามตนเองว่าสภาพการเงินเป็นอย่างไร มีเงินจะใช้สำหรับการซ่อมแซมเท่าไร (รวมถึงการกู้ยืมแหล่งอื่น แต่ไม่รวมการโกง บ้านกินเมือง) จะได้วางแนวทางการจ่ายเงินอย่างมีขีดจำกัด และมีความเป็นไปได้

4.) เปิดบันทึกนี้อ่านให้จบ อย่าโกรธหากบางตอนของบันทึกนี้มีรูปตลกเกินไป หรือเขียนแบบสบาย ๆ เกินไปบ้างในบางประโยค









2. น้ำไม่ท่วมบ้าน แต่ท่วมถนนซอยหน้าบ้าน ต้องทำอะไรไหมหนอ

น้ำไม่ท่วมตัวบ้าน หรือแม้แต่บริเวณสนามหญ้าในบ้าน แต่ท่วมที่ถนนหน้าบ้านอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ก็ไม่น่าจะวางใจนัก เพราะ ส่วนที่บ้านเรากับทางสาธารณะ จะต้องเชื่อมประสานกันมากที่สุด และเรามักจะมองข้ามไปก็คือ "ท่อระบายน้ำ" ที่ถ่ายเทน้ำจากบ้านเรา ระบายออกสู่ท่อระบายน้ำของหลวง

ในยามที่น้ำท่วมทางสาธารณะ แน่นอนน้ำจะต้องท่วม ท่อระบายน้ำของหลวงท่านด้วย น้ำในบ้านเราก็เลยไม่ระบายออก แถมในทางกลับกัน น้ำในท่อระบายน้ำสาธารณะ อาจจะไหลกลับเข้าสู่บ้านเราได้

เมื่อมีการไหลกลับเช่นที่ว่า นอกจากจะพาเอาน้ำเข้ามาแล้ว ยังน่าจะพาเอาเศษดินโคลนต่าง ๆ เข้ามาด้วย เมื่อน้ำค่อย ๆ ลดลง เศษดิน โคลน ก็จะกองติดอยู่ในท่อระบายน้ำบ้านเรา ท่อระบายน้ำบ้านเราที่เล็กอยู่แล้ว ก็จะเกิดอาการอุดตัน หรือมีพื้นที่ว่างเหลือน้อยกว่าปกติ แนวทางในการแก้ไขและข้อควรจะระวัง น่าจะมีดังต่อไปนี้

หากเป็นท่อระบายน้ำระบบมีฝาเปิดตลอดแนว ก็เปิดฝาแล้วตักไอ้เจ้าดินโคลนเศษขยะนั้นออก

หากเป็นท่อระบบไม่มีฝาเปิดตลอด ก็เอาไม้ยาว ๆ ควานดู (แบบที่เขาขุดลอกท่อระบายน้ำของ กทม. นั่นแหละครับ) หากทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ทำไม่ไหว ขี้เกียจทำ ก็ไปจ้างคนอื่นเขาทำ แต่ขอร้องเถอะครับ อย่าเอาตัวมุดลงไป ในท่อแล้วทำเอง เพราะอาจไม่ได้กลับออกมา

อย่าพยายามใช้น้ำฉีด เพราะจะเปลืองน้ำมากและยังคงทำความสะอาดท่อลำบาก แถมยังทำบาปกับคนอื่นเขา เพราะ เจ้าเศษโคลน ทั้งหลายจะระบายลงสู่ ท่อสาธารณะ ทำให้ท่อของหลวงท่าน อุดตันตื้นเขิน …อันเป็น สาเหตุ หนึ่ง ที่ทำให้น้ำท่วมบ้าน ท่วมเมือง เนื่องจากระบายน้ำไม่ได้ อย่างที่น่าจะเป็น

เมื่อทำการกวาดล้างเสร็จแล้ว ลองตรวจสอบอีกครั้งดูว่าระดับน้ำในท่อระบายน้ำเรานั้นไหลไปทางไหน ขอให้แน่ใจว่า จะไหลออกจากบ้านเรา สู่ท่อสาธารณะ หากยังไหลกลับทางกัน กรุณากลับไปอ่าน ข้อที่หนึ่งใหม่

หากหน้าบ้านท่านไม่มีท่อระบายน้ำสาธารณะ ก็ให้ตรวจสอบว่าน้ำไหลไปทางไหน ระบายออกทางไหน และให้ถือว่า จุดที่น้ำระบายออก จากบ้านเรา เป็นทางสาธารณะไปก่อน (หวังว่าบ้านท่านคงจะ ไม่ระบายน้ำ สะเปะสะปะ ผิดกฎหมายนะครับ)









3. รั้วคอนกรีตที่แข็งแรงของผม ต้องตรวจดูอะไรหลังน้ำลดไหม

น้ำคือองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของธรรมชาติ และธรรมชาติเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เกินกว่าที่มนุษย์จะไปท้าทายแข่งขัน รั้วคอนกรีตของท่าน คงจะไม่สามารถฝืนกฎนี้ได้

ปัญหาที่อาจจะเกิดกับรั้วของท่านก็เป็นเรื่องจากยามน้ำท่วม ดินที่ฐานรั้วท่านอาจจะอ่อนตัวลง ความสามารถในการ รับน้ำหนัก อาจจะน้อยลง หรือระดับที่ดินในบ้านกับนอกบ้านท่านมีระดับแตกต่างกัน ยามเมื่อน้ำที่ท่วมลดลง อาจจะเกิดแรงดูด ทำให้รั้วของท่าน เอียงไปก็ได้ หรือในขณะที่น้ำท่วมรั้วของท่าน อาจต้องทำหน้าที่เป็น "เขื่อน" ที่ต้องรับน้ำหนักน้ำเป็นอย่างมาก ความสามารถในการรับน้ำหนักอาจ "คลาก" ความแข็งแรงลดลงไปได้ ดังนั้นเพื่อความมั่นใจกรุณาตรวจสอบ และหาแนวทางแก้ไขดังนี้

ใช้สายตาของท่านเล็งดูว่ารั้วของท่านยังตั้งฉากอยู่ดีหรือไม่ หากมีการเอียงเล็กน้อยก็เอาไม้ค้ำยันด้านที่เอียงออก เอาไว้ก่อน มีสตางค์เมื่อไรก็รีบซ่อมทันที

หากตรวจสอบแล้วปรากฏว่ารั้วของท่านเอียงมาก เอียงจนแนวออกหรือจะออกนอกแนวศูนย์ถ่วง (C.G.) ต้องรีบซ่อมแซมทันที (โดยช่างก่อสร้าง ที่พอจะมีความรอบรู้) หากยังไม่มีงบประมาณ ก็ต้องค้ำยันไว้ อย่างแน่นหนามาก ๆ เพราะน้ำหนักรั้วที่แข็งแรงของท่านนั้นหนักมาก (ไม่เชื่อลองไปนอนให้รั้วพังทับดูก็ได้ไม่ว่ากัน)

หากรั้วของท่านมีคานคอดิน (คานตัวล่างสุดที่อยู่ใกล้ระดับดิน) รับน้ำหนักรั้วอยู่ พอน้ำลดลง น้ำอาจพาดิน ใต้คานคอดินของท่าน ออกไปด้วย ก็จะเกิดรูโพรงใต้คานรั้วของท่าน อันอาจเป็นเหตุให้สัตว์ต่าง ๆ เดิน - วิ่ง - มุด - เลื้อย เข้าไปในบ้าน ของท่านได้ หรือไม่ก็ทำให้ดินของท่านไหลออกจากบ้านสู่ทางสาธารณะไปเรื่อย ๆ ภายหลัง (อันทำให้ดินของท่าน หมดสนาม และถนนสาธารณะต้องสกปรก) ก็ขอให้เติมดินอัดกลับเข้าไป ให้คงเดิม

นอกจากจะตรวจดูที่รั้วบ้านแล้ว ท่านน่าจะต้องตรวจดูที่ประตูรั้วท่านด้วย เพราะประตูส่วนใหญ่ จะทำด้วยเหล็ก หรือไม้ (พวกอัลลอยด์ไม่ค่อยเป็นอะไร ยกเว้นบริเวณบานพับหรือกลอนที่อาจจะทำด้วยเหล็ก) อาจมีอาการผุกร่อนได้ ทำให้บานประตูไม่สามารถปิดได้เหมือนเดิม หรืออาจจะหลุดออกมาทั้งบาน !!! ทำการผูกรัดให้แข็งแรงเสีย มีเงินเมื่อไร อย่าลืมควักออกมาซ่อมแซมก็แล้วกัน









