DXIII Blog...... ON MY WAY!!!
|
|||
World 03 - 06/10/51 - ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (3 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจว่า มาตรการกอบกู้ภาคการเงินของสหรัฐมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสไปแล้วนั้น จะช่วยให้เศรษฐกิจรอดพ้นจากการเผชิญอุปสรรคได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากสถานการณ์ในตลาดสินเชื่อยังคงตึงตัว และยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าจะกลไกการปล่อยและขอเงินกู้จะกลับเข้าสู่ ภาวะปกติ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบหลังจากที่ กระทรวงแรงงานสหรัฐ รายงานตัวเลขจ้างงานเดือนก.ย.ที่ร่วงลงอย่างหนักถึง 159,000 ตำแหน่ง ซึ่งรุนแรงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 100,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานย่ำฐานทรงตัวที่ระดับ 6.1% ตามคาด ทั้งนี้ หุ้นเวลล์ส ฟาร์โกตกลง 1.7% ขณะที่หุ้นซิตี้กรุ๊ปดิ่งลงอย่างหนัก 18% (4) - ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งสูงขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนต่างส่งแรงซื้อเข้าหนุนหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินกัน อย่างคึกคัก หลังจากที่รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศเพิ่มวงเงินค้ำประกันเงินฝากในธนาคาร ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยใน สัปดาห์หน้าเนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่เจ้าหน้าที่กำกับดูแลได้เพิ่มเพดานการค้ำประกันเงินฝากเป็น 50,000 ปอนด์ (88,500 ดอลลาร์สหรัฐ) จากเดิมที่ 35,000 ปอนด์ ความเคลื่อนไหวในแง่บวกเป็นปัจจัยหนุนที่ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุน ซื้อหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินกันอย่างหนาแน่น โดยหุ้นเอชบีโอเอสที่ได้ตกลงขายกิจการให้กับลอยด์ส ทีเอชบีพุ่งขึ้น 13% ส่วนหุ้นบาร์เคลย์ส ที่ซื้อกิจการบางส่วนของเลห์แมนปิดบวกขึ้น 8.9% (4) - เงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (3 ต.ค.) ขานรับสภาคองเกรสลงมติเห็นชอบมาตรการฟื้นฟูภาคการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งให้อำนาจกระทรวงการคลัง เป็นผู้รับซื้อหนี้เสียจากภาคธนาคารและสถาบันการเงิน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้จุดประกายความหวังว่าตลาดสินเชื่อจะ ฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลอื่นๆเพราะปัจจัยลบจากกระทรวงแรงงานสหรัฐ ที่ระบุว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนก.ย. ร่วงลงอย่างหนัก 159,000 ตำแหน่ง ทำสถิติลดลงติดต่อกันนาน 9 เดือนและเป็นตัวเลขที่ร่วงแรงที่สุดในรอบกว่า 5 ปี ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ที่ระดับ 6.1% เงินยูโรอ่อนค่าลงเนื่องจากเทรดเดอร์กังวลว่า ชาติยุโรปที่ใช้สกุลเงินยูโรร่วมกันยังไม่มีมาตรการที่เหมาะสมใน การกู้วิกฤตสินเชื่อ ขณะที่ผู้นำจากฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ และอิตาลีเตรียมเข้าร่วมประชุมฉุกเฉินในสุดสัปดาห์นี้เพื่อหามาตรการ คลี่คลายสถานการณ์เลวร้ายในตลาดเงิน หลังจากที่มีธนาคารยักษ์ใหญ่ในยุโรปสามแห่งถูกโอนกิจการเป็นของ รัฐบาลไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แกรี่ ทอมสัน นักวิเคราะห์จาก ซีเอ็มซี มาร์เก็ตส์ในลอนดอนกล่าวว่า สกุลเงินยูโรร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนเริ่มมีมุมมองในแง่บวกต่อเงิน ดอลลาร์มากกว่า และหันไปวิตกกังวลต่อภาคการเงินในยุโรปแทน และคาดว่าธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ทั้งนี้ นายฌอง-คล้อด ทริเชต์ ประธานอีซีบีได้ตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมที่ 4.25% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา พร้อมทั้งออกแถลงการณ์ส่งสัญญาณว่าจะปรับลดดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ (4) - ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและ ปอนด์ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (2 ต.