การแถลงข่าววันนี้ จึงคลี่ปมของคดีได้อย่างกระจ่างชัด
เมื่อสุดท้ายยายแท้ๆ ซึ่งเคยมีคดียิงสามีตัวเองตายมาก่อน
เป็นคนที่ฆาตกรรมน้องเบิร์ด หลานในไส้ของตัวเอง
ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่ 2 ขวบ เนื่องจากพ่อเด็กเสียชีวิตไปแล้ว
จึงหักล้างกับคำให้การก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
และยอมรับสารภาพพร้อมหลักฐานมัดตัว
คือ ผลการตรวจดีเอ็นเอเส้นผม
รวมทั้งการแกะรอยจากรองเท้าแตะของผู้ตายที่ไม่ได้สวมใส่ขณะพบศพ
ความรู้สึกกดดัน บวกกับกลัวการถูกทำร้ายจากหลานชายที่เคยขู่ไว้
จึงพลั้งมือใช้ไม้ทุบศีรษะจนเด็กแน่นิ่งไป
ก่อนจะลากไปทิ้งไว้ที่บันไดหนีไฟของอาคาร เพื่อหนีความผิด
จึงกลายเป็นอุทาหรณ์สะท้อนใจว่า
เรื่องราวโหดร้ายเช่นนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวเดียวกัน
ครอบครัว ต้นเหตุความรุนแรง
นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ความรุนแรงของคนในครอบครัวที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นครั้งแรก
ทุกวันนี้ในสังคมไทยมีแต่ความร้าวฉาน ครอบครัวแตกแยก เกิดการทะเลาะวิวาท ทำร้ายทุบตีกันของคนภายในครอบครัว
และกลายเป็นปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน
สมชาย เจริญอำนวยสุข
ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กล่าวว่า
ทุกวันนี้ทักษะในการแก้ปัญหาของคนในครอบครัวโดยไม่ใช้ความรุนแรง
ยังไม่มี อย่างเช่นกรณีนี้ยายสอนหลาน แล้วหลานไม่ฟัง
จึงแก้ปัญหาโดยใช้อารมณ์ด้วยการทำร้ายหลาน
เพราะคิดว่าการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง
คือทางออกของการยุติปัญหา
การเกิดความรุนแรงในสังคมเป็นสิ่งที่สั่งสมมาจากความรุนแรงในครอบครัว
ที่เกิดขึ้นในครอบครัวเพราะเราไม่มีทางออกในเรื่องเหล่านี้อย่างถูกวิธี
ทุกวันนี้เรามีปัญหาในเรื่องความรุนแรงของคนในครอบครัวอย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นแม่กับลูก พ่อกับลูก
และสามีกับภรรยา นี่ยิ่งทะเลาะตบตีกันเยอะมาก
ฉะนั้นการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรงในสังคมไทยนี้ยังพร่องอยู่
สังคมเรายังให้ความรู้ในเรื่องเหล่านี้อยู่น้อย
เมื่อเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคมไทยแบบนี้ ทั้งยังเกิดขึ้นไม่เว้นวัน จึงกลายเป็นต้นแบบบ่งบอกถึงบุคลิกภาพที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง แต่ทุกวันนี้สังคมไทยมีแต่การใช้ความรุนแรงเข้าหากัน โดยเฉพาะผู้ใหญ่
จึงไม่มีต้นแบบที่ดีให้เด็กทำตาม
ด้านนายแพทย์ทวีสิน วิษณุโยธิน
ผู้อำนวยการสำนักสุขภาพจิตสังคม และโฆษกกรมสุขภาพจิต
กล่าวว่าการศึกษาพบว่าบุคคลที่ใช้ความรุนแรงทำร้ายผู้อื่นนั้น เมื่อสืบเสาะในวัยเด็กมักจะพบว่า เคยถูกกระทำรุนแรงมาก่อน ทั้งนี้เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นในครอบครัว ได้แบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยใหญ่ด้วยกัน
1. คือมาจากการเลี้ยงดูที่อาจจะเห็นพ่อแม่ใช้ความรุนแรง ทะเลาะเพื่อแก้ปัญหา เด็กจะเรียนรู้และทำตาม 2.คือมาจากคนรอบข้าง สิ่งแวดล้อมที่โรงเรียน เพื่อนฝูง ซึ่งหากเด็กไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ใช้ความรุนแรงก็เป็นไปได้ที่จะทำให้เด็กมีพฤติกรรมตามกลุ่ม จนเกิดการใช้ความรุนแรงขึ้นมา 3.มาจากสังคม สื่ออย่างละครตบจูบ หรือสื่อที่มีความรุนแรงแฝงอยู่ซึ่งจะส่งผลสองแบบด้วยกันคือ เลียนแบบเลยในทันที กับเก็บไว้ เรียนรู้เป็นข้อมูล เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ความรุนแรงจะเป็นตัวเลือกหนึ่งที่เด็กอาจจะเลือกมาใช้แก้ไขปัญหาได้
ในส่วนของลักษณะพิเศษที่เกิดขึ้น เพราะความรุนแรงภายในครอบครัวต่างจากความรุนแรงที่เกิดภายนอก เพราะเกิดขึ้นระหว่างคนใกล้ชิดที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ปัญหาในครอบครัวมักจะถูกปกปิดไว้เสมอ รอยแผลที่เกิดขึ้นมักจะอยู่ในเสื้อผ้าที่ผู้คนในสังคมมองไม่เห็น และยากที่จะเก็บข้อมูลศึกษาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เพราะกรณีที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์
เป็นปัญหาที่ซ่อนตัวอยู่อย่างฝังลึก
ที่เห็นกันตามหนังสือพิมพ์เป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง กรณีที่เกิดขึ้นจริงในสังคมอาจจะมีเยอะมาก เพราะประเด็นพวกนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่กระทำต่อลูก ลูกกระทำต่อพ่อแม่ โดยปัญหาที่จะเกิดขึ้นและถูกปกปิดไว้ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางร่ายกายและจิตใจ อาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า ซึ่งภาวะแบบนี้จะกินระยะเวลายาวนาน โดยมีตัวอย่างหลายครั้งที่พ่อแม่พาลูกมาหาหมอเพราะกระดูดหัก บอกว่าตกบันไดบ้าน อะไรบ้าง บ่อยเข้ามันก็ผิดปกติ แพทย์ก็จะวินิจฉัยได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นในครอบครัว และแจ้งตำรวจ
ป้องกันไว้ดีกว่าแก้
การหาหนทางป้องกันที่ต้นเหตุ จึงดีกว่าการมานั่งแก้ไขที่ปลายเหตุ เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น สังคมก็ตื่นตระหนกอีกครั้ง ให้ต้องมานั่งทบทวนย้ำคิดถึงช่องโหว่ของสังคมไทย ซึ่งความรุนแรงที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ต่างมีจุดเริ่มมาจากครอบครัวทั้งสิ้น
ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กล่าวว่า
ตอนนี้จึงต้องเน้นหนักในเรื่องการแก้ไขปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัว
เน้นการป้องกันไม่ให้เกิด ขณะนี้เรามีกฎหมายแก้ปัญหาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
ไม่ว่าจะเรื่องผู้ถูกกระทำเรื่องความรุนแรงภายในครอบครัว
เป็นกฎหมายที่แก้ปัญหาเมื่อเกิดแล้ว
แต่เราต้องทำไม่ให้มันเกิดขึ้นเลย
ผมว่ามันต้องเริ่มตั้งแต่การให้การศึกษา ไม่ใช่เฉพาะการศึกษาภายในโรงเรียน ต้องเกิดจากการเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมด้วย
โดยต้องมีการถ่ายทอดร่วมกันตั้งแต่ยังไม่มีครอบครัว
จะได้มีการอบรมให้ความรู้การเลี้ยงลูก การดูแลลูกอย่างถูกวิธี
ควรทำให้เป็นกิจลักษณะเสียทีในสังคมไทย
ด้วยการร่วมมือกันทุกภาคส่วน
ตอนนี้สังคมไทยยังไม่มีการสอนวิธีการแก้ปัญหาที่มีอยู่หลากหลายวิธี
จึงต้องเน้นเรื่องนี้ให้จริงจัง ต้องสร้างพ่อแม่มือใหม่
เราหวังว่าเด็กที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยให้ความรู้แก่พ่อแม่ในการเลี้ยงดูลูกอย่างถูกต้องก่อน เด็กที่เกิดขึ้นจากพ่อแม่ที่ได้รับการอบรม การเลี้ยงดูบุตร
การแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี
แล้วความรุนแรงของคนในครอบครัวจะลดลงไปเรื่อย ๆ ในอนาคต
เรื่องการป้องกันความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้ แม้ว่าจะมีหลายหน่วยงานร่วมด้วยช่วยกัน แต่ถ้าขาดการเอาใจใส่ที่จะแก้ไขอย่างจริงจังก็จะไม่เป็นผลสำเร็จ สถาบันครอบครัวและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงต้องยืนหยัดแข็งขัน
ที่จะทำร่วมกัน โดยที่ผ่านมาไม่นานมานี้ในหลายหน่วยงานร่วมทำการอบรม
ในกลุ่มตัวอย่าง 30 ครอบครัว ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงการติดตามผลในระยะยาว
ด้วยความหวังว่าสังคมไทยจะแข็งแรงขึ้น
สมชาย ได้กล่าวเสริมอีกว่า
สิ่งเหล่านี้ต้องมีการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ในคนที่ยังไม่มีครอบครัว
ไม่ใช่ว่ามีลูกแล้วค่อยมาศึกษา มันจึงไม่ทัน
ต้องให้ความรู้ว่าเมื่อมีครอบครัวแล้วเขาจะพบกับอะไรบ้าง
เมื่อมีปัญหาอย่างนี้ ต้องแก้ไขอย่างไร ต้องสอนให้เป็นระบบอย่างนี้
และต้องใช้ความพยายามในการทำงานร่วมกันหลายหน่วยงาน
เพราะในสังคมไทยยังมีความรุนแรงค่อนข้างมาก
หากมองในมุมมองของนักจิตวิทยาที่ต่างออกไป
นายแพทย์ทวีสิน กล่าวว่า ส่วนหนึ่งของปัญหาคือเรื่องของจิตวิทยาที่คนไทยยังไม่ยอมรับ หรือไม่ไปพบแพทย์มากนัก อาจเกิดจากโรคสมาธิสั้นซึ่งออกอาการได้ 3 แบบด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้น คืออาการใจร้อน หุนหันพลันแล่น
โรคนี้เป็นความผิดปกติของสมองซึ่งสามารถรักษาให้หายได้
หากรีบรักษารู้ว่าเยาวชนเป็นโรคนี้อยู่
การที่เขาจะพัฒนาต่อไปเป็นอาชญากรเด็กก็จะไม่เกิดขึ้น
ตัวครอบครัวต้องไม่มีการใช้ความรุนแรง โรงเรียน สังคมรอบข้างต้องคอยดูแลไม่ให้ความรุนแรงเกิดขึ้น และสังคมก็ต้องร่วมด้วย คือความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัวเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ถ้ามันเพิ่มมากขึ้นในสังคมไทย ครอบครัวซึ่งเราคิดว่าปลอดภัยที่สุด เป็นหน่วยที่เล็กที่สุด ยังไม่สามารถเป็นสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยหรือปกป้องเขาได้ มันก็เป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด เขาไม่รู้จะไปพึ่งใคร
ครอบครัว หน่วยย่อยเล็กๆ ในสังคม ที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม ซึ่งสามารถสะท้อนคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมได้ หากไม่เริ่มต้นป้องกันและแก้ไขที่ครอบครัวตั้งแต่วันนี้ ก็จะกลายเป็นจุดด่างพร้อย จนก่อเกิดเป็นต้นเหตุของความรุนแรงในสังคมต่อไปอย่างเช่นทุกวันนี้
ทีมข่าว ผู้จัดการ LIVE รายงาน
มาเยี่ยมชม มาทักทายครับ
เห็นข่าวเศร้ายนี้แล้วก็สะเทือนใจเป็นอย่างมากเลยครับ ตอนแรกเห็นข่าวที่เป็นแค่เด็กม.1ถูกฆ่าก็แย่แล้ว พอตอนหลังมารู้ว่ายายแท้ ๆ เป็นคนฆ่าก็ยิ่งทั้งสะเทือนใจและเศร้าใจเป็นอย่างมากเลยครับ
ก็อย่างว่าล่ะครับ .. เหมือนที่เค้ากล่าวไว้ว่า ...
"ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย"
เศร้าครับ
อิอิ
ปล. เห็นข่าวเศร้าแบบนี้แล้วคุณวีอย่าเศร้าตามนะครับ ต้องสู้ ๆ ให้ได้โดยตลอดนะครับ
อิอิ (อีกครั้ง)