4. ช่วยด้วย ต้นไม้บ้านหนู เขากำลังจะตายกันหมด

น้ำท่วมคราวนี้คร่าชีวิตต้นไม้ไปมากมาย ทั้งพืชทางเศรษฐกิจและพืชที่เราปลูกกันไว้ในบ้าน หากบ้านใดน้ำท่วมเป็นเวลานาน ต้นไม้ต้นหญ้าขนาดเล็ก จะต้องตายหมดแน่นอน แนวทางการแก้ไขก็คือ ต้องเริ่มต้นปลูกกันใหม่ (ต้นไม้เขาตายไปแล้ว เรามิใช่เทวดาที่จะเรียก ให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้) แต่ต้นไม้บางต้นที่ยังไม่ถึงที่แต่ก็กำลังจะถึงที่ตาย มีแนวทางที่ เรา จะช่วยเหลือเยียวยาเขาได้ ลองทำดังนี้ดูนะครับคุณหนู

อย่าให้ปุ๋ยเด็ดขาด (ทั้งปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ปุ๋ยธรรมชาติ หรือปุ๋ยนางงามจักรวาล) เพราะน้ำท่วมทำให้รากต้นไม้ อ่อนแอ เขาต้องการ เวลาพักฟื้นตัว ไม่ใช่ต้องการปุ๋ย (อย่างคนอาการโคม่า ย่อมไม่ต้องการรับประทาน สเต๊ก เนื้อสันฉันนั้น)

ขุดหลุมเล็กขนาดลึกสัก 50 ซม. ถึง 1 เมตร ไว้ข้าง ๆ ต้นไม้นั้น เพื่อให้น้ำที่ขังอยู่บริเวณรากไม้ไหลลงสู่หลุมที่เราขุด เป็นการช่วยอาการรากสำลักน้ำได้ แล้วก็คอยเอาเครื่องดูดน้ำเล็ก ๆ (ภาษาชาวบ้านเรียกเจ้าเครื่องนี้ว่า ไดรโว่ ราคาประมาณ สองถึงสามพันบาท) คอยสูบน้ำออก แต่หากไม่มีกะตัง จะซื้อเครื่องสูบน้ำนี้ ก็ต้องออกแรงขุดหลุม กว้างหน่อย (อย่ากว้างมาก จนต้นไม้เขาล้ม) แล้วใช้ขันหรือถังค่อย ๆ เอื้อมมือตักน้ำออก

หากเห็นว่า รากต้นไม้ไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะยึดลำต้นเอาไว้ กรุณาอย่าอัดดินลงไปให้แน่นเป็นอันขาด ต้นไม้เขาจะรีบ ๆ ตาย ทันที ให้ใช้วิธีดามหรือค้ำยันลำต้นเอาไว้แทน รอจนรากเขาแข็งแรงเหมือนเดิม แล้วจึงเอาไม้ดามไม้ค้ำยันออก

ขอให้หนูโชคดีในการรักษาต้นไม้เอาไว้ หากโชคร้ายเขาต้องตายจากไป กรุณาปลูกขึ้นมาใหม่ เพราะต้นไม้หนึ่งต้น ขนาดต้นมะม่วงบ้านเรา จะถ่ายเทความร้อนได้เท่ากับเครื่องปรับอากาศ 1 ตัน แถมยังมีร่มเงาให้เราอีก ผลิตอากาศบริสุทธิ์ ให้เราใช้ กรองเสียงและกรองฝุ่นออกจากตัวบ้านเรา เราจะได้ใช้ไฟฟ้าให้น้อยลง ประเทศเราจะได้ไม่ต้องตัดไม้ทำลายป่าสร้างเขื่อน และน้ำก็จะท่วมประเทศไทยน้อยลง เราก็จะลำบากน้อยลง





5. ปาเก้บ้านดิฉัน กลายเป็นปลาลอยน้ำ น่าปาทิ้งไหมคะ ?

ก่อนอื่นต้องขอภาวนาว่าพื้นปาเก้ที่บ้านคุณนั้น เป็นปาเก้พื้นชั้นล่าง ไม่ใช่ปาเก้พื้นชั้นบน แต่ที่ว่าน่าจะปาทิ้งหรือไม่นั้น ผมขออนุญาต เล่าและอธิบายดังนี้

ปาเก้เป็นไม้ซึ่งอยู่ได้ด้วยกาว ดังนั้น พื้นปาเก้จึงเป็น พื้นที่อ่อนแอ กับอาการ น้ำท่วม อย่างยิ่ง เพราะทั้งไม้ ก็จะบวมขึ้นมา กาวก็จะหลุดล่อน ดังนั้นเมื่อ น้ำท่วมพื้นปาเก้ก็ต้องมีปัญหาแน่นอน อย่าไปโทษช่างทำปาเก้ หรือ อย่าไป คิดอะไรมาก

หากน้ำท่วมสัก 5-7 วัน นอกจากปาเก้จะหลุดล่อนลอยน้ำ ปูดโปนขึ้นมาแล้ว ยังจะมี อาการ "บูดเน่า" ให้เกิดกลิ่นเหม็น และอาจ เป็นอันตราย น้อย ๆ หากต้อง สูดดมอยู่ตลอด ทั้งวันทั้งคืน

หากปาเก้เปียกน้ำสักเล็กน้อย ไม่ถึงกับหลุดล่อนปูดโปนไม่ต้องทำอะไรมาก เช็ดทำความสะอาด แล้วปล่อยทิ้งไว้ เปิดหน้าต่าง ประตู ให้อากาศถ่ายเท ความชื้นออกไป ไม่กี่วันปาเก้ก็อาจเข้ารูปเดิมปกติได้ แต่มีข้อที่น่าคิดก็คือ อย่าเอาน้ำมัน หรือแลคเกอร์ หรือแว็กซ์ ไปทาทับตอนที่ปาเก้ยังชื้นอยู่ เพราะ สารเหล่านั้น จะไปเคลือบ ผิวไม้ ทำให้ความชื้น ในเนื้อไม้ (และเนื้อพื้นคอนกรีต ใต้ปาเก้) ไม่ระเหยออกมา

หากปาเก้มีอาการหนัก บิดงอ ปูดโปน เบี้ยวบูด ผุกร่อน เหม็นเน่า…กรุณาอย่าเสียดาย กรุณาเลาะออกมา หากเลาะออกมาแล้ว ยังอยู่ในสภาพดี ก็ผึ่งลมเอาไว้ให้แห้ง เผื่ออาจมีประโยชน์ในวันหลัง

หากเลาะพื้นปาเก้ออกมีข้อคิดว่า หากจะปูอะไรทับแทนก็ต้องระวังเรื่องน้ำหนักของวัสดุที่จะปูแทนนั้น ว่าหนักมากไหม หากหนักมาก ก็ต้องดูระบบโครงสร้างบ้านเราด้วยว่ามีความแข็งแรงไหม (ถามช่างผู้รู้ ให้ช่วย ดูก็ได้) เพราะปาเก้นั้น เป็นไม้ น้ำหนักเบา พื้นที่หนึ่งตารางเมตร อาจจะหนักเพียง 5 กิโลกรัม แต่พื้นหินอ่อน หรือแกรนิต น้ำหนักรวมปูนทราย ที่ใช้ปู หนึ่งตารางเมตรอาจหนักตั้ง 120 กิโลกรัม

หากจะปูปาเก้เช่นเดิม (เพราะชอบความเป็นไม้ที่ให้ความนุ่มนวล) หรือปูวัสดุอื่นที่ใช้ "กาว" เป็นตัว ประสาน กรุณาอย่า ปูทับลงทันที ต้องรอ ให้พื้นคอนกรีตแห้งก่อน (อาจใช้เวลาเป็นเดือน) แล้วจึงปูลงไปได้ ไม่เช่นนั้น รับรองว่าปูเท่าไรลงไป ก็ล่อนออกมาเท่านั้น





6. ปลั๊กไฟบ้านผม น้ำท่วมไม่เป็นไร น้ำลดจะเป็นไรไหม ?