ค.) หลังจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ส่งสัญญาณว่าอาจต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในยุโรป ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดใน รอบกว่า 1 ปีเมื่อเทียบกับยูโร อีซีบีตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.25% ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารที่นครแฟรงค์เฟิร์ตเมื่อ วานนี้ เนื่องจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อมีมากกว่าความวิตกเรื่องวิกฤตการ เงินที่กำลังแผ่ขยายลุกลามทั่วยุโรป อย่างไรก็ตาม นายฌอง-คล้อด ทริเชต์ ประธานอีซีบีออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมว่า ภาวะเศรษฐกิจที่เสี่ยงต่อการถดถอยในขณะนี้ทำให้คณะกรรมการอีซีบีต้อง หารือกันถึงทางออกในหลายๆด้าน ซึ่งรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การแสดงความเห็นดังกล่าวของนายทริเชต์ได้ฉุดค่าเงินยูโรดิ่งลงแตะ ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปีเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า อีซีบีอาจประกาศลดดอกเบี้ยเนื่องจากวิกฤตการเงินส่งผลให้เศรษฐกิจใน เขตยูโรโซนถดถอยเป็นครั้งแรก และยังทำให้รัฐบาลต้องอุ้มสถาบันการเงิน 5 แห่งในยุโรปที่ประสบปัญหา โดยซิตี้กรุ๊ป, ดอยช์ แบงค์ เอจี, โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ และ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค คาดว่าอีซีบีจะลดดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้ นับตั้งแต่ที่เกิดความผันผวนในตลาดทั่วโลก อีซีบีได้แสดงจุดยืนชัดเจนที่จะแยกนโยบายการเงินและการบริหารสภาพ คล่องออกจากกัน โดยอีซีบีได้อัดฉีดเงินสดเข้าระบบการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องใน การปล่อยกู้ ขณะเดียวกันก็คงอัตราดอกเบี้ยไว้เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้น มากที่สุดในรอบ 16 ปี นักลงทุนจับตาดูว่าสภาคองเกรสจะอนุมัติแผนฟื้นฟูภาคการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ในการประชุมวันศุกร์นี้หรือไม่ หลังจากวุฒิสภาสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 74 ต่อ 25 ให้อนุมัติแผนฟื้นฟูภาคการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงเช้าวานนี้ตามเวลาประเทศไทย นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (non farm payroll) ประจำเดือนก.ย.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐ จะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะร่วงลงอีก 105,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นการร่วงลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 อันเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์สินเชื่อที่ส่งผลกระทบไปเกือบทุกภาคส่วนของ สหรัฐ (3) - ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเล็กน้อยท่ามกลางการซื้อขายที่ ผันผวนเมื่อคืนนี้ (3 ต.ค.) หลังจากสภาคองเกรสอนุมัติแผนกอบกู้ภาคการเงินครั้งประวัติศาสตร์มูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นักลงทุนยังไม่มั่นใจว่ากฎหมายดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ ดีขึ้นได้ในระยะยาว จิม ริทเทอร์บุช นักวิเคราะห์จากบริษัท Ritterbusch and Associates ในรัฐอิลลินอยส์กล่าวว่า "ผมมองว่ามาตรการดังกล่าวจะไม่มีผลต่อราคาน้ำมันมากนัก และอุปสงค์น้ำมันยังคงย่ำแย่อยู่เหมือนเดิม เพราะมาตรการที่ผ่านความเห็นชอบนี้มุ่งเน้นที่จะช่วยเหลือภาคธุรกิจ การเงินและสินเชื่อเท่านั้น" ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังได้ส่งสัญญาเทขายน้ำมันออกมาเมื่อกระทรวงแรงงานสหรัฐ รายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนก.ย.ดิ่งร่วงลงหนักสุดในรอบกว่า 5 ปีที่ 159,000 ตำแหน่ง ซึ่งรุนแรงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 100,000 ตำแหน่ง และเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอซึ่งจะยิ่ง ตอกย้ำให้ความต้องการน้ำมันจากสหรัฐลดน้อยลงไปอีก (4) - ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (2 ต.ค.) โดยราคาดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 94 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าแผนฟื้นฟูภาคการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์อาจไม่สามารถหนุนเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากภาวะถดถอยได้ และจะฉุดรั้งความต้องการพลังงานให้ลดลงด้วย เอดิสัน อาร์มสตร็อง นักวิเคราะห์จาก Tradition Energy กล่าวว่า "นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบหลังจากวุฒิสภาสหรัฐอนุมัติแผนฟื้นฟูภาคการ เงินเมื่อวานนี้ แต่แผนดังกล่าวต้องผ่านมติเห็นชอบจากสภาคองเกรสในการประชุมวันศุกร์ อีกรอบ จึงจะมีผลบังคับใช้ได้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมองว่าแผนดังกล่าวยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ ขยายตัวได้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้ความต้องการพลังงานลดลงไปด้วย" ส่วนอีกปัจจัยที่ส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายสัญญาน้ำมันมาจากข้อมูลของกระทรวงพลังงานสหรัฐ ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 26 ก.ย.พุ่งขึ้น 4.3 ล้านบาร์เรล หรือ 1.5% แตะระดับ 294.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.2 ล้านบาร์เรล (3) - ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดถอยรูดลงเมื่อคืนนี้ (3 ต.ค.) ท่ามกลางความวิตกกังวลต่อข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอซึ่งจะฉุดรั้ง ความต้องการด้านสินค้าโภคภัณฑ์ จนทำให้นักลงทุนแห่เทขายสัญญาทองคำ รวมถึงน้ำมันดิบออกมา แม้ว่าสภาคองเกรสจะลงมติเห็นชอบมาตรการฟื้นฟูภาคการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วก็ตาม ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่ามาตรการฟื้นฟูภาคการเงินของสหรัฐที่ผ่านการเห็นชอบจาก สภาคองเกรสและได้มีการบังคับใช้เป็นกฎหมายครั้งนี้จะไม่มีกำลังแรง พอที่จะช่วยกระตุ้นภาคการเงินและแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังสั่นคลอนอยู่ ในขณะนี้ให้ดีขึ้นได้ ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐ ได้เปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่ร่วงลงรุนแรงที่สุดใน รอบกว่า 5 ปีที่ 159,000 ตำแหน่ง ซึ่งยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าเศรษฐกิจกำลังเผชิญวิกฤตอย่างหนัก (4) - ทองแดง ข้าวโพด และโลหะเงิน เป็นแกนนำที่ฉุดให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์รายสัปดาห์ร่วงหนักสุดในรอบกว่า 50 ปี หลังเศรษฐกิจโลกซบเซาและเงินดอลลาร์แข็งค่าแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีเมื่อเทียบเงินยูโร "วิกฤตตลาดเงินสหรัฐและยุโรปส่งผลกระทบในวงกว้างต่อตลาดอื่นๆ นอกจากนั้นยังหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นซึ่งเป็นผลเสียต่อสินค้า โภคภัณฑ์" ฮุสเซน อัลลิดิน่า นักวิเคราะห์ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จากมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าว (3) - ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (2 ต.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐยังส่งผลให้นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำ และสินค้าทองคำประเภทอื่นๆ รวมถึงน้ำมันดิบ ทอม พอลลิกกี นักวิเคราะห์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์จาก MF Global Research ในเมืองชิคาโกกล่าวว่า ตลาดทองคำได้รับแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่ง สุดในรอบกว่า 1 ปีเมื่อเทียบกับยูโร หลังจากธนาคารกลางยุโร (อีซีบี) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.25% ในการประชุมวานนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าอาจต้องลดอัตราดอกเบี้ยเนื่องภาวะเศรษฐกิจยุโรปที่ เสี่ยงต่อการถดถอย นอกจากนี้ ทองคำยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ขอเข้ารับสวัสดิการในระหว่างว่างงานใน รอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 27 ก.ย.อยู่ที่ 497,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ที่ 475,000 ราย (3) - ประธานาธิบดีบุชเพิ่งลงนามในมาตรการฟื้นฟูภาคการเงินในวงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์เพื่อรับรองมาตรการดังกล่าวให้บังคับใช้เป็นกฎหมาย เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลจะนำกฎหมายฉบับนี้มาใช้อย่างระมัดระวัง และตั้งเป้าที่จะผ่อนคลายวิกฤติสินเชื่อ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลก "เราจำเป็นต้องแก้ไขสถานการณ์ทางการเงิน รัฐสภาได้ดำเนินขั้นตอนสำคัญด้วยการผ่านกฎหมายทางการเงินที่เป็น อุปกรณ์ที่จำเป็นให้แก่เราในการนำเสถียรภาพกลับคืนมาสู่ตลาด ผมเชื่อว่านอกจากมาตรการนี้จะตอบสนองต่อความจำเป็นอย่างเร่งด่วนของ ระบบการเงินของเราแล้ว มาตรการนี้ยังช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐในระยะยาวด้วย" บุชกล่าวกับผู้สื่อข่าว สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ หรือ สภาคองเกรส ลงมติอนุมัติร่างกฎหมายฟื้นฟูภาคการเงินฉบับปรับปรุงใหม่วงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ ด้วยคะแนนเสียง 263 ต่อ 171 เสียง ในการประชุมเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่ได้รับการแก้ไขแล้วนี้ได้มีการเพิ่ม เติมเนื้อหาบางส่วน ซึ่งรวมถึงการเพิ่มค้ำประกันวงเงินฝากธนาคารที่ได้รับการค้ำประกัน โดยบรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) จากเดิมที่ 100,000 ดอลลาร์ เป็น 250,000 ดอลลาร์ และจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในมาตรการลดหย่อนภาษีมูลค่า 1.49 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วไป (6) - โบอิ้ง บริษทผู้ผลิตเครื่องบินสัญชาติสหรัฐเปิดเผยว่า เหตุการณ์ผละงานประท้วงของคนงานฝ่ายผลิตชิ้นส่วนประกอบเครื่องบินที่ เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาส่งผลกระทบให้บริษัทไม่สามารถส่ง มอบเครื่องบินล็อตใหม่ให้ลูกค้าได้ตามกำหนด (4) - เจมส์ บัลลาร์ด ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ และโธมัส โฮนิก ผู้ว่าการเฟดสาขาแคนซัสซิตี้ กล่าวว่า พวกเขาไม่สนับสนุนให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากเกิดวิกฤตการณ์การ เงินครั้งใหญ่สุดในรอบ 70 ปีในสหรัฐ "การลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะไม่ใช่การตอบสนองที่ถูกต้องนัก เพราะสหรัฐยังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อ" บัลลาร์ดกล่าว ขณะที่โฮนิกกล่าวว่า "นโยบายที่เฟดใช้ในปัจจุบันก็สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีอยู่แล้ว" นักวิเคราะห์และนักลงทุนส่วนใหญ่จับตาดู เบน เบนเบอร์นันเก้ ประธานเฟดที่เตรียมแถลงมุมมองเศรษฐกิจต่อสภาคองเกรสในวันอังคารที่ 7 ต.ค.นี้ เพื่อประเมินว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดจะส่งสัญญาณเรื่องการลด อัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินก่อนการประชุมเฟดวันที่ 25-29 ต.ค.หรือไม่ แต่ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่าบัลลาร์ดและโฮนิกจะไม่ออกเสียงสนับสนุนการ ลดดอกเบี้ยในปีนี้ "เมื่อตลาดสินเชื่อตกอยู่ในภาวะขาดสภาพคล่อง ประชาชนก็เริ่มหวั่นวิตกและขาดความเชื่อถือในสถาบันการเงิน ขณะที่สถาบันการเงินเองก็ไม่ยอมปล่อยสินเชื่อเพราะกลัวว่าผู้กู้ยืม จะผิดนัดชำระหนี้ ความไม่วางใจต่อกันและกันเช่นนี้เป็นเหตุให้สถานการณ์แย่ลง และทำให้กลไกในตลาดการเงินเคลื่อนไหวอย่างไม่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งทำให้เกิดความซับซ้อนและทำให้เกิดความยากลำบากในการ เข้าถึงเงินกู้" โฮนิกกล่าวกับผู้สื่อข่าว "แต่ถึงกระนั้น เฟดก็ยังไม่ควรลดดอกเบี้ยในยามที่เศรษฐกิจเปราะบางมากเช่นนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่ยากและท้าทายที่สุดสำหรับเฟดก็คือการใช้นโยบายอัตราด อกเบี้ยในเวลาที่เหมาะสม เพราะถ้าเฟดออกมาเคลื่อนไหวเรื่องดอกเบี้ยเร็วไปหรือช้าไป ก็จะขัดขวางการขยายตัวของเศรษฐกิจได้" เขากล่าว สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน (3) - เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้งส์ อิงค์ ซึ่งขอคุ้มครองสินทรัพย์ตามกฎหมายล้มละลายได้ขออนุมัติจากศาลเพื่อขาย ธุรกิจพลังงานในเครือ คือ อีเกิล เอ็นเนอร์จี พาร์ทเนอร์ส ให้แก่ อีดีเอฟ บริษัทไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสเป็นเงินมูลค่า 230.5 ล้านดอลลาร์ (3) - สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในสัปดาห์ล่าสุดพุ่งแตะระดับสูง สุดนับตั้งแต่เกิดเหตุก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงาน ให้เหตุผลว่าตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเนื่องจากมีผู้ตกงานจำนวนมากจากเหตุพายุเฮอริเคนหลายลูกพัดถล่มรัฐหลุยเซียน่าและเท็กซัส กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ขอเข้ารับสวัสดิการในระหว่างว่างงานใน รอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 27 ก.ย.พุ่งขึ้น 1,000 ราย แตะที่ 497,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ที่ 475,000 ราย กระทรวงระบุว่า มีผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานกว่า 45,000 รายที่เป็นผู้ประสบเหตุพายุเฮอริเคนกุสตาฟและไอค์ และแม้จะตัดผู้ประสบภัยเฮอริเคนออกไป จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานก็ยังอยู่ที่ 400,000 ราย ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าตัวเลขดังกล่าวส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ในขณะเดียวกัน จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเป็นรายเดือนเพิ่มขึ้น 11,500 ราย แตะ 474,000 ราย ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2544 ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญกับตัวเลขเป็นรายเดือนมากกว่ารายสัปดาห์ เนื่องจากมีความผันผวนน้อยกว่า ด้านจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ก.ย.เพิ่มขึ้น 48,000 ราย แตะ 3.591 ล้านราย ซึ่งถือว่าสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2546 และใกล้เคียงกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 3.55 ล้านราย ส่วนเมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องเพิ่มขึ้น 48,000 ราย และ 3.591 ล้านราย ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2546 (3) - ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐร่วงหนักสุดในรอบ 2 ปีในเดือนส.ค. หลังวิกฤตสินเชื่อเริ่มส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิต กระทรวงพาณิชย์รายงาน ว่า ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมลดลงกว่า 4% ในเดือนส.ค.จากเดือนก.ค. ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 2.5% และถือว่าร่วงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปี 2549 ซึ่งตอนนั้นลดลงกว่า 4.8% ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมร่วงหนักหลังยอดสั่งซื้ออากาศยานลดลงกว่า 38.1% ในขณะที่ยอดสั่งซื้อยานยนต์ก็ลดลงกว่า 10.6% ซึ่งถือว่าย่ำแย่สุดในรอบเกือบ 6 ปี ยอดสั่งซื้อสินค้าทุนนอกภาคกลาโหมไม่นับรวมอากาศยาน (non-defense capital goods excluding aircraft) ซึ่งสามารถวัดปริมาณการลงทุนได้ ลดลง 2.4% ซึ่งถือว่าแย่สุดในรอบ 19 เดือน แสดงให้เห็นว่าภาคเอกชนต่างลดการลงทุนลงในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ในขณะเดียวกันการปล่อยกู้ที่เข้มงวดกว่าเดิมก็ทำให้หลายบริษัทไม่ สามารถกู้เงินมาขยายธุรกิจได้ (3) - เศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลงส่งผลให้ชาวเม็กซิโกที่อพยพย้ายถิ่นฐานไปหา งานทำในสหรัฐส่งเงินกลับบ้านเกิดลดลงอย่างฮวบฮาบในเดือนสิงหาคม โดยคิดเป็นจำนวน 1.9 พันล้านดอลลาร์ ร่วงลงถึง 12% เมื่อเทียบกับจำนวน 2.2 พันล้านในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ แรงงานอพยพชาวเม็กซิกันส่งเงินกลับประเทศเป็นจำนวน 1.55 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2550 อยู่ 4% ทั้งนี้ เงินที่ชาวเม็กซิกันในต่างประเทศส่งกลับไปให้ญาติพี่น้องในบ้านเกิด ถือเป็นแหล่งรายได้ถูกกฎหมายจากต่างประเทศมากที่สุดเป็นอันดับสองของ เม็กซิโก รองจากรายได้จากการส่งออกน้ำมัน (3) - ไมเคิล กลอส รัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่า สหภาพยุโรป (อียู) ควรใช้แผนกู้วิกฤติการเงินแบบเดียวกับสหรัฐ หลังจากวิกฤติการเงินในสหรัฐลุกลามเข้าสู่ยุโรป "เราควรจะสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นในระบบการธนาคารของยุโรป แทนที่จะพิจารณาหาทางร่างแผนกู้วิกฤติการเงินในยุโรปขึ้นมา แต่ต้นตอของปัญหาคือการขาดความเชื่อมั่นในระบบการธนาคาร จึงส่งผลให้เกิดวิกฤติการณ์ทางการเงินขึ้น ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่นายธนาคารที่ได้รับเงินเดือนสูงมากๆ จะต้องทำงานให้คุ้มกับเงินเดือนที่ได้รับ แต่การออกากเรียกรัองให้รัฐบาลเอาเงินภาษีอากรของประชาชนมากอบกู้กิจ การของธนาคารที่ประสบปัญหา ดูจะเป็นการกระทำที่เอาเปรียบประชาชนไม่น้อย" กลอสกล่าว การแสดงความคิดเห็นของไมเคิล กลอสครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากนิโกลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด 4 มหาอำนาจเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปที่กรุงปารีส โดยการประชุมครั้งนี้มีผู้นำเยอรมนี อังกฤษ อิตาลี เข้าร่วมประชุม นอกจากนี้ ยังมีนายโฮเซ มานุเอล บาร์รอสโซ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป และนายฌอง-คล้อด ทริเชต์ ประธานธนาคารกลางยุโรป เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย โดยมีการหารือกันเกี่ยวกับภาวะผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลกและวิกฤต การณ์การเงินที่กำลังลุกลามเข้าสู่ยุโรปในเวลานี้ สำนักข่าวเอพีรายงาน (5) - รัฐบาลเยอรมนี ร่วมกับธนาคารพาณิชย์และบริษัทประกันภายในประเทศ ตกลงจัดตั้งวงเงินกู้ฉุกเฉินเป็นวงเงินรวม 5 หมื่นล้านยูโร หรือ 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับบริษัท ไฮโป เรียล เอสเตท (Hypo Real Estate) สถาบันการเงินด้านการจำนองอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของเยอรมนี หลังจากบริษัทขาดสภาพคล่องอย่างหนัก ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ในยุโรปคาดการณ์ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ ไฮโป เรียล เอสเตท จะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินในประเทศอื่นๆ อย่างแน่นอน หากยังไม่มีการดำเนินการช่วยเหลือใดๆ พร้อมกับคาดว่าไฮโป เรียล เอสเตท ซึ่งมีหนี้สินด้อยคุณภาพอยู่เป็นจำนวนมาก อาจจะดำเนินกิจการต่อไปได้อีกเพียง 2-3 วันเท่านั้น หากไม่มีแผนการช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรม ขณะที่รัฐมนตรีคลังเยอรมนีกล่าวว่า ไฮโป เรียล เอสเตท มีปัญหาสภาพคล่อง เพราะเข้าไปลงทุนในเลห์แมน บราเธอร์สในวงเงินที่ค่อนข้างสูง สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน (6) - ราคาบ้านของอังกฤษประจำเดือนกันยายน 2551 ร่วงลงหนักที่สุดนับตั้งแต่ปี 2534 ขณะที่วิกฤตการเงินทวีความรุนแรงมากขึ้น เนชั่นไวด์ บิลดิ้ง โซไซตี้ รายงานว่า ราคาบ้านโดยเฉลี่ยร่วงลง 12.4% จากปีก่อนหน้านี้ แตะที่ 161,797 ปอนด์ (287,658 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งถือเป็นสถิติการดิ่งร่วงลงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มทำการสำรวจมา ตั้งแต่ 17 ปีก่อน นอกจากนี้ ราคาบ้านยังดิ่งลง 1.7% จากเดือนส.ค. ส่งผลให้ราคาบ้านปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 "ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นประกอบกับการปล่อยเงินกู้ที่น้อยลงของธนาคาร อันเป็นผลลัพธ์จากวิกฤตสินเชื่อนั้นคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจ ชะลอตัวลงและทำให้สถานการณ์เลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้" ฟิโอนูลา เออร์ลีย์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากเนชั่นไวด์กล่าว "สถานการณ์ปั่นป่วนในขณะนี้เป็นภัยคุกคามต้นทุนค่าใช้จ่ายให้เพิ่มสูง ขึ้นเรื่อยๆ" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ในช่วงไตรมาสที่สามของปีนี้ ราคาบ้านดำดิ่งลง 10.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่มูลค่าบ้านใน 13 เขตที่ทำการสำรวจล้วนลดลงทั่วทุกแห่ง (3) - ธุรกิจบริการของอังกฤษประจำเดือนก.ย.ทรุดตัวลงหนักที่สุดในรอบ 12 ปี ท่ามกลางวิกฤตการเงินทั่วโลกที่กดดันให้ประเทศก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอย มากขึ้นเรื่อยๆ ดัชนีชี้วัดธุรกิจบริการของสถาบัน Chartered Institute of Purchasing and Supply ที่ทำการสำรวจบริษัท 700 แห่งปรับตัวลดลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เริ่มทำการสำรวจในปี 2539 ไปอยู่ที่ระดับ 46 จุด เมื่อเทียบกับที่ 49.2 จุดในเดือนส.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์จากโพลล์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดว่าดัชนีดังกล่าวจะ อยู่ที่ 48 จุด โดยดัชนีที่ร่วงลงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 จุดบ่งชี้ให้เห็นถึงภาวะหดตัว "สถานการณ์ที่เลวร้ายต้องรับมือด้วยการใช้มาตรการที่รุนแรง" อลัน คลาร์ก นักวิเคราะห์จากบีเอ็นพี พาริบาส์ เอสเอกล่าว "ผมมั่นใจว่า ธนาคารกลางต้องปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างแน่นอน เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์กำลังอยู่ในภาวะย่ำแย่" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ณ เวลา 10.18 น.ตามเวลาในประเทศไทย เงินปอนด์ของอังกฤษดิ่งลงหนักสุด 0.3% หลังจากทางการเปิดเผยรายงานดังกล่าว โดยสกุลเงินดังกล่าวเทรดกันที่ระดับ 1.7708 ดอลลาร์ต่อปอนด์ นอกจากนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจอีกรายการหนึ่งซึ่งระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของอังกฤษทรุดตัวลงรุนแรงที่สุดในรอบ 16 ปีเมื่อเดือนที่ผ่านมาและอุตสาหกรรมบริการช่วงเดือนพ.ค.-ก.ค.หดตัวลง เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2545 (3) - นายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ ของอังกฤษ ปรับคณะรัฐมนตรีในวันนี้ โดยมีกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับรมต.ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึง นายปีเตอร์ แมนเดลสัน กรรมาธิการการค้าอียู ในตำแหน่งรัฐมนตรีธุรกิจ (3) - สำนักงานสถิติแห่งชาติของ ฝรั่งเศส (Insee) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจฝรั่งเศสซึ่งแข็งแกร่งเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มยูโรโซน อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 15 ปีในไตรมาส 3 ของปีนี้ (3) - รัฐบาลจีนประณามสหรัฐที่ตัดสินใจขายอาวุธมูลค่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ให้กับไต้หวัน โดยนายหลิว เจี้ยนเฉา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าว ว่า รัฐบาลและประชาชนจีนขอต่อต้านการตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นการสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของจีนและส่งผลกระทบ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐด้วย เมื่อวานนี้ กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ยื่นขอการอนุมัติจากสภาคองเกรสที่จะอาวุธให้แก่ไต้หวัน มูลค่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งประกอบด้วย ขีปนาวุธสกัดกั้น เฮลิคอปเตอร์รบรุ่นอาปาเช่ AH-64D ขีปนาวุธนำวิถี รวมไปถึงส่วนเครื่องบินรบ เครื่องบินขนส่ง เรดาร์ และอุปกรณ์การสื่อสาร ทั้งนี้ สำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ชี้แจงต่อสภาคองเกรสว่า การขายอาวุธดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยสนับสนุนความพยายามของ ไต้หวันที่จะเพิ่มระดับความมั่นคง และรักษาสเถียรภาพทางการเมือง รวมถึงสร้างสมดุลทางกองทัพ และกระตุ้นความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ โดยทางสภานิติบัญญัติจะมีเวลา 30 วันในการคัดค้านการขายอาวุธในครั้งนี้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน (5) - ธนาคารกลางจีนได้ออกมาแสดงความยินดีที่สภาคองเกรสอนุมัติแผนกู้วิกฤตการเงินสหรัฐมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ได้ลงนามให้กฎหมายฉบับดังกล่าวมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งย้ำว่า รัฐบาลจีนยินดีให้ความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาดเงินทั่วโลก (4) - นายคริสโตเฟอร์ ฮิลล์ ผู้แทนเจรจานิวเคลียร์สหรัฐได้เดินทางถึงกรุงปักกิ่งในเช้าวันนี้ เพื่อรายงานข้อสรุปที่ได้จากการเจรจากับเกาหลีเหนือเมื่อสัปดาห์ที่ ผ่านมา เรื่องการเดินหน้ากระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์ โดยผู้แทนเจรจานิวเคลียร์สหรัฐจะเข้าพบกับนายอู๋ ต้าเหว่ย รมช.กระทรวงต่างประเทศ ซึ่งรั้งตำแหน่งผู้แทนเจรจาระดับสูงของจีนในการประชุม 6 ฝ่ายที่มีเป้าหมายเกลี้ยกล่อมให้เกาหลีเหนือยุติโครงการนิวเคลียร์ โดยเขาจะรายงานข้อสรุปให้ทางการจีนรับทราบและดูว่าจีนต้องการผลักดัน กระบวนการนี้อย่างไรต่อไป ทั้งนี้ การที่สหรัฐยังไม่ยอมถอนรายชื่อของเกาหลีเหนืออกจากบัญชีประเทศผู้ สนับสนุนการก่อการร้ายนั้นได้จุดชนวนให้เกาหลีเหนือประกาศว่าจะกลับมา เปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่โรงงานในกรุงยองเบียนอีกครั้ง (4) - ผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งของจีนอาจรายงานตัวเลขการทำกำไร ได้ในเดือนนี้ จากอานิสงส์ของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง สมาคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกล่าวในรายงานว่า อุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันของประเทศอาจรอดพ้นจากภาวะขาดทุนอย่างหนัก หากราคาน้ำมันในตลาดโลกคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากที่เคยพุ่งขึ้น ในก่อนหน้านี้ โดยทางสมาคมคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอาจทรงตัวอยู่ต่ำกว่าระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรลในไตรมาสที่ 4 ท่ามกลางสภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ภาคธุรกิจปิโตรเคมีของจีนมีอัตราการขยายตัวในระดับตัวเลขสองหลักยาว นานต่อเนื่องถึง 5 ปี ก่อนที่จะประสบภาวะชะลอตัว 0.04% ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ โดยในครึ่งปีแรก ผลกำไรของธุรกิจดังกล่าวพุ่งขึ้นเกือบ 2.5% ทั้งนี้ จีนมีผลผลิตน้ำมันกลั่นจำนวน 18.2 ล้านตันในเดือนส.ค.ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และสูงกว่า 1.3% เมื่อเทียบกับเดือนก.ค. โดยคิดเป็นมูลค่า 1.758 แสนล้านหยวน (2.57 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งปรับตัวสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 37.4% (3) - คาโอรุ โยซาโนะ รมว.นโยบายเศรษฐกิจและการคลังของญี่ปุ่น แสดงความเห็นว่า การที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องแล้ว ในการรับมือกับวิกฤตการณ์ด้านสินเชื่อ ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้ทำให้บีโอเจไม่จำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ย การแสดงความคิดเห็นของโยซาโนะมีขึ้นในช่วงเวลาที่วิกฤตการณ์การ เงินในสหรัฐกำลังลุกลามเข้าไปสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจทั่ว โลก ซึ่งทำให้ธนาคารกลางใหญ่ๆของหลายประเทศ รวมถึงบีโอเจ ถูกต้องกดดันให้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ แต่รมว.ยาซาโนะเห็นด้วยกับการที่บีโอเจเลือกใช้วิธีอัดฉีดสภาพคล่อง เข้าสู่ระบบการเงิน โดยกล่าวว่า "เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและมีประสิทฺธิภาพ" เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทางรัฐบาลคิดว่าบีโอเจควรลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกดดันในตลาดการ เงินหรือไม่ โยซาโนะตอบว่า "เป้าหมายของอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นถูกกำหนดไว้ที่ 0.5% ไม่เหมือนกับในบางประเทศที่อัตราดอกเบี้ยข้ามคืนปรับตัวสูงขึ้น แต่สำหรับญี่ปุ่นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่แนวทางที่มี ประสิทธิภาพ" ทั้งนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้อัดฉีดเงินเข้าตลาดเงินอีก 8 แสนล้านเยนวันนี้ นับเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องที่ติดต่อกันเป็นเวลา 13 วันแล้ว นับตั้งแต่ที่เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้งส์ ล้มละลายเมื่อวันที่ 15 ก.ย. โดยการอัดฉีดเงินครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อที่จะสนับสนุนตลาดอินเตอร์ แบงค์ โดยเฉพาะสถาบันการเงินต่างประเทศ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า (3) - โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ได้ปรับลดจำนวนพนักงานที่ทำสัญญาจ้างงานในสายงานผลิตในญี่ปุ่นลงแล้ว ประมาณ 20% ในช่วง 6 เดือนสิ้นสุดก.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากยอดขายรถทั่วโลกที่ร่วงลง ในบรรดาบริษัทในเครือของโตโยต้านั้น โตโยต้า มอเตอร์ คิวชู อิงค์ ได้ยกเลิกสัญญาจ้างงานพนักงานชั่วคราวไปแล้วประมาณ 800 ราย ขณะที่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดรถที่ใหญ่ที่สุดของโตโยต้านั้น ปรากฏว่า ยอดขายรถใหม่ในเดือนก.ย.ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยดิ่งลงถึง 32.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี สำหรับยอดขายรถใหม่ในญี่ปุ่นช่วงครึ่งแรกของปีงบการเงิน 2551 นั้น ยอดขายลดลง 1.8% ตั้งแต่เดือนเม.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว (3) อ้างอิงจาก //www.ryt9.com ข้อสังเกต 1. ช่วงนี้นักลงทุนให้ความสนใจกับท่าทีของธนาคารกลางทั่วโลกในเรื่องของการปรับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งธนาคารกลางหลายๆแห่งก็จะออกมาให้ข่าวในทำนองที่ว่า จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ทั้้งนี้น่าจะเป็นเพราะการปรับอัตราดอกเบี้ยในสมัยนี้ส่งผลไม่เหมือนกับการปรับอัตราดอกเบี้ยในสมัยก่อน ซึ่งในสมัีัยก่อนการปรับอัตราดอกเบี้ยกว่่าจะเห็นผลที่ชัดเจนก็จะใช้เวลาประมาณ 1Q ขึ้นไป แต่ในตอนนี้การปรับอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลต่อตลาด Future แทบจะในทันที โดยจะมีผลต่อราคา Commodity ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยังอัตราเงินเฟ้อ ฉะนั้นการที่ธนาคารกลางหลายๆแห่งออกมาให้ข่าวว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ จึงเป็นการรักษาระดับของเงินเฟ้อที่ดีครับ ทั้งนี้ผมมองว่าหากไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ย หนี้เน่าในระบบการเงินก็จะเพิ่มสูงขึ้น ฉะนั้นหากธนาคารกลางต่างๆไม่ลดอัตราดอกเบี้ย ก็คงต้องมีมาตราการอื่นมาจัดการหนี้เน่าล่ะครับ 2. ช่วงนี้ชีวิตกำลังวุ่นวาย เพราะปลายเดือนจะไม่อยู่เกือบ 10 วัน อาจจะต้องอัพรวมหลายๆวันอยู่บ่อยๆครับ ---------------------------------------------------------------------------------- คำเตือน - ข้อมูลดังกล่าวผู้เขียนตั้งใจเก็บไว้สำหรับเตือนความจำ และประกอบการวิเคราะห์ของผู้เขียน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจมีข้อผิดพลาด คลาดเคลื่อน ไม่ครบถ้วน หรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ดังนั้นผู้เข้าเยี่ยมชมโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ขอบคุณครับ |
Death_13
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog
Friends Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |