มีเงินออม 4-5 แสนบาท เอาไปทำอะไรดี
มีเงินออม 4-5 แสนบาท เอาไปทำอะไรดี
สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่มากนัก พอกินพอใช้เลี้ยงดูครอบครัว และมีเงินออมก้อนหนึ่ง ประมาณ 4-5 แสนบาท ควรลงทุนอย่างไร ให้ได้ประโยชน์พอสมควร โดยไม่เสี่ยงมาก เพราะถ้าเงินลงทุนเกิดเสียหาย จะทำให้ครอบครัวขาดความมั่นคง ในทางการเงิน เพราะรายได้ที่มีก็ไม่มากอยู่แล้ว
1. การมีบ้านของตนเอง ถือเป็นความสำคัญอันดับแรก เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ทุกคนต้องมีบ้านที่อยู่อาศัย ให้กับตัวเองและครอบครัว
ประโยชน์ที่ได้จากการซื้อบ้านมีดังนี้
ก. หากเราไม่มีบ้านก็ต้องไปเช่า จ่ายค่าเช่าเดือนละหลายพันหรือเป็นหมื่น เทียบกับการวางเงินดาวน์เพื่อซื้อบ้าน ค่าผ่อนจะไม่มากกว่าค่าเช่าเท่าใดนัก การวางเงินดาวน์เพียง 10% แล้วผ่อนไป 10 ปี, 15 ปี หรือ 20 ปี ก็จะเป็นเจ้าของบ้านโดยสมบูรณ์ การผ่อนบ้านไม่เป็นภาระหนัก กว่าการเช่าบ้านเท่าใดนัก และถือเป็นการออมเงินไปในตัว
ข. บ้านเป็นทรัพย์สินที่ยิ่งใช้ราคายิ่งเพิ่ม ต่างกับการซื้อรถยนต์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ซึ่งใช้ไปไม่นาน ราคาหายไป 50-90% แล้ว
ค. การอยู่บ้านที่สะดวกสบาย ได้รับความสุขทางใจอย่างมาก ทรัพย์สินบางอย่าง เราไม่เคยเห็นตัวตน เช่น เงินฝากแบงค์ หรือหน่วยลงทุนที่ซื้อกับ บลจ. หรือหุ้นที่ฝากไว้ที่ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
ง. เงินผ่อนบ้านหักภาษีได้ปีละ 50,000 บาท ถ้าคุณมีรายได้ปีหนึ่งเกินกว่า 5 แสนบาท ต้องเสียภาษี 20% ผ่อนบ้านไป 50,000 บาท เท่ากับรัฐบาลคืนภาษีให้ 10,000 บาท
จ. รัฐบาลส่งเสริม การซื้อขายบ้านมือสอง ดังนั้น เมื่ออยู่นานไปบ้านเกิดคับแคบ เช่น มีลูกเพิ่มขึ้น คุณก็สามารถ ย้ายไปซื้อบ้านหลังใหม่ เงินได้จากการขายบ้าน ได้รับยกเว้นภาษี ถ้าคุณอยู่บ้านหลังเดิมตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และเอาเงินที่ขายไปซื้อบ้านหลังใหม่ ภายในหนึ่งปี ก่อนหรือหลังจากขายบ้านหลังเดิม
ฉ. ต่อไปเมื่อผู้ลงทุนอายุมากและเสียชีวิต บ้านก็ยังตกเป็นมรดกให้กับลูกหลานอีกด้วย
2. คนมีรายได้มักจะต้องเสียภาษี ดังนั้น ควรซื้อกองทุน RMF หรือกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ เท่ากับ 15% ของรายได้ เพื่อหักภาษี และซื้อกองทุน LTF หรือกองทุนหุ้นระยะยาว อีก 15% ของรายได้ ซึ่งกองทุนทั้งสองนี้ใช้หักภาษีได้ทั้งคู่ รวมกันลดภาษีไปได้อีก 30% การลงทุนต้องพยายามสร้างแต้มต่อ คือ ใช้หักภาษีได้ เป็นเงินออม และมีผลตอบแทน กองทุน RMF และ LTF ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 3-10% แล้วแต่ประเภทที่เลือกลงทุน