แม้คำถามของคุณออกจะกวนกวนอยู่บ้าง แต่เราก็พยายามเข้าใจและเห็นใจ ว่าในขณะที่ น้ำท่วม นั้นท่านปิดวงจรไฟฟ้าทั้งบ้าน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ปิดคัทเอ๊าท์) น้ำท่วมก็คงไม่เป็นไรอยู่แล้ว เพราะไม่มีกระแส ไฟฟ้าเดิน แต่พอ น้ำลด อยากจะเปิดไฟใช้ คงหวั่นเกรงเหมือนกัน ว่าจะเป็นอย่างไร เอาละ ครับ ผมขอสรุป แนวทาง ดังนี้ดีกว่า

ลองเปิดคัทเอ๊าท์ให้มีกระแสไฟฟ้าเข้ามา (อย่าลืมต้องมีฟิวส์ที่คัทเอ๊าท์เสมอ) หากปลั๊กหรือจุดใดจุดหนึ่งยังชื้น หรือเปียกอยู่ คัทเอ๊าท์จะตัดไฟและฟิวส์จะขาด ลองเปลี่ยนฟิวส์แล้วทิ้งไว้สัก 1 วัน ให้ความชื้นระเหย ออกไปบ้าง แล้วดำเนินการใหม่ หากคัทเอ๊าท์ยังตัดไฟเหมือนเดิม กรุณาตาม ช่างไฟฟ้า ผู้รู้เรื่องมาแก้ไข (เสียเงินบ้างก็เป็นเรื่องจำเป็น) ดีกว่าเอาชีวิตเสี่ยงต่อไป

หากผ่านข้อที่ 1 ลองทดสอบเปิดไฟฟ้าทีละจุด และทดสอบกระแสไฟฟ้า ในปลั๊ก แต่ละอันว่ามี ไฟฟ้ามาปกติ หรือไม่ (อาจหาซื้อ อุปกรณ์ตรวจ กระแสไฟฟ้า ขนาดเล็ก จาก ห้างไฟฟ้าทั่วไป รูปร่างหน้าตาคล้ายไขควง มาเสียบทดสอบดูก็จะสะดวกดี) หาก ทุกจุดทำงาน ปกติก็ถือว่า สบายใจได้ไปอีกระดับหนึ่ง หากมีปัญหา บางจุด ก็อาจรอสักนิดให้ความชื้นระเหยออกเช่นข้อแรก (แต่หากพอมีเงิน กรุณาอย่าเสี่ยงเลยครับ)

ดับไฟทุกจุดในบ้าน ปลดเครื่องใช้ไฟฟ้าออกทั้งหมด แต่ยังคงเปิดคัทเอ๊าท์เอาไว้ แล้ววิ่งไปดู มิเตอร์ไฟฟ้าหน้าบ้านว่าเคลื่อนไหวหรือไม่ (อาจต้องรอสักพักโดยการจดตัวเลข หรือใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปไว้) หากไม่เคลื่อนไหวแสดงว่า ไฟฟ้าในบ้านเราไม่น่าจะรั่ว แต่หากมิเตอร์หมุนแสดงว่า ท่านยังปิดการใช้ไฟฟ้าในบ้านท่านไม่หมด หรือไฟฟ้า ตามสาย ตามท่อ ตามจุด บางจุดในบ้านท่าน อาจจะรั่วได้รีบตามช่างไฟมาดูแล

เรื่องไฟฟ้านี้เป็น เรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของเด็กเป็นเรื่องของคนขี้ขลาด ไม่ใช่เรื่องของผู้กล้าหาญ ดังนั้นกรุณาอย่าประมาท น้ำท่วมก็เสียหายมากพอแล้ว อย่าต้องมาจัดงานอัปมงคลตามหลังกันอีกเลย …ซีเรียสนะครับ !





7. น้ำลดแล้ว ประสาทเสียมาก พอมีสตางค์ ทำยังไงกับระบบไฟฟ้าดี

ถือว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังนับว่าโชคดีกว่าประชาชนอีกมาก ในประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา เพราะ ระบบไฟฟ้า เป็นสิ่งจำเป็นกับการดำรงชีพ แต่มีอันตรายสูง และเข้าใจยาก ตรวจสอบยาก เพราะเรา ไม่สามารถเห็น "ตัวกระแสไฟฟ้า" ได้เลย หากคุณพอจะมีงบประมาณ ในการปรับเปลี่ยน ระบบไฟฟ้า ในบ้านหลังน้ำท่วม เราขอแนะนำดังต่อไปนี้

1. หากมีงบประมาณน้อย ตัดปลั๊กไฟที่อยู่ระดับต่ำ ๆ ในบ้านออกให้หมด (อาจจะตัดทิ้งเลย หรือจะเลื่อนตำแหน่งปลั๊ก นั้นขึ้นไปอยู่สูงกว่าพื้นห้องสักระดับ 1.10 เมตร ก็ได้)

2. หากพอจะมีงบประมาณบ้าง ให้แยกวงจรไฟฟ้าออกเป็น 2 วงจร คือวงจรที่อยู่ด้านล่าง (ที่ซึ่งน้ำ อาจจะ ท่วมได้) และวงจรที่อยู่สูง ๆ (ที่น้ำไม่อาจท่วมถึง)

3. หากมีงบประมาณหนักขึ้นไปอีก แยกวงจรไฟฟ้าออกเป็น 4 วงจร วงจรแรกสำหรับปลั๊กด้านล่าง (ยามน้ำท่วม) วงจรที่สอง เป็นวงจรสำหรับจุดที่ใช้ไฟฟ้าทั่ว ๆ ไป (ที่น้ำไม่ท่วม) จุดที่สาม สำหรับเครื่อง ปรับอากาศ (หากมี) เพื่อกันอาการไฟกระตุกเมื่อเครื่องปรับอากาศทำงาน จุดสุดท้ายเอาไว้ในครัว เพื่อยามออกจากบ้านนานนาน อยากปิดคัทเอ๊าท์ จะได้ไม่ต้องปิดหมด เพราะปิดหมดเจ้าตู้เย็นในครัว ก็จะหยุดทำงาน อาหารในครัวก็เน่าเสียหมด หรือยามเราไม่อยู่บ้าน อาจปล่อยทั้งกิจกรรม การใช้ไฟฟ้า ไว้เพียงในครัวเท่านั้น

4. หากมีงบประมาณมากขึ้นไปอีก แยกวงจรให้มากเข้าไปอีกก็ได้ อาจแยกเป็นวงจรชั้นบน วงจรชั้นล่าง วงจรนอกบ้าน ฯลฯ (โดยยังยึดถือ วงจรตามข้อ 3 อยู่) แต่หากจะแยกวงจรมาก ๆ ดังนี้ และมีงบประมาณมาก ตามที่บอก น่าจะว่าจ้างวิศวกรไฟฟ้าเข้ามาคำนวณ จะประหยัด และปลอดภัยกว่า

ปล. ขอแถมนอกเรื่องน้ำท่วมนิดเดียวครับว่า อย่าเดินสายไฟกับสายสัญญาณต่าง ๆ เช่นโทรศัพท์ ทีวี ฯลฯ รวมไว้ด้วยกัน เพระสายไฟจะมีคลื่นแม่เหล็กไปรบกวนสัญญาณ ทำให้การรับสัญญาณไม่ชัดเจน





8. งูเงี้ยวเขี้ยวขอตะกวดแย้มังกรกิ้งกือ หนีน้ำมาอยู่เต็มบ้านเลย

กรณีมีสัตว์ที่เราไม่พึงประสงค์เข้ามาอยู่ในบ้านของเรา คงจะต้องค่อย ๆ แยกประเภทสัตว์ต่างๆออกเป็นประเภทเสียก่อน เพราะสัตว์เหล่านั้นไม่มีสูตรสำเร็จที่จะจัดการให้หมดไปได้ด้วยวิธีเดียวกัน ซึ่งอาจจะแยกเป็นประเภทและการดำเนินการได้ดังนี้

สัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดใหญ่พอควร ทั้งที่มีพิษและไม่มีพิษ เช่น งู ตะกวด จระเข้ ฯลฯ อะไรทำนองนี้ อย่าพยายามไปจับหรือจัดการเอง ทำการป้องกันบ้านและป้องกันตัวไม่ให้พวกเขามาทำอันตรายเรา (เราในที่นี้หมายถึงสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราด้วยนะครับ) ให้ติดต่อหน่วยราชการอาสา มาจัดการสัตว์ร้ายเหล่านี้

สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก ที่ไม่มีพิษ เช่น กิ้งกือ ไส้เดือน กิ้งก่า จิ้งเหลน ฯลฯ ก็ปล่อยเขาไว้ได้ บางท่านอาจจะรังเกียจ แต่ก็ทนนิดๆไว้ก่อน เอาเขาไปปล่อยในที่ที่สมควรปล่อย (ไม่รบกวนใคร)ก็ได้ หรืออาจจะปล่อยเขาเอาไว้เฉยๆก็ได้ ไม่นานเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เขาก็จะหายไปเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเขาเข้ามาในตัวบ้านเราโดยผ่านทาง "รู” ต่างๆในบ้านเรา ก็ต้องจัดการเอาเขาออกไปนะครับ

แมลงต่าง ๆ ตั้งแต่ยุง แมงมุม ฯลฯ หรือแม้แต่มด ต้องไม่ให้เข้ามาในบ้านเรา ต้องพยายามปิดประตูหน้าต่าง ปิดรู ให้ดีเท่าที่จะทำได้ และคงต้องจัดการให้หมดไปตามปกติธุระ

"ปลวก" ตอนนี้คงยังไม่มา แต่อาจจะมาในอนาคตได้ ตอนนี้ยังไม่ต้องจัดการอะไร แต่พึงระวังไว้ว่า เมื่อน้ำลดไปไม่นาน จะต้องมีการป้องกันปลวกให้ดี เพราะโอกาสที่จะมามีมากพอควร

