มองย้อนกลับจากจุดเริ่มต้นที่มองแทบไม่เห็นว่าจะมีวันนี้ วันที่จะสามารถปลดปล่อยหนี้บ้านได้ ไม่น่าจะเป็นไปได้ด้วยซ้ำ เมื่อตอนที่เราจะซื้อบ้านหลังนี้ ในช่วงประมาณปี 2544-2545 ผ่อนดาวน์ไปแล้วเป็นเงินกว่า 2 แสนบาท แต่ยื่นกู้เกือบไม่ผ่าน เนื่องจากเครดิตที่ทำงาน และเครดิตตัวเองที่ยังไม่มีครอบครัว ตามที่เคยเล่าไว้ในนี้
ตัวบ้านแบบเดิม ๆ
นึกถึงตอนนั้นก็ตลกดี เราถึงขั้นที่ว่า ขอให้น้องผู้หญิงที่อ๊อฟฟิศไปเป็นเพื่อนด้วยตอนที่เข้าไปคุยกับผจก.โครงการหมู่บ้าน เพื่อให้เค้ามองว่าเราซื้อบ้านเพื่อครอบครัวนะ มีอนาคตนะ (เอามาแค่หลอกตาว่าพาแฟนมาด้วย) ผจก.โครงการยังบอกว่าเชิญมาคุยข้างในด้วยกันสิ แต่เราบอกไม่ใช่ แค่พามาเป็นเพื่อนเฉย ๆ คนอะไรแต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีแฟนให้ควง ต้องมายืมคนอื่นมาเป็นแฟน ไม่มีแฟนธนาคารไม่วางใจไม่ปล่อยกู้ให้ซะงั้น จริง ๆ แล้วมันไม่เกี่ยวอะไรเลยนะ เป็นแค่โครงการนี้เท่านั้นรึเปล่าไม่รู้ รึมันต้องการยึดเงินดาวน์เราวะ ตอนนั้นน้อยใจตัวเองมาก แม้แต่คนรายได้น้อยรัฐยังจัดหาบ้านให้ในรูปแบบบ้านเอื้ออาทรที่กำลังเป็นกระแสตอนนั้น แต่เราเองมีเงินผ่อนดาวน์ ซึ่งสูงกว่าผ่อนธนาคารปกติ ธนาคารยังไม่ปล่อยกู้ให้
ถ้าจะท้าวความถึงจุดเริ่มต้น ก็คงต้องพูดถึงภรรยาคนแรก ที่ตอนนั้นเรากำลังหาบ้านสักหลังที่อยู่ในเมือง หามาหลายโครงการ มาถูกใจก็โครงการนี้ซึ่งดูมีราคาไม่แพงมากนัก ไม่ไกลจากตัวเมือง และอยู่ไม่ห่างจากที่ทำงานมาก แต่เหมือนว่าภรรยาคนนี้จะติตรงที่มันห่างออกมาจากที่เคยอยู่ในเมือง ไกลเกินไปว่างั้น ตอนที่มาจองเราก็มาจองตามลำพัง เค้าไม่ว่างที่จะมาด้วย สุดท้ายเลิกรากันไป ก็ระหว่างที่เราผ่อนดาวน์อยู่นั่นแหล่ะ จนเกือบที่เราจะทิ้งบ้านหลังนี้ไปแล้ว และท้ายที่สุดบ้านหลังนี้ก็ให้ความรักและความอบอุ่นกับครอบครัวใหม่ของเรา
กลับมาเรื่องโปะค่าบ้าน สรุปว่าเราผ่อนทั้งหมด 15 ปี(2546-2561) และทั้งโครงการเรามีการ Refinance แบบย้ายธนาคาร จำนวน 3 ครั้ง คือ
- อยู่กับ ธ.ไทยพานิชย์(SCB) 5 ปี
- อยู่กับ ธ.ไทยธนาคาร(CIMB) 4 ปี
- อยู่กับ ธ.ออมสิน 6 ปี
และมีการทำการ Fixed ดอกเบี้ยบ้าง ทุก ๆ 3 ปี เมื่อมีการลอยตัว ซึ่งก็มีตอนที่อยู่กับ ธ.ออมสิน และก็มีการโปะเงินก้อน 5 ครั้ง ที่เราพอจะมีเงินก้อนบ้าง คือครั้งแรก 50,000 บาทตอนปี 2554 ที่อยู่กับ CIMB ครั้งที่ 2 เกือบ 2 แสนบาท ในปี 2555 ที่เคยเล่าไว้ในนี้
ปลดหนี้เงินกู้ต่อเติมบ้าน ครั้งที่ 3 ในปี 2556 ใช้เงิน 100,000 บาท ที่เคยเล่าไว้ในนี้
โปะเงินค่าบ้าน 100000 บาท และก็อีก 100000 บาท ในครั้งที่ 4 ปี 2557 ที่เคยเล่าไว้ในนี้