3. หากมีบ้านแล้ว อยากลงทุนในด้านการเงิน แบ่งเงิน 20% หรือ 1 แสนบาท ไปซื้อกองทุนหุ้นจาก บลจ. คือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เช่น บลจ. ทหารไทย บลจ. วรรณ บลจ. ไทยพาณิชย์ หรือ บลจ. กสิกรไทย หากไม่คุ้นเคยกับ บลจ. เหล่านี้ ก็ติดต่อธนาคารพาณิชย์ได้ทุกสาขา เพราะธนาคารเป็นตัวแทนขายหน่วยลงทุน การซื้อกองทุนหุ้นแม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ถ้าเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวได้ดี ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนใน 5 ปี เฉลี่ยปีละ 5%
ข้อดีคือ หากฉุกเฉินสามารถถอน มาใช้ได้ทุกเวลา
4. นำเงินอีก 60% หรือราว 3 แสนบาท ไปซื้อหน่วยลงทุนระยะยาว ตั้งแต่ 2 ปีขึ้น จาก บลจ. ซึ่งให้ผลตอบแทน 4.2-4.5% ต่อปี โดยไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากผู้ลงทุนมีเงินน้อย จึงไม่ควรเอาเงินไปเสี่ยงซื้อหุ้น ควรหลีกเลี่ยง การซื้อสลากออมสิน เพราะโอกาสถูกรางวัลยากมาก และต้องถือไว้ยาวถึง 3 ปี ทำให้เงินถูกล็อคอยู่นาน ถ้าหากไม่ถูกรางวัลเลยเมื่อครบ 3 ปี ได้คืนดอกเบี้ยเพียง 1-2% ซึ่งน้อยกว่าการซื้อหน่วยลงทุน ตั้งครึ่งหนึ่ง
5. เงิน 20% ที่เหลือ คือ อีก 1 แสนบาท ซื้อทองคำไว้ประมาณ 10 บาท เพราะทองคำ เป็นทรัพย์สินที่มีค่า ไม่เสื่อมสลาย มีโอกาสได้กำไรปีหนึ่ง 6-8% ซื้อง่ายขายคล่อง โดยต้องซื้อจากร้านใหญ่ เช่น ฮั่วเซ่งเฮง หรือ จินฮั้วเฮง อย่าซื้อทองคำจากร้านเล็ก ๆ เนื่องจากทองคำต้องได้มาตรฐาน คือ มีเนื้อทองบริสุทธิ์ 96.5% และ 1 บาท ต้องได้น้ำหนัก 15.16 กรัม การซื้อทองจากร้านเล็ก ๆ จะได้น้ำหนักไม่ครบ ตามพิกัดและความบริสุทธิ์ ไม่ถึง 96.5% ด้วย ต้องระวังในเรื่องนี้ แม้สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. จะมีการตรวจสอบอยู่ แต่อย่าเสี่ยงดีกว่า
เหตุที่ไม่แนะนำให้เอาเงินฝากธนาคาร เนื่องจากได้ดอกเบี้ยต่ำมาก และเมื่อรับดอกเบี้ย ยังถูกรัฐบาลเก็บภาษีอีก 15% เราควรพยายามออมทุกเดือน ดังนั้น รายได้ประจำ หากมีเงินเหลือก็ฝากออมทรัพย์ไว้ เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน และเมื่อมีเงินฝากออมทรัพย์ ถึง 80,000 บาทแล้ว เอาส่วนที่เกินไปลงทุนใน 3-4 แบบ ตามที่กล่าวข้างต้น
ท้ายที่สุดการออมและลงทุนต้องมีวินัย ใช้ระยะเวลายาวมาก ต้องอดทน...
ขอบคุณ แนวคิดของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร
คำเตือนเนื้อหาในเรื่องนี้
.....ไม่เหมาะสำหรับคนมีเงินออม 4-5 ร้อยบาท แบบ จขบ. นะคะ....
Create Date : 13 กันยายน 2550 |
Last Update : 13 กันยายน 2550 7:34:33 น. |
|
28 comments
|
Counter : 3121 Pageviews. |
|
|
|
ว่ามีเงินออม 4-5 ร้อย
ไม่งั้น จะยกฐานะ เจ้าหนี้ ให้ วีซะหน่อย
อิอิ