สัตว์ที่ไม่เป็นอันตรายที่หลงทางมา เช่น สุนัข แมว ก็น่าจะดูแลในระยะแรกก่อน อย่าเพิ่งไล่ออกไปไหนเลย ถือว่าทำบุญสร้างบุญ





9. ส้วมเหม็น ส้วมเต็ม ส้วมราดไม่ลง

เมื่อน้ำลดแล้ว ส้วมอาจจะยังคงมีปัญหาอยู่ อาจเป็นปัญหาดั้งเดิม บ้างก็เป็นปัญหา เกิดใหม่ บ้างก็จะ สอดประสานกลมเกลียวกัน ทั้งปัญหาเก่าและปัญหาใหม่ ผมใคร่ ขอสรุปรวมความ ปัญหาแห่งส้วม ออกเป็นข้อย่อย ๆ ได้ 8 ประการ (ทั้งปัญหาเก่าและปัญหาใหม่) ดังต่อไปนี้

1. หากเป็นระบบบ่อเกรอะ-บ่อซึม (หมายถึงเมื่อของเสียย่อยสลายแล้ว จะซึมผ่านสู่พื้นดิน ระบบนี้เป็นระบบ ที่นิยมกันทั่วประเทศ เป็นเวลานาน) แล้ว บ่อซึมวางอยู่ในบริเวณที่พื้นดินชุ่มฉ่ำ (อาจจะเพราะน้ำท่วมก็ได้) สิ่งที่เกิด ก็คือบ่อซึม ไม่ยอมซึมน้ำออก (แถมยามน้ำท่วม นอกจากน้ำ จะไม่ไหลออก จากบ่อซึม น้ำที่ท่วม จะไหลย้อนเข้ามาในบ่อ และระบบย่อยสลายอีกด้วย) ปัญหาที่ตามมา ก็คืออาการราดส้วมไม่ลง ใช้ส้วมไม่ได้ ส้วมจะเต็มบ่อยนั่นเอง แก้ไขได้ 2 ประการคือ หากพื้นดินชุ่มฉ่ำ เพราะน้ำท่วม ก็ขอให้รอสักนิด ให้พื้นดินแห้งสักหน่อย แต่หากพื้นดินชุ่มฉ่ำชื้น ตามธรรมชาติของพื้นที่ ก็กรุณาเปลี่ยนระบบ มาใช้เป็นระบบเครื่องกล สำหรับ ย่อยสลาย (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ถังส้วมสำเร็จ) ซึ่งจะทำหน้าที่ ย่อยสลายปฏิกูล ต่าง ๆ จนเป็น น้ำสะอาด แล้วก็ปล่อยลง ท่อระบายน้ำสาธารณะได้โดยไม่ผิด กฎหมาย

2. หากโถส้วมอยู่ระดับต่ำกว่าหรือใกล้เคียงกับระดับบ่อเกรอะ หรือถังส้วมสำเร็จรูป ทำให้ระนาบ ของท่อส้วม ไหลไม่สะดวก หรือบางครั้ง อาจจะมีอาการ ไหลย้อนกลับ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามน้ำท่วม ทำให้ระดับน้ำ ณ ถังส้วม อาจสูงกว่า ระดับโถส้วม) ทำให้เกิดอาการ ราดไม่ลง หรือตอนกดน้ำ ราดน้ำที่โถส้วม ทำให้ในโถส้วม มีแรงดัน สูงมากขึ้น หากน้ำไม่สามารถ ไหลลงไปได้ ก็จะเกิดอาการ แรงดันย้อนกลับ ทุกข์ทั้งหลายของเราจ ะกระฉอกขึ้นเปรอะเปื้อนได้

3. อาจเกิดเพราะท่อส้วมแตกและอาจไปฝัง (หรือเกือบจะฝังในพื้นดิน) ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น และราดส้วมไม่ลง หรือบางครั้ง เกิดอาการ ที่ตัดสินใจยาก เพราะบางครั้งราดลง บางครั้งราดไม่ลง เพราะไปเกี่ยวข้อง กับสภาพแวดล้อม อย่างมาก หากกรณีนี้เกิดขึ้นในขณะน้ำท่วม ยิ่งตัดสินใจยาก เพราะวันไหน ทุกข์ของเรา มีน้ำหนักมาก วันนั้นก็อาจจะราดไล่ลงไปได้ วันไหนทุกข์ของเรา มีมวลน้อย มีน้ำหนักน้อย ทั้งเสือกไสไล่ ราดเท่าไรก็ดื้อ ไม่ยอมลงสักที

4. บางท่านอาจจะลืมใส่ท่ออากาศให้ส้วมหายใจ เวลาราดน้ำจะราดไม่ลง (เหมือนกับพยายามกรอกน้ำใส่ขวด โดยไม่มีช่องอากาศ เหลือเลยที่ปากขวด จะกรอกน้ำไม่ลง) บางบ้าน อาจจะมีท่ออากาศ แต่ท่ออากาศอาจอุดตันได้ ไม่ว่าจะเกิดจากความสกปรก หรือเกิดจาก เศษผง เล็กลอยมาอุด ตอนที่น้ำท่วมก็ได้

5.ขนาดของบ่อเกรอะบ่อซึม หรือถังบำบัดสำเร็จขนาดเล็กเกินไป หลายครั้งพบปัญหา เพราะใช้อาคาร ผิดประเภท เช่นออกแบบไว้ ให้มีคนในบ้าน 5 คน แต่พอใช้จริง ใช้เข้าไปตั้ง 8-9 คน ปริมาณทุกข์ต่าง ๆ จึงมากกว่า ที่เคยคำนวณเอาไว้แต่แรก ถังส้วมจะเต็มบ่อยเต็มเร็ว เพราะมีช่องว่างน้อย ถ้าเป็นระบบบ่อซึม ก็มีพื้นผิวการซึมน้ำออกน้อย น้ำจึงซึมออกไม่ทัน

6.ท่านอาจใส่สิ่งของที่ไม่น่าจะใส่ลงในโถส้วม หรือสิ่งของบางอย่างอาจจะลอยมากับน้ำท่วม เช่นแผ่นผ้าอนามัย ถุงยางอนามัย ถุงมืออนามัย หรือ แปรงขัดส้วมอนามัย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ จะไม่ย่อยสลาย และเป็นสาเหตุ แห่งการอุดตัน

7.ถังบำบัดสำเร็จบางรุ่นบางยี่ห้อ ต้องใช้เครื่องมือกลเข้าปั่นอากาศเข้าไปช่วยการย่อยสลาย ซึ่ง อุปกรณ์เหล่านี้ ต้องใช้กระแสไฟฟ้า เป็นตัวหนุนมอเตอร์ ในขณะที่น้ำท่วม ท่านอาจจะปิดไฟฟ้าไว้ ดังนั้น หากจะถ่ายทุกข์ อย่างมีความสุข อย่าลืมเสียบปลั๊กไฟฟ้ากลับเข้าที่เดิมนะ

8. ถังบำบัดสำเร็จทุกยี่ห้อ จะต้องมีท่อให้น้ำไหล ออกจากถังบำบัดสู่ท่อระบายน้ำในบ้านเรา หรือสู่ท่อสาธารณะ จะต้องตรวจเช็คว่า ระดับของท่อที่ออกจากถังบำบัด ว่าต้องสูงกว่าระดับท่อระบายน้ำเสมอ มิเช่นนั้น จะเกิดอาการ ไหลย้อนกลับอีกแล้ว





10. ต้องตรวจสอบอะไรเกี่ยวกับระบบประปาบ้าง

ระบบประปาเป็นระบบที่เหมือนกับไม่มีปัญหา เพราะเหตุเกิดจากน้ำท่วม แต่หากมองข้ามไป อาจทำให้คุณ สูญเสีย ชีวิต อันเป็นที่รักยิ่งไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านที่มีระบบประปา ที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ ขอแนะนำ การตรวจสอบดังต่อไปนี้

1. คุณมีบ่อน้ำใต้ดิน หรือถังเก็บพักน้ำที่อยู่ในระดับที่น้ำท่วมถึงหรือไม่ หากคุณมี ก็ขอให้นึกเสมอว่า น้ำที่ท่วมถึงนั้น มิได้สะอาด เหมือนน้ำประปา (กรุณาอย่าฉุนเฉียว กลับว่าน้ำประปาบ้านเรานั้น แสนจะ ไม่สะอาด) ขอให้ทำการล้างถังน้ำ ที่น้ำท่วมถึง ให้สะอาดทั้งภายนอกภายใน (หากเป็นบ่อใต้ดิน ล้างเฉพาะ ภายในถัง ภายนอกคงไม่ต้องล้างกระมังครับ) อย่าเสียดายแรงงาน หรือเสียดายน้ำเลย

2. บ้านที่มีระบบปั๊มน้ำ กรุณาตรวจสอบอุปกรณ์ปั๊ม รวมถึงถังอัดลมว่าอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ดี การตรวจสอบ ขั้นต้น อาจจะตรวจสอบ จากเสียงเครื่องจักรทำงาน ว่าผิดปกติหรือไม่ ตรวจสอบแรงดันน้ำ ว่าเหมือนกับสมัยที่ น้ำไม่ท่วมหรือไม่ ตรวจสอบ ถังลมว่า สามารถเก็บแรงอัดได้ดี และยาวนาน ตามที่น่าจะเป็นหรือไม่ … หากมีสิ่งผิดปกติ อาจจะต้องปรับ - ถ่ายระดับน้ำ ระดับแรงดัน ในหม้อลม อีกทั้ง น่าจะตรวจสอบดูว่า มีเศษผง ที่ลอยมากับน้ำท่วม ติดอยู่หรือเปล่า

3. หากกรณีที่ปั๊มน้ำถูกน้ำท่วม ไม่น่าจะใช้การต่อไปโดยทันที เพราะจะมีอันตรายจากความชื้น ในตัวมอเตอร์ที่อาจยัง สะสมอยู่ น่าจะไปหา ช่างมาตรวจสอบ ทำให้แห้งเสียก่อน ถ้าช่างยังไม่ยอมมา และคุณพอรู้เรื่อง เครื่องจักรกล บ้าง ก็ถอดเอาไปให้เขา ตรวจเช็ค (กรุณาอย่าเอาไปตากแดด แล้วคิดไปเองว่า ความชื้นหมดแล้ว เป็นอะไร ขึ้นมา ยามร้ายเมื่อหนีน้ำท่วมทัน แต่ไฟ กลับไหม้บ้านหมด)





11. ผนังบ้านแช่น้ำนาน ๆ เป็นอะไรไหม จะแก้ไขดูแลอย่างไร

วัสดุที่ใช้ก่อสร้างอาคารบ้านเรือนเกือบทุกอย่าง หากแม้โดนแช่น้ำไว้นาน ๆ ย่อมต้องมีอาการเสื่อมสภาพไป มากบ้าง น้อยบ้าง ตอบคำถามที่ว่า ผนังและสีทาบ้านที่ถูกน้ำท่วมแล้วเป็นอะไรหรือไม่ คงตอบว่า "เป็นอะไรแน่นอน" ขอให้คำปรึกษา ในการแก้ปัญหาดังต่อไปนี้

1. หากผนังทำด้วยไม้ ไม่ต้องทำอะไรมากปล่อยให้แห้งก็เพียงพอแล้ว ยกเว้นแต่ส่วนที่อยู่ ในระยะระดับที่ น้ำขึ้นลง อาจจะผุไปบ้าง (ธรรมชาติของไม้ หากอยู่แห้ง ๆ ก็ไม่เป็นไร หากอยู่ใต้น้ำเลย ก็ไม่ค่อยเป็นไร แต่หากอยู่บริเวณระดับที่เดี๋ยวน้ำขึ้น เดี๋ยวน้ำลง จะมีปัญหาเรื่องการผุกร่อนได้ง่าย ดูได้ตามเสาโป๊ะ หรือเสา ที่ปักไว้ในน้ำ จะเห็นได้ว่า ส่วนที่จะผุกร่อนก่อนที่สุด คือ บริเวณระดับผิวน้ำที่เดี๋ยวแห้ง เดี๋ยวเปียก)

เมื่อน้ำในบ้านลดลง เอาผ้าเช็ดทำความสะอาด ขจัดคราบความสกปรกออก เพื่อสุขภาพของคนในบ้าน และเพื่อให้ผิว ที่ทำความสะอาดแล้ว สามารถระเหย ความชื้นออกมาได้ง่าย ทิ้งไว้จนแน่ใจว่า ผนังของเรา แห้งดี จึงใช้น้ำยารักษาเนื้อไม้ ชโลมลงที่ผิว (อย่าทาแลคเกอร์ หรือน้ำยารักษาเนื้อไม้ หรือสีทาผนัง ก่อนที่จะ ให้ตัวผนังแห้ง เพราะจะทำใ ห้น้ำและความชื้น ระเหยไม่ออก จะเกิดอาการ "ชื้นและผุฝังใน")

การทาสี หรือทายารักษาเนื้อไม้ อาจจะทาเฉพาะ ด้านในตัวบ้านก่อนก็ได้ แล้วทิ้งไว้สัก หลายเดือน จึงค่อยทาสีภายนอก ตัวอาคาร เพื่อให้มั่นใจจริง ๆ ว่า ผนังของเรา แห้งสนิทแล้ว

2. หากผนังของท่านเป็นผนังก่ออิฐฉาบปูน ก็ดำเนินการในระบบที่คล้ายกับผนังไม้ ตามที่กล่าวแต่แรก แต่อาจจะต้อง ทิ้งเวลานานหน่อย เพราะการระบายความชื้น ของผนังก่ออิฐนั้น ยากกว่าผนังไม้

มีสิ่งหนึ่งที่ ผนังไม้อาจแตกต่าง กับผนังก่ออิฐก็คือ "สิ่งที่อยู่ภายในผนัง" ไม่ว่าจะเป็นสายไฟฟ้า ท่อไฟฟ้า ท่อน้ำ ฯลฯ เราต้องตรวจสอบ สิ่งเหล่านี้ด้วยว่า อยู่ในสภาพเหมือนเดิม (รายละเอียด การดูแลตรวจสอบ กรุณาอ่านในข้อ การตรวจสอบระบบไฟฟ้า และระบบสุขาภิบาล) การให้ความชื้นระเหยออกง่าย ต้องพยายามไม่เอาสิ่งของ หรือตู้ โต๊ะ ตั้งติดไว้ที่ผนัง

แต่อย่าเอาไฟฟู่มาเผาให้ผนังแห้งเร็ว เดี๋ยวไฟไหม้ บางคนเอาไฟสปอตไลท์ มาส่องให้ความร้อน ผนังจะได้ระเหยเอาความชื้นออกมาเร็ว ๆ ก็ไม่ค่อยคุ้มเท่าไร เพราะจะเสียค่า กระแส ไฟฟ้าจำนวนไม่น้อย (เก็บเงินค่าไฟฟ้าส่วนนี้ ไปใช้ในการซ่อมแซมบ้าน หลังน้ำท่วม ส่วนอื่น จะดีกว่า กระมัง)

3. หากผนังทำด้วยยิบซั่มบอร์ด จะต้องเข้าใจในพื้นฐานและธรรมชาติของแผ่นยิบซั่มบอร์ด เสียก่อน ว่า เจ้าแผ่นนี้ เป็นเพียง ผงปูนยิบซั่ม ที่หุ้มด้วยกระดาษอย่างดี แต่ไม่ว่ากระดาษจะดีเพียงไร หากถูกน้ำท่วม สักพักเดียว รับรองว่า แอ่นยุ่ยกันเป็นแถว

วิธีที่ดีที่สุด ก็คือเลาะเอาแผ่นยิบซั่มนี้ ออกจากตัวโครงเคร่าผนัง หากเป็นโครงเคร่าที่ทำด้วยโลหะ ก็สามารถติดแผ่นใหม่เข้าแทนที่ได้เลย แต่หากโครงเคร่าเป็นไม้ คงต้องทิ้งไว้สักหลายวัน ให้ความชื้น ในโครงไม้นั้น ระเหยออกเสียก่อน จึงค่อยบุแผ่นใหม่ เข้าแทนที่

4. ผนังที่ทำด้วยโลหะ หรือผนังที่ทำด้วยกระจก ยามน้ำท่วมคงจะไม่เป็นอะไรมาก แต่เมื่อน้ำลดแล้ว น่าจะ ต้อง ตรวจสอบ ตามซอก ตามรอยต่อ ว่ายังมีน้ำ หรือเศษขี้ผง ฝังในอยู่หรือไม่ หากมี ก็ทำความสะอาดเสีย (สิ่งที่น่าจับตามอง สำหรับผนัง หรือโครงอลูมิเนียมก็คือ น้ำอาจขังในท่อ ของอลูมิเนียมครับ)

5. ผนังชนิดอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นผนังกระดาษอัด ผนังสังกะสี ผนังไม้อัด ฯลฯ จะมีธรรมชาติ คล้ายกับผนังทั้งสี่ อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ลองเปรียบเทียบดู แล้วแก้ไข ตามแนวทางนั้นๆ





12. สีทาบ้าน ทั้งสีน้ำ สีพลาสติก สีน้ำมัน ฯลฯ ต้องทำอะไรบ้าง

เรื่องสีทาบ้าน ขอให้เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะซ่อมแซม สีทุกชนิดที่ใช้ทาบ้าน เมื่อถูกความชื้นหนัก ๆ อย่างน้ำท่วม จะต้องมีอันเป็นไป เกือบทุกที่ ….

ข้อคิดสำคัญ ในเรื่องของสีทาบ้าน ก็คือ ปัญหาของสีลอกสีล่อน หลัก ๆ ไม่เกิดเพราะคุณภาพของสี แต่เกิดจาก ความไม่พร้อม ของพื้นผิวที่ทาสี หากพื้นผิว ที่จะทาสี เกิดความชื้น หรือมีสิ่งสกปรก ติดอยู่ ทาสีทับลงไปอย่างไร ก็ลอก ก็ล่อนออกหมด

ดังนั้นขอให้ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งทาสี ทำความสะอาดหรือลอกสีเดิมออก ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ (ลอกเฉพาะตรงที่มีปัญหา ไม่ใช่ลอกหมดบ้าน) ทิ้งไว้นาน ๆ (อาจจะหลายเดือน จนถึงหน้าแล้ง ฤดูร้อนก็นับว่าไม่สายเกินไป)





13. เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า จมน้ำหมดเลย ทำไงดี

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า มอเตอร์ หรือเครื่องกลต่าง ๆ (อาจจะรวมถึงรถยนต์ด้วยก็ได้) ล้วนแต่เป็น เครื่องจักรกล ที่อย่างเราอย่างท่าน ไม่น่าประมาท หรือรู้มาก เข้าไปแก้ไข ซ่อมแซมเอง ขอความกรุณาอย่าเพิ่งใช้ ความสามารถส่วนบุคคล (หากไม่จำเป็นจริง ๆๆๆๆ)

หากโดนน้ำท่วมแล้ว ถอดออกไปให้ช่างผู้รู้ตรวจสอบดูก่อน ดีกว่า อย่าเอาไปตากแดด แล้วคิดว่าแห้ง เลยนำไปใช้ต่อ เพราะความชื้นบางส่วน อาจจะฝังอยู่ข้างใน พอเครื่องกลนั้นทำงานโดยใช้กระแสไฟฟ้า อาจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

นอกจากความชื้นที่ฝังอยู่ในตัวเครื่องแล้ว บรรดาฝุ่นผง เศษขยะ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตบางประเภท ก็อาจจะฝังตัวหรือแอบซ่อนตัว (หรือเสียชีวิต) ค้างอยู่ภายในเครื่องด้วย หากเดินเครื่องจักรกลหมุน อาจจะเกิดการติดขัดและมีการฝืนกำลังกัน เครื่องอาจจะเสียหรือไฟไหม้ได้ (อาจจะไม่ได้เกิดโดยทันที แต่จะเกิดขึ้นภายหลังได้)

หากแม้นจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องใช้เครื่องจักรกลนั้น(ซึ่งผมหวังว่าคงจะไม่มี) ยามจะใช้เครื่องกลเหล่านั้นน่ามีข้อคิด 3 ประการคือ

1. ตลอดเวลาที่ใช้ต้องมีผู้ใหญ่ที่พอรู้เรื่องไฟฟ้าและเครื่องจักรกลพื้นฐานอยู่ใกล้ ๆ และอย่างน้อยน่าจะมี ๒ คน เมื่อเกิดอะไรผิดปกติขึ้นมาต้องดับเครื่องปิดเครื่องโดยทันที

2. ที่คัทเอ๊าท์ไฟฟ้าของตัวเครื่อง และคัทเอ๊าท์หลักของตัวบ้าน จะต้องมีฟิวส์ตัดไฟที่มีคุณภาพ ติดตั้งอยู่เสมอ เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ต้องแน่ใจว่าวงจรไฟฟ้าจะถูกตัดออก

3. เมื่อไรไม่จำเป็นจริง ๆ แล้ว ให้หยุดใช้เครื่องกลตัวนั้นทันที พอมีเวลาบ้าง และพอมีงบประมาณ กรุณานำไปให้ช่างผู้รู้ตรวจสอบ





14. ประตูบ้านถูกน้ำท่วมบวมอลึ่งฉึ่ง ประตูเหล็กขึ้นสนิมหมดแล้ว

1. ประตูไม้ หรือวัสดุที่เหมือนกับไม้ที่บวมขึ้นมาหรือผุพัง ก็เหมือนกับประตูห้องน้ำเรา ที่หลายๆบ้านเป็น อันเกิดจากความชื้นในห้องน้ำ แก้ไขโดยการทิ้งไว้ให้แห้ง ซ่อมแซมพื้นผิว เท่าที่ตนเองจะทำได้ หรือหากหมดสภาพจริง ๆ และพอมีงบประมาณบ้าง ก็ซื้อใหม่ เปลี่ยนแปลงเสียเลย ก็ยังพอไหว

2. ประตูเหล็กที่ขึ้นสนิม อาจจะไม่ถึงผุพัง (ยกเว้นแต่ผุมาก่อน) ก็จัดการ ขัดสนิมออก เช็ดให้ สะอาด แห้ง แล้วทาสีใหม่ทับลงไป ก็ถือได้ว่าเป็นอันเสร็จพิธี แต่ความน่าสนใจ ก็คือ ขอให้มั่นใจว่าน้ำหรือความชื้น ได้ออกไปหมดแล้ว ทั้งในท่อโครงเหล็กหรือบริเวณรอยต่อต่างๆ

3. ประตูพลาสติกหรือวัสดุสังเคราะห์ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะวัสดุเหล่านั้นทนน้ำได้ แต่ที่ต้องตรวจสอบก็คือ อาจจะมีน้ำขังอยู่ภายในบานประตู(หรือหน้าต่าง) ระหว่างแผ่นสังเคราะห์ที่ประกบกันเป็นตัวบาน ต้องพยายามเอาน้ำออกให้หมด อาจจะต้องมีการเจาะรูเล็กๆสัก ๑-๒ รู เพื่อให้น้ำระบายออกได้

4. หากประตูเกิดเอียงหรืออาการที่ภาษาช่างเรียกว่า "ประตูตก" อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อประตูหน้าต่าง (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ทำ ด้วยไม้ หรือวัสดุที่อมน้ำ) แช่น้ำนาน ๆ ประตูจะอมน้ำ จึงทำให้ตัวบานนั้น น้ำหนักมากขึ้น บานพับรับน้ำหนักไม่ไหว ประกอบกับตัววงกบ (โครงกรอบช่วงเปิด) เปื่อยยุ่ย เนื่องจาก การแช่น้ำ น๊อต หรือตะปูยึดเกาะได้ไม่เต็มที่ บานเลยเกิดอาการ เอียงลง…

แก้ไขโดยพยายาม ใช้ค้ำยัน หรือลิ่มเล็ก ๆ สอดช่วยรับแรง ถ่ายน้ำหนัก ของ บาน เอาไว้ก่อน ค่อย ๆ รอจนความชื้นระเหยออก น๊อตตะปูก็จะยึดติดดีขึ้น น้ำหนักบานก็จะน้อยลง อาการก็จะกลับมาเหมือน เกือบปกติ (อาจจะไม่ปกตินัก แต่ก็นับว่า ไม่เป็นไร)





15. บานพับ ลูกบิด รูกุญแจ เหล็กดัด หลังน้ำท่วมต้องทำอะไรบ้างดี

เป็นคำถามที่ต่อเนื่องจากปัญหาที่แล้ว ซึ่งว่าด้วยเรื่องประตูหน้าต่างที่เกิดปัญหาขึ้นหลังน้ำท่วม บานพับ ลูกบิด กุญแจ เหล็กดัด ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำด้วยโลหะก็เกิดปัญหาตามมา ขอตอบสั้น ๆ ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

เช็ดน้ำและพยายามให้ความชื้นระเหยออกให้หมด หรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หากเกิดสนิมตรงที่ใด ก็ขัดเอาสนิมเหล่านั้นออกเสียโดยเร็ว อย่าปล่อยทิ้งไว้ แต่ก็อย่าขัดแรงด้วยเครื่องมือขัดที่คมแข็งเกินไป เพราะอาจทำให้อุปกรณ์ประตูหน้าต่างที่ค่อนข้างบอบบางนั้นเสียหายได้ครับ

ใช้น้ำยาหล่อลื่นสารพัดประโยชน์หยอดชโลม (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "โซเล็กซ์") ตามจุดต่อ ตามข้อต่อ ตามเฟือง และตามรูต่าง ๆ ให้ทั่ว (คงไม่ถึงขนาด เป็นมันเยิ้ม ๆ จะทำให้สิ่งของรอบข้างเลอะเทอะ และเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์)

อย่าเพิ่งใช้จารบี หรือสารจำพวกขี้ผึ้งอุดหรือทา เพราะความชื้นทั้งหลายอาจจะยังระเหยออกไม่หมด จะทำให้ระเหยออก ได้ยากขึ้น ความชื้นเลยเกิดอาการ "ฝังใน" จะมีปัญหาภายหลัง

หากยังเกิดปัญหาอีก กรุณาเริ่มทำใหม่ตั้งแต่ข้อแรกจนถึงข้อนี้ รับรองว่ากว่า 90 % ปัญหาจะไม่หนี ไปนอกรอบ ที่กล่าวไว้





16. น้ำท่วมฝ้าเพดาน แก้ไขอย่างไรได้บ้าง

ผมเชื่อว่าซีเรียสและเป็นเรื่องจริงครับ แต่ขอภาวนาให้เป็นการท่วมฝ้าเพดานของห้องใต้ดิน ไม่ใช่ฝ้าเพดาน ของบ้านชั้นที่สองนะครับ น้ำท่วมฝ้าเพดานนี้ คงจะต้องใช้แนวทางแก้ไขคล้ายกับน้ำท่วมพื้นและท่วมผนังปนกัน สรุปความอีกครั้ง ได้ว่า

1. ตรวจสอบถึงวัสดุฝ้าเพดานว่าทำด้วยอะไร หากเป็นวัสดุที่เปื่อยยุ่ยจากการถูกน้ำท่วมได้ เช่นฝ้ายิปซั่มบอร์ด หรือฝ้า กระดาษอัด คงจะต้อง เลาะออกแล้วเปลี่ยนใหม่ (หรือหากไม่มีงบประมาณ ก็ทิ้งเอาไว้โล่ง ๆ อย่างนั้นก่อน ไม่ต้องอายใคร ย้ำ ไม่ต้องอายใคร) หากเป็นฝ้า ประเภทที่ไม่เปื่อยยุ่ย และอมน้ำ อมความชื้นมาก ก็พยายามผึ่งให้แห้ง อย่าทาสี หรือน้ำยากันความชื้น ระเหยออก หากเป็นฝ้าโลหะ ให้ตรวจสอบสนิมจัดการขัดหรือเช็ดออกให้หมด

2. สำรวจฝ้าเพดานทั้งผืนทุกห้องทุกที่ว่ามีน้ำขังอยู่หรือไม่ (เจาะหรือเปิดฝ้าเพดานแล้วโผล่ศีรษะ พร้อมส่อง ไฟฉาย ตรวจดู) หากพบ ต้องระบายน้ำออก ให้หมด โดยทันทีทันใด (เจาะรูตรงที่น้ำเป็นแอ่งขัง ณ จุดนั้นนั้น) อย่าขี้เกียจ ตรวจเช็คเป็นอันขาด

3. ฝ้าเพดานส่วนใหญ่จะมีสายไฟ ดวงโคมติดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นระบบเดินสายไฟฝังหรือสายไฟลอย ต้องตรวจสอบสภาพว่าดีสมบูรณ์ตามรายการ ที่เคยกล่าวไว้เรื่องของการตรวจสำรวจระบบไฟฟ้าหลังน้ำท่วม

4. มดและแมลงตลอดจนหนูหรือสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ อาจหลบเข้าไปในฝ้าเพดาน (แล้วหาทางออกไม่ได้) ต้องทำการไล่ออกให้หมด จึงจะปิดฝ้าเพดาน ไม่เช่นนั้นอาจจะรบกวนและเป็นอันตรายภายหลังได้





17. มีน้ำผุดขึ้นกลางบ้าน แปลว่าอะไร ไม่เห็นสนุกเลย

หากเป็นผมก็คงจะไม่สนุกเหมือนกันละครับ เพราะอยู่ดี ๆ ก็มีน้ำผุดขึ้นมากลางบ้าน ปัญหาที่คาดการณ์ (เพราะไม่ได้เห็น สถานที่จริง) น่าจะเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้

1. ระบบโครงสร้างเกิดอาการแตกร้าว ซึ่งอาจจะแตกร้าวอยู่แล้ว หรือเกิดจากแรงดันน้ำ การแก้ไขก็คือหาแนวที่แตกร้าวนั้นให้พบ (ส่วนใหญ่จะเป็นรอยแตกที่พื้น หรือผนัง ส่วนล่าง) แล้วสอบถามผู้รู้ต่อไป อย่าซ่อมเอง เพราะอาจยิ่งเกิดปัญหา และเป็นอันตรายได้

2. รั่วเนื่องจากรอยต่อของพื้นกับผนังไม่สนิท หรือระหว่างพื้นกับพื้นไม่สนิทกัน อาจเพราะระบบ โครงสร้าง อาคาร เป็นโครงสร้าง ระบบพื้นสำเร็จ ที่ก่อสร้างไว้ไม่เรียบร้อย หรือเพราะเป็นระบบโครงสร้าง เป็นระบบ พื้นวางถ่ายน้ำหนักบนดิน (Slab on Ground) ซึ่งออกแบบให้เนื้อคอนกรีตพื้นไม่ต้องเชื่อมประสานกับคาน แต่ให้ถ่ายน้ำหนักพื้นลงไปที่แผ่นดินเลย โครงสร้างระบบที่ว่านี้ จึงอาจมีรอยรั่วตรงบริเวณรอยต่อ เพราะปูนทรายที่อุดไว้เสื่อมสภาพ หรือเสียหายจากแรงดันน้ำ

แนวทางแก้ไข คงต้องพยายามหาแนวที่น้ำรั่วเข้าให้ได้ (จะมีรอยหรือเส้นที่มีสีเข้มกว่าปกติ) แล้วอุดรอยเหล่านั้น ให้เรียบร้อยอาจจะด้วยซิลิโคนที่ยาตู้ปลา ก็พอไหว

3. เกิดจากรูที่บริษัทกำจัดปลวกเจาะเอาไว้ ตอนที่จะฉีดอัดน้ำยากำจัดปลวก แล้วไม่มีการอุดปิด ให้เรียบร้อย แนวทางการแก้ไข ก็คือจัดการอุดเสียให้เรียบร้อย

4. ท่อน้ำที่ฝังในพื้นเกิดการรั่วแตก หมายถึงที่พื้นห้องอาจจะมีการฝังท่อน้ำเอาไว้ และอาจมีการขยับตัวของโครงสร้างทำให้ท่อแตก และแรงดันน้ำทำให้เกิดน้ำพุเล็กๆเกิดขึ้นที่พื้นห้อง






18. เฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ เตียง เก้าอี้ หลังน้ำท่วม

1. พยายามเอาความชื้นออกจากเฟอร์นิเจอร์ให้มากที่สุด

2. เฟอร์นิเจอร์ที่อมน้ำมาก ๆ เช่น โซฟานวมหรือนุ่น ที่นอนหากไม่จำเป็นอย่าเอากลับมาใช้อีก เพราะเชื้อโรค และสิ่งไม่พึงประสงค์เข้าไปอยู่ภายในไม่น้อย แม้ตากแดดแห้งแล้ว เชื้อโรคร้ายก็อาจยังคงอยู่ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

3. เฟอร์นิเจอร์ประเภทติดกับที่ (Built In Furniture) ขอให้แก้ปัญหาเหมือนผนังและประตู คือต้อง ตรวจสอบ ความแข็งแรง ของโครงสร้าง สายไฟที่อาจจะฝังอยู่ในตู้ รูกุญแจและลูกบิด ทำการบำรุงรักษา ให้อยู่ ในสภาพ เรียบร้อย เหมือนเดิม หรือใกล้เคียง

4. เฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยไม้ ไม่ควรเอาไปตากแดดโดยตรง เพราะจะทำให้แตกเสียหายได้ จะทาสีทับลงไปก็ขอให้มั่นใจว่าแห้งจริง ๆ ไม่เช่นนั้นสีจะลอกหมด ความชื้นจะฝังใน





19. น้ำท่วมช่องลิฟต์ ห้องเครื่อง หม้อแปลงไฟฟ้า

น้ำท่วมลิฟต์ ห้องเครื่อง หม้อแปลงไฟฟ้า หรือส่วนที่เป็นเครื่องกลสำคัญต่าง ๆ อย่าซ่อมแซมเอง ให้เรียกช่างมาตรวจสอบ และแก้ไข





20. อยากยกบ้านทั้งบ้านให้สูงขึ้น ทำยังไง

การยกบ้านให้สูงขึ้น หมายถึงการยกตัวโครงสร้างทั้งหมดของบ้านให้มีระดับหนีน้ำท่วมบ้าน เป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหากจะทำเองถ้าบ้านของท่านไม่ใช่บ้านไม้ และไม่ใช่บ้านที่มีน้ำหนักเบา เพราะหากเป็นบ้านที่ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าบ้านปูน) โครงสร้างของบ้านจะยึดติดเป็นเนื้อเดียวกัน หากยกบ้านขึ้น (ส่วนใหญ่จะด้วยแม่แรง แบบการยกรถยนต์) ตัวบ้านเอียง หรือบิด เพียงนิดเดียว บ้านก็จะแตกร้าว เสียหายวิบัติได้

นอกจากนั้น บ้านปูนจะมีน้ำหนักมาก ทำให้ต้องมีเสาเข็มยาว ๆ มารับน้ำหนักบ้าน เสาเข็มนี้ ส่วนใหญ่ จะเป็นเสาเข็มปูน ที่มีเหล็กเส้น ผูกติดยึด ไว้กับตัวฐานราก เมื่อยก ตัวบ้านขึ้น ก็เป็นเพียงการยกแต่ตัวบ้าน ไม่สามารถยกเสาเข็ม ขึ้นมาด้วย การต่อฐานราก กับเสาเข็มใหม่ จึงเป็นเรื่องยาก ในอนาคตอาจมีปัญหาเรื่องบ้านทรุดบ้านร้าวได้

นอกจากเรื่องโครงสร้างแล้ว เมื่อยกบ้านปัญหาพวกสายไฟ ท่อน้ำ ท่อระบายน้ำ ก็จะเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องตามมา ที่จะต้องตัดออกทั้งหมด แล้วต่อใหม่เข้าไป เมื่อยกระดับบ้านเสร็จเรียบร้อย หากท่อเหล่านี้ อยู่ใต้พื้นบ้าน บริเวณกลางๆบ้าน ย่อมจะตัดออกจากกัน ตอนจะยกบ้าน ได้ยาก หากตัดไม่หมด แล้วยกขึ้น ก็อาจไปดึงโครงสร้างของบ้านส่วนอื่นๆเสียหายได้

การต้องการจะยกระดับบ้านทั้งหลังขึ้นมา (บ้านปูน) เป็นเรื่องที่ต้องปรึกษาผู้รู้จริง และมีประสบการณ์เท่านั้น และส่วนผู้รับเหมาก่อสร้าง ก็ต้องเป็นผู้รู้จริงด้วย มิเช่นนั้นท่านอาจจะเสียบ้านไปทั้งหลัง ส่วนราคาค่ายกบ้าน ก็แล้วแต่ระดับที่ยกขึ้น แล้วแต่ขนาดของตัวบ้าน แล้วแต่ลักษณะของตัวบ้าน โดยทั่วไป ราคา 20% ถึง 400% ของราคาตัวบ้าน

ส่วนบ้านไม้นั้น หากใช้เทคนิคไทยเดิม ผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องยากนัก (บ้านไม้ แปลว่า ทั้งโครงสร้าง และองค์ประกอบเป็นไม้ ไม่ใช่โครงสร้างเป็นปูน มีเพียงผนัง หรือพื้น เป็นไม้เท่านั้น)





21. "ฝ่าวิกฤติด้วยความคิดบวก"

ความคิดบวกหรือ Positive Thinking ฟังเสมือนกับเป็นลัทธิแก้อย่างหนึ่ง แต่ความจริงแล้วการมองภายในตนให้ครบถ้วนทุกด้าน แล้วเอาด้านที่เป็นบวกมาพิจารณาเป็นประเด็นในการจัดการปัญหา ชีวิตจะมีความสุขขึ้นไปพร้อมๆกับผู้รอบข้าง และสังคมที่เราอยู่ร่วมนั้น

การแก้ปัญหาทั้งหลายย่อมไม่มี "สูตรสำเร็จ" เป็นธรรมดา....
บางทีเมื่อแก้ปัญหาด้วยการ "คิด" ไม่ได้.... ลองใช้การแก้ปัญหาด้วยการ "ยั้งคิด" บ้าง
บางทีการแก้ปัญหาด้วย "ความรู้" ไม่ได้.... ลองใช้ "ความรู้สึก" ในการแก้ปัญหาบ้าง
บางทีเราต้องไม่มองเฉพาะผล "ด้านนอก" แต่เราต้องเข้าใจปัญหาจาก "ภายใน" บ้าง
พลังแห่งการฝ่าวิกฤติทั้งหลายอาจจะอยู่ตรงนั้นก็ได้

หากเราฝึกตนให้เป็น "คนกล้า" ที่มิใช่ลืมตัวกลายเป็นคน "บ้าบิ่น" แก้ปัญหาตามอารมณ์
โดยเราแยกความแตกต่างของ "ความรัก" และ "ความหลง" ได้ชัดเจนเพียงพอ
โดยเรารอบรู้และเข้าใจทั้ง "วิชาการ" และ "มนุษย์" ได้อย่างสมดุล
เราจะหา "ข้อมูล" เพื่อการ "วิเคราะห์" อันนำมาซึ่ง "บทสรุป" เพื่อการปฏิบัติทั้งหลายได้
พลังแห่งการฝ่าวิกฤติทั้งหลายอาจจะอยู่ตรงนั้นก็ได้

เราต้องไม่เป็นผู้ที่ "รู้มาก แล้ว คิดน้อย" หรือเป็นผู้ที่ "รู้น้อย แล้ว คิดมาก"
เราน่าจะเป็นผู้ที่ "รู้น้อย ก็รู้ให้มากขึ้น เมื่อรู้มากพอแล้ว ก็อย่าลืมคิดให้มากขึ้น" ตามไปด้วย
หากคิดมากขึ้นแล้ว ยังแก้ปัญหาไม่ได้..... ลอง "ยั้งคิด" ดูสักหน่อย
พลังแห่งการฝ่าวิกฤติทั้งหลายอาจจะอยู่ตรงนั้นก็ได้



ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ ตุลาคม ๒๕๕๔






ขอขอบคุณที่มาของเรื่องจาก
//hilight.kapook.com/view/63594 และ
//hilight.kapook.com/view/63917 ค่ะ




Create Date : 24 ตุลาคม 2554
Last Update : 24 ตุลาคม 2554 12:42:17 น. 5 comments
Counter : 2657 Pageviews.

 
Thank Mak Mak


โดย: deco_mom วันที่: 24 ตุลาคม 2554 เวลา:13:35:24 น.  

 
โห ละเอียดจริง ๆ อ่านซะตาเหล่
เลย แต่มีประโยชน์จริง ๆ โดย
เฉพาะเจ้าส้วมห้องน้ำนี่แหละครับ
เคยปี 2526 ท่วมอยู่ 2 เดือน
แทบแย่ ต้องขึ้น รถยีเอ็มซีไปกลับ
ก็ไปทำงานครับ

แต่ตอนนี้ยังไม่ท่วม ขออย่าท่วม
เลย.....


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 24 ตุลาคม 2554 เวลา:16:51:23 น.  

 
ขอบคุณนะคะ มีประโยชน์มากๆๆๆๆ


โดย: หมู (meitanteiruss ) วันที่: 24 ตุลาคม 2554 เวลา:16:54:32 น.  

 
คุณวีค้นข้อมูลละเอียดถี่ถ้วนดีจริง ๆ มีประโยชน์มาก ๆ ขอบคุณนะคะ


โดย: haiku วันที่: 24 ตุลาคม 2554 เวลา:22:53:05 น.  

 
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะคุณวี
มีประโยชน์มากเลยค่ะ

อากาศเย็นๆแล้ว ซุปผักร้อนๆอร่อยนะคะ



โดย: Schnuggy ชนุ๊กกี้ วันที่: 25 ตุลาคม 2554 เวลา:1:09:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โสดในซอย
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 61 คน [?]






e-mail ติดต่อโสดในซอย
singleinsoi@hotmail.com






Facebook โสดในซอย
http://www.facebook.com/profile.php?id=100002317657363





“เติมรักให้เต็มรุ้ง”
งานเขียนล่าสุดของ “โสดในซอย”

สั่งซื้อในบล็อก
พร้อมลายเซ็น
ราคารวมค่าส่ง 305 บาท
โอนเงินผ่านบัญชีธนาคารกรุงเทพ
หมายเลขบัญชี 020-056941-6
ชื่อบัญชี มนชญา
โปรดโอนให้มีเศษสตางค์
เพื่อง่ายแก่การอ้างอิง
และแจ้งรายละเอียดการโอน
พร้อมทั้งชื่อ-ที่อยู่ที่จะให้จัดส่ง
ที่หลังไมค์ได้เลย
หรือตามร้านหนังสือค่ะ

ขอบคุณค่ะ





ความรักคะ ฉันมีเรื่องจะฟ้อง
ของ "โสดในซอย"
โดย สำนักพิมพ์ 'ษาริน
วางจำหน่ายแล้วตามร้านหนังสือทั่วไปค่ะ
หรือสั่งซื้อในบล็อกได้เช่นกัน
ราคา 220 บาทรวมค่าส่งค่ะ








ขายหรือให้เช่า
ศุภาลัย ปาร์ค ติวานนท์
35 ตร.ม. ใกล้รถไฟฟ้าสถานีกระทรวงสาธารณสุข
ไลน์ aazz999




Friends' blogs
[Add โสดในซอย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.