โปะค่าบ้านจากโบนัสปี 2557 และครั้งนี้สุดท้ายล่าสุดจำนวน 48300 บาท รวมเงินที่ใช้โปะทั้งสิ้น
483,095 บาท นี้คือเงินที่ใช้นอกเหนือจากการใช้เงินในการผ่อนแบบปกติทุกเดือน
ส่วนจำนวนเงินในการผ่อนแบบปกติทุกเดือน ก็จะแบ่งเป็นช่วง ๆ ทั้ง 15 ปี ดังนี้
- ช่วงปีแรก 2546 - 2551 จ่าย 7,630 บาท / เดือน เป็นเงินทั้งหมด 457,800 บาท
- ช่วงปี 2551 - 2555 จ่าย 9,070 บาท / เดือน(6,120+2,950) เป็นเงิน 380,940 บาท
- ช่วงปี 2555 - 2557 จ่าย 6,120 บาท / เดือน เป็นเงินทั้งหมด 165,240 บาท
- ช่วงปีสุดท้าย 2557 - 2561 จ่าย 6,300 บาท / เดือน เป็นเงินทั้งหมด 296,100 บาท
รวมทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 1,300,080 บาท รวมกับเงินที่ใช้โป๊ะเป็นก้อน 483,095 บาท
จะใช้เงินในการจ่ายผ่อนให้กับธนาคารสำหรับบ้านหลังนี้ทั้งสิ้น 1,783,175 บาท
จากการกู้ มาแค่เพียง 930,000 บาท (ยอดกู้) และ 300,000 บาท (ยอดต่อเติม)
รวม 1,230,000 บาท แสดงว่าที่เหลือเป็นดอกเบี้ย 553,175 บาท ตกเฉลี่ยปีละ 36,xxx บาท
เงินที่เพิ่งโปะไปงวดล่าสุด 48,300 บาท ก็มาจากเงินที่เราเก็บออมไว้ในธนาคาร 4000 บาท/เดือน เก็บ 2 ปี เป็นเงิน 96,000 บาท โดยใส่เป็นชื่อภรรยาไว้ และมีดอกเบี้ยที่น่าพอใจ เงินที่เหลือก็ให้ภรรยาเก็บไว้ใช้จ่ายในครอบครัว แล้วแต่ว่าเค้าจะใช้ทำอะไร....ตอนนี้หนี้สินที่เหลือก็มีแต่ค่าผ่อนตึกอาคารพานิชย์ ที่ซื้อไว้เมื่อ 5 ปีก่อน ที่เอาไว้ให้เค้าเช่าเท่านั้น ตอนนี้มีคนเช่าและมันก็อยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง...
ขั้นตอนก่อนจะดำเนินการโปะเราต้องแจ้งให้ธนาคารทราบก่อนว่าเราจะขอไถ่ถอนสินเชื่อตามบัญชีนี้ และต้องถามเค้าด้วยว่าติดปัญหาอะไรไหม มีค่าปรับหรือไม่ ที่จริงเราต้องหาข้อมูลก่อนว่าเราจะไม่ถูกปรับตามสัญญาการไถ่ถอนก่อนอายุสัญญา ซึ่งเราทำสัญญาล่าสุดที่ Fixed ดอกเบี้ยไว้ก็ล่วงมา เกือบ 4 ปีแล้ว (ปกติจะระบุไม่เกิน 3 ปี) ตามที่เล่าไว้ ในนี้
Fixed ดอกเบี้ยค่าผ่อนบ้าน หลังจากนั้นก็นัดวันจ่ายเงิน หรือจ่ายก่อนก็ได้ แล้วให้ธนาคารเบิกโฉนดออกมา เมื่อเราไปรับโฉนดที่ธนาคารแล้วเค้าจะเขียนใบคำร้องไถ่ถอนโฉนดเพื่อให้เราไปที่สนง.ที่ดินเพื่อทำเรื่องไถ่ถอนโฉนดเอาเอง สนง.ที่ดินก็จะรับเรื่องแล้วนำโฉนดของที่เราถือไป เปรียบเทียบกับโฉนดที่อยู่ที่สนง.ที่ดิน แล้วทำสลักหลังขั้นตอนการไถ่ถอน และระบุชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ ซึ่งก็มีค่าธรรมเนียมนิดหน่อย ก็เป็นอันเรียบร้อย
ตอนนี้้เราก็มีโฉนดบ้านและที่ดินอยู่ในมือแล้ว เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์แบบเต็มตัวซะที..