DXIII Blog...... ON MY WAY!!!
|
|||
World 16 - 17/10/51 - ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นกว่า 400 จุดเมื่อคืนนี้ (16 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นอย่างคึกคักหลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงต่ำ กว่าระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายค่อนข้างผันผวนเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับ ข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา รวมถึงข้อมูลภาคการผลิตและยอดค้าปลีก สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่ง 401.35 จุด หรือ 4.68% แตะที่ 8,979.26 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 38.59 จุด หรือ 4.25% แตะที่ 946.43 จุ และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 89.38 จุด หรือ 5.49% แตะที่ 1,717.71 จุด ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.99 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 3.34 พันล้านหุ้น วู๊ดดี้ ดอร์ซีย์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Market Semiotics กล่าวว่า "ดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งหลังจากราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ร่วงลงอีก 4.69 ดอลลาร์ แตะที่ 69.85 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐ เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบและเบนซินพุ่งขึ้นเกินความคาดหมาย ซึ่งราคาน้ำมันที่ร่วงลงช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ" "อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ และการแสดงความคิดเห็นในด้านลบของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยในระหว่างวันตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างหนักและเคลื่อนไหวอยู่ใน แดนลบอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะได้รับแรงซื้อเข้าหนุนจนดัชนีทะยานขึ้นปิดในแดนบวก" ดอร์ซีย์กล่าว - ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (16 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่ามาตรการฟื้นฟูระบบการเงินที่รัฐบาลสหรัฐ และยุโรปประกาศใช้ยังไม่แกร่งพอที่จะประคับประคองเศรษฐกิจให้รอดพ้น จากภาวะถดถอยได้ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ดัชนี FTSE 100 ปิดร่วงลง 218.2 จุด แตะระดับ 3,861.4 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 3,808.1-4,079.6 จุด ปิแอร์ ฮิลลิเยร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท WestLB Mellon Asset Management นักลงทุนยังคงวิตกกังวลแม้ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นกว่า 400 จุดเมื่อคืนนี้ และแม้ว่าที่ประชุมสุดยอดกลุ่มผู้นำยุโรปมีมติให้ใช้มาตรการรับมือ กับปัญหาในระบบการเงินและจัดสรรงบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องธนาคารในยุโรป และรัฐบาลอังกฤษออกมาตรการช่วยเหลือธนาคารในอังกฤษที่ขาดสภาพคล่องด้าน การเงิน - ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (16 ต.ค.) เพราะได้รับแรงหนุนจากตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ทะยานขึ้นแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายค่อนข้างผันผวนเนื่องจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจว่ามาตรการ ฟื้นฟูภาคการเงินจะช่วยผ่อนคลายวิกฤตการณ์สินเชื่อที่ลุกลามไปทั่วโลกได้หรือไม่ ไบรอัน โดแลน หัวหน้านักลงทุนด้านปริวรรตเงินตราจาก Forex.com กล่าวว่า "ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ทะยาน ขึ้นกว่า 400 จุด หลังจากราคาน้ำมันดิบ NYMEX ดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่องกระตุ้นให้นักลงทุนปลีกตัวออกจากตลาด น้ำมันและหันเข้าเทรดในตลาดปริวรรตเงินตรา และยังลดแรงจูงใจในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่นๆด้วย" - ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงต่ำกว่าระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (16 ต.ค.) หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐ เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบและเบนซินร่วงลงเกินความคาดหมาย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนมองว่าวิกฤตการณ์สินเชื่อที่ฉุดรั้ง เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงกำลังทำให้ความต้องการพลังงานลดลงด้วย สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.ร่วงลง 4.69 ดอลลาร์ หรือ 6.29% ปิดที่ 69.85 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 68.57-74.50 ดอลลาร์ ฟิล ไฟนน์ นักวิเคราะห์จากบริษัทเอลารอน เทรดดิ้ง กล่าวว่า "นักลงทุนกระหน่ำขายสัญญาน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่องแม้กลุ่มโอเปคปรับลด คาดการณ์ความต้องการพลังงาน และเมื่อคืนนี้นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบอีกระลอกเมื่อกระทรวงพลังงานสหรัฐระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบและเบนซินร่วงลงเกินความคาดหมาย" โอเปคคาดการณ์ว่า ในปีหน้านั้นความต้องการพลังงานของกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจจะ มากกว่าปีนี้เพียง 400,000 บาร์เรลต่อวัน และคาดว่าความต้องการพลังงานในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาจะเพิ่มขึ้น ราว 1.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากจีน ประเทศตะวันออกกลาง และอินเดีย - ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (16 ต.ค.) โดยในระหว่างวันราคาดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 800 ดอลลาร์/ออนซ์เนื่องจากนักลงทุนยังคงเทขายสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจะฉุดรั้งความต้อง การพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทต่างๆให้ทรุดตัวลงด้วย สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาทองคำตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 804.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 34.50 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 786.70-852.10 ดอลลาร์ จอห์น เนดเลอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Kitco Bullion Dealers Montreal กล่าวว่า ราคาทองร่วงลงอย่างหนักเพราะได้รับอิทธิพลจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าวิกฤต การณ์สินเชื่อที่ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกถดถอยลงจะทำให้ความต้องการ สินค้าโภคภัณฑ์ทรุดตัวลงด้วย ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นแรงขายในตลาด น้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภท รวมถึงทองคำ - เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ที่สมาคมเศรษฐกิจในกรุงวอชิงตันว่า มาตรการฟื้นฟูเสถียรภาพในตลาดการเงินและคลี่คลายวิกฤตสินเชื่อที่ รัฐบาลสหรัฐนำมาใช้นั้น อาจยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีดตัวขึ้นในทันที "การสร้างเสถียรภาพในตลาดการเงินถือเป็นย่างก้าวที่สำคัญ ซึ่งแม้ว่าตลาดจะมีเสถียรภาพตามที่เราคาดหวัง แต่ผมคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะยังไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมให้ฟื้น ตัวขึ้นได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงอ่อนแอและตลาดการเงินยังคงผันผวน หนัก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและภาค เอกชนถดถอยลง และจะฉุดรั้งเศรษฐกิจโดยรวมให้ชะลอตัวลงด้วย" เบอร์นันเก้กล่าว เบอร์นันเก้ยังกล่าวด้วยว่า "นโยบายการเงินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐได้ แต่เฟดจะยังคงใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มีในการกระตุ้นตลาดให้ทำงาน ตามกลไกปกติและกระตุ้นสภาพคล่องให้หมุนเวียนอย่างเพียงพอ ผมเชื่อว่าวิกฤตสินเชื่อจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อนักลงทุนและภาค เอกชนกลับมามีความเชื่อมั่นเหมือนเดิม" "แนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 2-3 ไตรมาสข้างหน้าจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตลาดการเงินและตลาดสินเชื่อ ว่าจะกลับมาทำงานได้ตามกลไกปกติหรือไม่" เบอร์นันเก้กล่าว สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การแสดงความคิดเห็นของเบอร์นันเก้ส่งผลให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาด การณ์ว่า เฟดอาจจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก หลังจากที่เฟดประกาศลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.5% เมื่อวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการดำเนินการร่วมกับธนาคารกลางแห่งอื่นๆทั่วโลก - ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ของสหรัฐ ยืนยันว่าประชาชนชาวอเมริกันจะได้รับเงินที่เสียภาษีไปคืนเกือบทั้ง หมด หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลมีแผนใช้เงินดังกล่าวในการให้ความช่วย เหลือสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงิน พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างแน่นอน "เราจะไม่นำเงินภาษีของประชาชานไปให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงิน" บุชกล่าวต่อกลุ่มนักธุรกิจในรัฐมิชิแกน "เราจะได้เงินจำนวนดังกล่าวคืนมาเกือบทั้งหมด" - รัฐบาลสหรัฐรายงานตัวเลขขาดดุลบัญชีงบประมาณประจำปี 2551 ที่พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากภาวะตลาดเงินตึงตัวกดดันให้เศรษฐกิจ ชะลอตัวลงและทำให้รัฐบาลมียอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้ง แต่ปี 2533 กระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นแตะที่ 4.55 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2551 ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน เมื่อเทียบกับระดับ 1.62 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว และที่ระดับ 4.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2547 โดยส่วนต่างของตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) อยู่ที่ระดับ 3.2% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 1.2% ในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ยอดขาดดุลการค้ามีส่วนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี 2547 ที่มีสัดส่วนคิดเป็น 3.6% ของ GDP ทั้งนี้ รายได้จากการจัดเก็บภาษีเงินได้ของภาคเอกชนปรับตัวลดลง 18% ไปอยู่ที่ 3.043 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อการดำเนิน ธุรกิจของภาคเอกชน ขณะที่การใช้จ่ายทางทหารของสหรัฐพุ่งขึ้น 12.5% จากปีก่อนหน้านี้แตะที่ 5.947 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และการใช้จ่ายของกระทรวงสาธารณสุข เพิ่มขึ้น 4.2% แตะระดับ 7.005 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมมียอดรวมอยู่ที่ 6.57 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปรับตัวสูงขึ้น 5.8% จากปีงบประมาณก่อนหน้านี้ - กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.ย.ร่วงลง 1.2% แตะระดับ 3.755 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีพ.ศ.2548 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับลงเพียง 0.7% กระทรวงฯระบุว่า ยอดขายรถยนต์ร่วงลง 1.5% ยอดขายที่ห้างสรรพสินค้าลดลง 1.5% ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลง 1.5% คริสเตียน โบรดา นักวิเคราะห์จากบาร์เคลย์ส แคปิตอล กล่าวว่า ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นและได้ลดการซื้อสินค้าใหม่ๆที่ไม่จำ เป็นต่อชีวิตประจำวัน อาทิ รถยนต์ใหม่ และลดการท่องเที่ยวพักผ่อนในวันหยุด ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากขึ้น เนื่องจากตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคคิดเป็นสัดส่วนกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมโดยรวมของเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ คาดว่าบริษัทเอกชนและผู้บริโภคอาจจะเลื่อนแผนการลงทุนและการซื้อ สินค้ารายการใหญ่ออกไป เพื่อรอให้สถานการณ์เศรษฐกิจมีความแน่นอนมากกว่านี้ - กระทรวงพลังงานสหรัฐ เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 10 ต.ค.พุ่งขึ้น 5.6 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 308.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์ธอมสัน ไฟแนนเชียลคาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 1.9 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินทะยานขึ้น 7 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 193.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะดีดตัวขึ้นเพียง 600,000 บาร์เรล แต่สต็อกน้ำมันกลั่นที่รวมถึงน้ำมันฮีทติ้งออยล์และดีเซล ลดลง 2.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 122.1 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.9% แตะระดับ 82.2% ต่ำกว่าที่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 2.9% สต็อกน้ำมันข้างต้นไม่นับรวมกับคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve) ของสหรัฐซึ่งปัจจุบันมีน้ำมันดิบสำรองอยู่ประมาณ 689 ล้านบาร์เรล แต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช แห่งสหรัฐ ประกาศให้ปรับเพิ่มคลังน้ำมันสำรองประเภทดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรลภายในปี 2570 เพื่อรับมือกับภาวะติดขัดที่อาจเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและการโจม ตีของผู้ก่อการร้าย - เมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค เปิดเผยว่า บริษัทขาดทุนสุทธิ 5.15 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดมูลค่าสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาริม ทรัพย์ - ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ ธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐในแง่สินทรัพย์ รายงานผลประกอบการขาดทุนเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน โดยมาจากการขาดทุนเงินกู้และการลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีอย่างน้อย 1.32 หมื่นล้านดอลลาร์ ซิตี้กรุ๊ปเปิดเผยในแถลงการณ์ว่า ธนาคารขาดทุนสุทธิ 2.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 60 เซนต์ต่อหุ้นในไตรมาสสาม เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ธนาคารมีกำไร 2.2 พันล้านดอลลาร์ หรือหุ้นละ 44 เซนต์ อย่างไรก็ดี ตัวเลขขาดทุนไตรมาส 3/51 ยังดีกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่บลูมเบิร์กได้สำรวจความคิดเห็น ว่า ซิตี้กรุ๊ปจะขาดทุน 3.8 พันล้านดอลลาร์ - เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐในแง่มูลค่าตลาด เปิดเผยผลกำไรไตรมาสสามร่วงลงถึง 84% โดยมีสาเหตุมาจากการลดมูลค่าสินทรัพย์ในบัญชี รวมถึงการขาดทุนและการจัดหาสินเชื่อ คิดเป็นมูลค่าราว 5.8 พันล้านดอลลาร์ - บริษัท เชฟรอน คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานสหรัฐรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ จะลงทุนเป็นเงินเกือบ 6 พันล้านดอลลาร์ในโครงการด้านพลังงานในเอเชียปีนี้ ชี้วิกฤตการเงินโลกไม่กระทบต่อแผนการขยายธุรกิจ เคิร์ท โกลบิทซ์ หัวหน้าฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์ด้านการสำรวจและพัฒนาของเชฟรอน กล่าวว่า บริษัทจะใช้งบจำนวน 1 ใน 3 ของงบในการขยายธุรกิจ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในเอเชียปีนี้ บริษัทมีสินเชื่อ 5 พันล้านดอลลาร์ที่คาดว่าจะพร้อมใช้ และสถานะเงินสดของบริษัทก็มีความแข็งแกร่ง บลูมเบิร์กรายงานว่า โกลบิทซ์กล่าวว่า บริษัทติดตามวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด เมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว การขยายตัวด้านความต้องการพลังงานในเอเชียระยะยาวยังคงแข็งแกร่ง - วิลเลียม ธอมสัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบบัญชีประจำกรุงนิวยอร์กที่เตรียมลงเลือกตั้งชิงตำ แหน่งผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กในปีหน้า คาดการณ์ว่า ตัวเลขว่างงานในนิวยอร์กอาจมีอยู่มากถึง 165,000 ตำแหน่ง รวมถึงตัวเลขว่างงานในภาคการเงิน เนื่องจากวิกฤตการณ์สินเชื่อที่ลุกลามไปทั่วประเทศ "ตัวเลขว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตการณ์สินเชื่อได้ ลุกลามเข้าไปสร้างความเสียหายในภาคส่วนอื่นๆของประเทศ ซึ่งจะฉุดรั้งเศรษฐกิจสหรัฐให้ถดถอยเร็วขึ้น" ธอมสันกล่าว - ธนาคารกลางของประเทศต่างๆในยุโรปกำลังใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อ ฟื้นตลาดสินเชื่อให้กลับสู่สภาพปกติ โดยธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะเปิดรับหลักทรัพย์ในอัตราต่ำให้เป็นหลักประกันสำหรับการปล่อยกู้ แบงค์ และจะจัดสำรองเงินยูโรให้มากเท่าที่ต้องการในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่ธนาคารกลางสวิสจะทำสว็อปสกุลเงินกับธนาคารกลางยุโรป และในวันนี้ธนาคารกลางสวิสก็ได้ออกมาประกาศว่า จะให้การสนับสนุนการดำเนินงานในตลาดเงินของธนาคารกลางฮังการี ส่วนธนาคารกลางอังกฤษก็จะเปิดเผยแผนกระตุ้นตลาดเวลา 11.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงลอนดอน บลูมเบิร์กรายงานว่า ผู้บริหารระดับนโยบายต่างระดมความคิดเพื่อหาทางยุติปัญหาที่เกิดขึ้น ในตลาดสินเชื่อที่กินเวลายาวนานถึง 14 เดือนให้ได้ ด้วยการขยายขอบเขตความร่วมมือกับสวิตเซอร์แลนด์และฮังการี ส่วนธนาคารกลางยุโรปก็ทำหน้าที่ในฐานศูนย์กลางของธนาคารในทวีปยุโร ปมากขึ้น ด้วยการหาวิธีการปรับปรุงระบบการหมุนเวียนของเงินทุนผ่านทางเศรษฐกิจ ของประเทศในทวีปยุโรป นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรปยังจะเปิดให้มีการซื้อขายตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์ ปอนด์ เยน และยูโรในรูปของเงินสด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในทันที และจะมีผลไปจนถึงกระทั่งถึงสิ้นปีหน้า จูเลียน คัลโลว์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตรฺของบาร์เคลย์ส แคปิตอล กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับระบบการ ธนาคาร และคาดว่าการเปิดรับ certificates of deposit อาจจะมีมูลค่าถึง 4.5 แสนล้านยูโร หรือ 6.03 แสนล้านดอลลาร์ - ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เตรียมออกเงินกู้ 5 พันล้านยูโร (6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้กับธนาคารกลางฮังการี เพื่อช่วยฟื้นฟูตลาดสินเชื่อภายในประเทศ ข้อตกลงเกี่ยวกับการให้เงินกู้ครั้งนี้จะเป็นการสนับสนุนความพยายาม ของธนาคารกลางฮังการีที่ต้องการเสริมสภาพคล่องของเม็ดเงินยูโรในตลาด เงิน แม้ว่าฮังการีจะไม่ได้เป็นประเทศที่อยู่ในเขตยูโรโซน หรือเป็นหนึ่งในสมาชิก 15 ประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรก็ตาม - ยอดขายรถยนต์ในยุโรปเดือนก.ย. 2551 ร่วงลง 8.2% หลังจากที่ยอดขายรถเริ่มลดลงมาตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และภาวะผันผวนในตลาดเงินทำให้ความต้องการรถจากค่ายเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ป (จีเอ็ม) และ Bayerische Motoren Werke AG สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของยุโรปเปิดเผยว่า ยอดการจดทะเบียนซื้อรถในเดือนก.ย.ลดลงมาอยู่ที่ 1.3 ล้านคัน จากระดับปีที่แล้วที่ 1.42 ล้านคัน ส่วนยอดขายรถในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ตกลง 4.4% แตะ 11.7 ล้านคัน เมื่อเปรียบเทียบกับยอดเดือนส.ค.ที่ลดลง 3.9% บลูมเบิร์กรายงานว่า จีเอ็มและบีเอ็มดับเบิ้ลยูได้รับผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤตที่เกิดขึ้น ในตลาดสินเชื่อที่ลุกลามจนทำให้ผู้ขับขี่ยานยนต์ลดการซื้อรถ โดยยอดขายปลีกเดือนก.ย.ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 แล้ว ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและผู้บริหารร่วงลงแตะระดับต่ำสุด ในรอบเกือบ 7 - อัตราว่างงานในอังกฤษเดือนก.ย. 2551 เพิ่มสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะถดถอย และวิกฤตการเงินโลกก็ทำให้ภาคการธนาคารไปจนถึงบริษัทก่อสร้างต่าง ปรับลดพนักงานเป็นจำนวนมาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยว่า อัตราการขอสวัสดิการระหว่างว่างงานเพิ่มขึ้น 31,800 ราย แตะ 939,900 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2549 นักเศรษฐศาสตร์ที่บลูมเบิร์กได้สำรวจความคิดเห็นคาดว่า ยอดขอสวัสดิการระหว่างว่างงานจะเพิ่มขึ้น 36,000 ราย ขณะที่ยอดการขอสวัสดิการระหว่างว่างงานในเดือนส.ค.อยู่ที่ 35,700 ราย เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2535 สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์ล้มละลายของธนาคารหลายแห่งในไอซ์แลนด์นับเป็นความเคลื่อน ไหวที่สร้างความเสี่ยงร้ายแรงสำหรับการทำธุรกรรมตราสารหนี้ที่มี สินทรัพย์ค้ำประกัน (CDO) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารคอปธิง แลนด์, แลนด์สแบงกี และกลิทนีร์ มีจำนวนการทำธุรกรรม CDO จากทั่วโลกรวมกัน 376 แห่ง และอีก 297 แห่งเป็นของธนาคาร 2 ใน 3 แห่งนี้ ทั้งนี้ การตราสาร CDO ได้มีการขายผ่านธุรกรรมสวอปความเสี่ยงจากสินเชื่อที่จ่ายให้กับนักลง ทุน หากเกิดกรณีผิดนัดชำระหนี้ และรัฐบาลจะเป็นฝ่ายชดใช้เงินดังกล่าวให้กับธนาคารในวันที่ครบกำหนด ชำระเงินตามที่ระบุไว้ในสัญญา S&P ระบุในแถลงการณ์ว่า เนื่องด้วยตราสาร CDO ส่วนใหญ่มักอิงกับสินทรัพย์ของเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้ง อิงค์ และวอชิงตัน มูชวล อิงค์ที่ประสบภาวะล้มละลายไปแล้ว ดังนั้นเศรษฐกิจจึงมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากหนี้เสียครั้งนี้ อย่างหนักหน่วง ขณะเดียวกัน เคบีซี กรุ๊ป เอ็นวี ผู้ให้บริการทางการเงินรายใหญ่ที่สุดในเบลเยี่ยมในแง่ของมูลค่า การตลาดได้ปรับลดมูลค่าทางบัญชีลง 1.6 พันล้านยูโร (2.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)เมื่อวานนี้ โดยมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา บริษัทกำลังพิจารณาเงิน 2.88 พันล้านยูโรที่ลงทุนในตราสารอนุพันธ์ 5 แห่งของผู้ปล่อยกู้ของเบลเยี่ยมที่อิงกับธนาคารไอซ์แลนด์ - ธนาคารกลางไอซ์แลนด์ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 3.5% เหลือ 12% จากอัตราดอกเบี้ยเดิมที่ระดับ 15.5% หลังจากที่ธนาคารรายใหญ่ของประเทศ 3 แห่งล้มละลาย คือ ธนาคารโคปทิง แบงค์, แลนด์สแบงกี ไอซ์แลนด์ส และกริตนีร์ แบงค์ เนื่องจากธนาคารเหล่านี้ไม่สามารถหาเงินกู้ระยะสั้นได้ ส่งผลให้เงินโครนาของไอซ์แลนด์อ่อนค่าลง และแบงค์ชาติไอซ์แลนด์ได้ยกเลิกการผูกติดค่าเงิน โดยให้เหตุผลว่า ได้รับการสนับสนุนจากตลาดไม่เพียงพอ - ยูบีเอส เอจี ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตสิน เชื่อ เปิดเผยว่าธนาคารได้ตกลงกับรัฐบาลสวิสที่จะรับเงินทุนอัดฉีดมูลค่า 6 พันล้านฟรังก์สวิส (ประมาณ 5.2 พันล้านดอลลาร์) ในรูปของหุ้นกู้แปลงสภาพที่มีการกำหนดเงื่อนไขการบังคับใช้สิทธิ นอกจากนี้ ยูบีเอสยังได้ตกลงกับธนาคารกลางสวิสในการโอนหลักทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่อง และสินทรัพย์อื่นๆ มูลค่าสูงสุด 60 ดอลลาร์สหรัฐออกจากงบดุลของยูบีเอส - ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 20 เดือนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่น้ำมันซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้สูงสุดสำหรับรัสเซีย มีราคาต่ำลงเรื่อยๆจนไม่สามารถสร้างสมดุลให้กับงบประมาณของประเทศได้ เงินรูเบิลอ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ส่วนราคาน้ำมันดิบยูราลของรัสเซีย ตกลง 5.4% เมื่อวานนี้ อยู่ที่ระดับ 68.71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ 142.94 ดอลลาร์ กระทรวงการคลังรัส เซียระบุว่า งบประมาณปี 2551 ของรัสเซียนั้นจะอยู่ในระดับที่คุ้มทุนก็ต่อเมื่อราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เงินรูเบิลตกลงถึง 0.6% มาอยู่ที่ 26.4094 รูเบิลต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนตัวที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ. 2550 และอยู่ที่ระดับ 26.3412 รูเบิลต่อดอลลาร์เมื่อเวลา 12.01 น.ตามเวลาท้องถิ่นในรัสเซีย จากระดับเมื่อวานนี้ (15)ที่ 26.2525 รูเบิลต่อดอลลาร์ บลูมเบิร์กรายงานว่า แบงค์ รอสซี ซึ่งเป็นธนาคารกลางของรัสเซียได้ซื้อและขายเงินตราเพื่อคงค่าเงินรูเบิลไว้ให้อยู่ในช่วงการซื้อขาย เมื่อเทียบกับตะกร้าเงิน และจำกัดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความสามารถในการแข่งขันที่ยังผันผวนของธุรกิจส่งออกของรัสเซีย โดยธนาคารกลางได้นำสำรองเงินตราต่างประเทศ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ออกขายไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว - สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ชี้แนวโน้มของธุรกิจธนาคารในเอเชียมีแนวโน้มเป็นลบมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อันดับความน่าเชื่อของแบงค์โดยรวมยังคงมีเสถียรภาพ เจอร์รี เชียน กรรมการผู้จัดการ ไฟแนนเชียล อินส์ทิทิวชั่น กรุ๊ป เอเชีย แปซิฟิค กล่าวว่า แนวโน้มของระบบการธนาคารในภูมิภาคนั้นยังมีเสถียรภาพอยู่ โดยเฉพาะในญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเกาหลี ซึ่งการแสดงความคิดเห็นครั้งนี้สอดคล้องกับรายงานของมูดีส์ที่ได้มี การสรุปไปก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า แนวโน้มในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้าซบเซา แต่เอเชียจะยังคงเป็นภูมิภาคที่โดดเด่น เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเป็นปัจจัยสนับสนุน เชียนกล่าวว่า จุดยืนด้านเงินทุนที่ไม่ได้รับความเสียหาย จะช่วยสนับสนุนอันดับความน่าเชื่อของธนาคารไว้ ขณะที่ประเทศที่มีรายได้ต่ำ จะส่งผลให้ธนาคารในประเทศได้รับผลกระทบมากกว่าเดิม - หยาง เจียฉี รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวว่า จีนได้นำประเด็นเรื่องวิกฤตการเงินโลกบรรจุเข้าในวาระการประชุมที่ สำคัญที่สุดในการประชุมสุดยอดเอเชีย-ยุโรป (ASEM) โดยในฐานะที่จีนทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพการประชุม ASEM จีนได้ปรับหัวข้อในการประชุมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ - โดนัลด์ ซัง ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกงคาดการณ์ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของฮ่องกงจะมีอยู่เป็นจำนวนมากและเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์การเงิน แต่ก็คาดว่าจะไม่รุนแรงเหมือนกับในช่วงเกิดวิกฤตการณ์การเงินใน ปีพ.ศ.2540 ทั้งนี้ นายซังคาดว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปีนี้จะขยายตัวต่ำกว่าในปีที่แล้ว และคาดว่าตัวเลขจ้างงานจะพุ่งสูงขึ้น แต่ก็จะไม่เลวร้ายเท่าในปีพ.ศ.2542 และ 2543 ส่วนปีที่แล้วนั้น GDP ฮ่องกงขยายตัว 6.4% ขณะที่ยอดเกินดุลบัญชีมีอยู่ถึง 1.156 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 1.47 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ - สายการบินแอร์ ไชน่า ของจีน คาดว่าอาจประสบภาวะขาดทุนในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารที่ลดลงและราคาน้ำมันเครื่องบินที่สูงขึ้น ในแถลงการณ์ที่นำส่งตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้วันนี้ สายการบินแอร์ ไชน่า ของรัฐบาลจีน ระบุว่าสาเหตุของการขาดทุนมาจากต้นทุนน้ำมันเครื่องบินที่สูงขึ้น เหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในเสฉวน ความผันผวนของตลาดในช่วงโอลิมปิก และวิกฤตการเงินโลก - คณะกรรมการงบประมาณวุฒิสภาญี่ปุ่นได้อนุมัติงบประมาณ เพื่อสนับสนุนธุรกิจและประชาชน 1.81 ล้านล้านเยนแล้วในวันนี้ และวุฒิสภาจะพิจารณาเป็นรายการต่อไปในวันนี้ คาดว่า งบประมาณพิเศษดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภา ซึ่งพรรคฝ่ายค้านครองเสียงข้างมาอยู่ - กระทรวงการคลังญี่ปุ่น รายงานว่า บัญชีเดินสะพัดเกินดุลของญี่ปุ่นร่วงลงถึง 52.5% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าขยายตัวเร็วกว่ามูลค่าการส่งออก โดยเฉพาะมูลค่าการนำเข้าน้ำมันที่พุ่งสูง โดยบัญชีเดินสะพัดเกินดุลของญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับ 9.888 แสนล้านเยน (9.7 พันล้านดอลลาร์) ในเดือนส.ค. ซึ่งถือว่าลดลงเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันแล้ว ตัวเลขส่งออกเดือนส.ค.มีการขยายตัว 0.9% แตะ 6.72 ล้านล้านเยน (6.56 หมื่นล้านดอลลาร์) ในขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งกว่า 20.2% แตะ 6.96 ล้านล้านเยน (6.8 หมื่นล้านดอลลาร์) นอกจากนั้นราคาน้ำมันที่พุ่งสูงยังส่งผลให้ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าเป็น มูลค่ากว่า 2.36 แสนล้านเยน (2.3 พันล้านดอลลาร์) ในเดือนส.ค. ซึ่งถือว่าเป็นการขาดดุลการค้าครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปี 2549 และถือเป็นการขาดดุลมากที่สุดในประวัติการณ์ ยอดการนำเข้าน้ำมันเพียงอย่างเดียวมีสัดส่วนถึง 25% ของยอดนำเข้าทั้งหมดของญี่ปุ่น และในเดือนส.ค.ญี่ปุ่นนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 64.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากญี่ปุ่นจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันเกือบ 100% เพื่อรองรับความต้องการในประเทศ ยอดส่งออกจากญี่ปุ่นไปยังประเทศอื่นๆในเอเชียมีการขยายตัว 6.6% ในเดือนส.ค. แต่ยอดส่งออกไปยังสหรัฐกลับร่วงหนักกว่า 21.8% อันเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัว - ญี่ปุ่นเปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนส.ค. 2551 ร่วงลง 3.5% จากระดับเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับที่ทรงตัวจากสถิติเบื้องต้นที่ได้มีการรวบรวมก่อนหน้านี้ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตในอุตสาหกรรมเหมืองและโรงงานยืนอยู่ที่ระดับ 104.5 จากระดับ 100 เมื่อปี 2548 ตัวเลขที่ลดลงนี้ถือเป็นการร่วงลงมากที่สุดสำหรับปีฐานปัจจุบัน เนื่องจากอุตสหากรรมอุปกรณ์การขนส่งและเครื่องจักรที่ปรับตัวลง - เจ้าหน้าที่กระทรวงคลังของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เกาหลีใต้มีแผนที่จะขายตราสารหนี้ในรูปสกุลเงินต่างประเทศเป็นวง เงิน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีหน้าซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2541 เพื่อหาทางสร้างเสถียรภาพให้กับสกุลเงินวอนที่อ่อนค่าลงหนักที่สุดใน บรรดาสกุลเงินเอเชียในปีนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการรับประกันหนี้สิน มูลค่า 15 ล้านล้านวอน (1.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ของรัฐบาลในปีหน้า โดยจะใช้เม็ดเงินในกองทุนเพื่อเสถียรภาพตามความจำเป็นเพื่อประคับ ประคองเงินวอนมิให้แกว่งตัวพุ่งขึ้นหรือร่วงลงรุนแรง แผนการขายพันธบัตรต่างประเทศได้มีการระบุไว้ในข้อเสนองบประมาณประจำ ปี 2552 ของรัฐบาล แต่ยังไม่ได้กำหนดในรายละเอียดว่าจะออกมาในรูปสกุลเงินดอลลาร์ ยูโร หรือสกุลเงินอื่นๆ - ธนาคารกลางอินเดียประกาศอัดฉีดเงินทุนเข้าสู่ระบบการเงินผ่านการลด เพดานสำรองสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ลงสู่ระดับ 6.5% จากเดิมที่ระดับ 7.5% เพื่อผ่อนคลายภาวะสินเชื่อตึงตัวภายในประเทศที่เข้าขั้นรุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2543 หลังจากที่ธนาคารกลางรัสเซียประกาศลดเพดานสำรองสภาพคล่อง 2 ครั้งในเดือนนี้ และธนาคารกลางบราซิลลดเพดานสำรองสภาพคล่อง 4 ครั้งในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ จีนเป็นเพียงประเทศเดียวในกลุ่มประเทศ BRIC (ประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน) ที่ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยหลังจากตัวเลขเงินเฟ้อภายในประเทศร่วงลง เกือบครึ่งหนึ่งนับตั้งแต่เดือนเม.ย.เป็นต้นมา ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อในอินเดีย รัสเซีย และบราซิล ยังคงปรับตัวสูงขึ้น และค่าเงินรูปี รูเบิล เรียล ที่แข็งแกร่งขึ้นในปีนี้อาจทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อของอินเดีย รัสเซีย และบราซิลพุ่งสูงขึ้นอีก ซูบีร์ โกคาห์น นักวิเคราะห์จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ กล่าวว่า "หลายประเทศหลีกเลี่ยงการลดอัตราดอกเบี้ย และหันมาใช้วิธีการลดเพดานสำรองสภาพคล่องแทน เพราะการลดดอกเบี้ยจะเป็นการกระตุ้นตัวเลขเงินเฟ้อ ซึ่งธนาคารกลางอินเดียก็เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ด้วย" สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน - สายการบินเจ็ท แอร์เวย์ส ซึ่งเป็นสายการบินเอกชนอันดับ 1 ของอินเดีย เปิดเผยว่าจะปลดพนักงาน 800 - 850 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นผลมาจากแผนการลดเที่ยวบินจำนวนมากเพื่อจำกัดต้นทุนที่ทะยานขึ้น - มูลค่าการส่งออกยางของอินโดนีเซียปรับตัวลดลง นับตั้งแต่ที่เกิดวิกฤตการเงิน โดยลดลงจาก 2.8 ดอลลาร์สหรัฐ เหลือ 1.6 ดอลลาร์สหรัฐ (16,000 รูเปียห์) ต่อกิโลกรัม ประธานสหภาพบริษัทยางอินโดนีเซียกล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลกส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของอินโด นีเซีย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ยางมากที่สุดเพื่อนำไปผลิตยางรถยนต์และ จักรยานยนต์ ทั้งผู้ผลิตยางและชุมชุมผู้ปลูกยางต่างก็ประสบกับการขาดทุนอย่างหนัก หลังจากที่การส่งออกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง - ธนาคารโลก ได้ออกมาปฏิเสธข่าวที่ว่า ธนาคารให้คำมั่นว่าจะจัดงบประมาณ 1 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อใช้เป็นสำรองสภาพคล่องกลุ่มประเทศเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาด้านสภาพคล่องอย่างรุนแรง ท่ามกลางวิกฤตการเงินโลก หลังจากที่ประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย่ แห่งฟิลิปปินส์ได้ออกมาให้ข่าวไปเมื่อวานนี้ อ้างอิงจาก //www.ryt9.com ---------------------------------------------------------------------------------- คำเตือน - ข้อมูลดังกล่าวผู้เขียนตั้งใจเก็บไว้สำหรับเตือนความจำ และประกอบการวิเคราะห์ของผู้เขียน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจมีข้อผิดพลาด คลาดเคลื่อน ไม่ครบถ้วน หรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ดังนั้นผู้เข้าเยี่ยมชมโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ขอบคุณครับ |
Death_13
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog
Friends Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |