Group Blog
 
 
ธันวาคม 2551
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
6 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 

ความประทับใจ ไม่รู้ลืมมมม Base on true story

เคยมั้ยครับ ซื้อของแล้วได้ของแล้ว แต่กลับได้ความประทับใจที่ไม่รู้ลืมแถมมาด้วย.......
เรื่อง มันเริ่มขึ้นที่ ผมต้องซื้อรองเท้าหนังคู่ใหม่ ไว้ใช้ ซึ่งโดยปกติ ผมจะให้ความสำคัญกับกางเกงและรองเท้ามากเป็นเพราะมันต้องแข็งแรงและดูดีได้ ในเวลาเดียวกัน เกิดมันทรยศขณะใช้งานคงไม่สนุกแน่ ดังนั้นผมจึงเลือกรองเท้าที่มียี่ห้อดีซักหน่อย เลยเลือกยี่ห้อ “previous” (ชื่อสมมุติไม่มีความหมายแฝง) แล้วจะซื้อที่ไหนดีนะ ร้านข้างนอกก็น่าจะได้ถูกหน่อย หรือร้านที่เป็นของหนีภาษีทั่วไป ก็น่าจะยิ่งถูกเข้าไปใหญ่......ไม่ดีกว่า ผมไม่อยากเสี่ยงกับรองเท้าที่เก่า หรือหลุดQ.C. หรือซ้ำร้ายกว่านั้น รองเท้าปลอม

ดังนั้นผมจึงเลือกร้านที่เป็นตัวแทนจำหน่ายรองเท้า ยี่ห้อนี้โดยตรง ซึ่งมีหน้าร้านอยู่ในตึกหรูซึ่งเป็นแหล่งจับจ่ายกลางกรุง ซึ่งเพื่อนผมหลายคนก็แนะนำว่าร้านนี้ดี บริการดีมาก ซึ่งขณะที่เดินเข้าไปถึงแม้จะไม่ได้ต้อนรับอะไรมากมายนัก แต่ผมก็เชื่อว่าจะได้รับการบริการที่ดีจากที่นี่ ผมไม่เสียเวลาเยิ่นเย้อ แจ้งความประสงค์ขอดูรองเท้ายี่ห้อ “previous” พนักงานก็หยิบคู่ที่โชว์มาให้ดู พร้อมบรยายสรรพคุณ ต่างๆ และให้ผมลองใส่ ลองเบอร์....ที่จริงผมตกลงปลงใจกับรองเท้ายี่ห้อนี้ รุ่นนี้มาแล้ว ก่อนที่จะเดินเข้ามาในร้านแต่ก็ลองใส่ดูว่าพอใส่จริงๆแล้วสบายแค่ไหน...ก็ ใช้ได้ครับ ตรงตามที่ต้องการ

ก็เป็นธรรมดาครับที่รองเท้าตัวโชว์ กับรองเท้าที่จะซื้อจริงมันเป็นคนละคู่กัน ด้วยความไว้ใจมากๆ กับชื่อเสียงของร้าน ผมจึงให้พนักงานจัดการหยิบรองเท้าคู่ใหม่ โดยที่ผมปลีกตัวไปดูสินค้าอื่นในร้าน......พอพนักงานหยิบกล่องรองเท้าออกมา หางตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน้ท ที่ติดอยู่บนกล่อง พนักงานก็ดูๆ แล้วดึงกระดาษออก.......ก็ด้วยความไว้ใจอีกนั่นแหละ ผมจึงไม่สนใจ......พอพนักงานเตรียมสินค้าเสร็จ เปิดกล่องเช็คความเรียบร้อย ให้ดูว่า 2 ข้างเบอร์เดียวกัน ผมก็โอเค ไม่ตรวจสอบอะไรอื่นๆ อีก จ่ายเงิน รับของ......รับของแล้วพนักงานยังยกมือไหว้ขอบคุณอีกต่างหาก โอ้วประทับใจ

ระหว่าง กลับบ้าน ด้วยความเห่อ ผมเปิดกล่องดู อืมมม สวยจริงๆ พลันก็รู้สึกว่า เอ ปลายรองเท้ามันหักยับแฮะ ตุ๊เหม่งๆ แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า ใส่แค่วันสองวันเดี๋ยวรอยนี้ก็เกิด ปิดกล่อง......พอกลับถึงบ้านผมเปิดดูด้วยความชื่นชมอีกครั้ง พลิกซ้ายพลิกขวา หงายดูพื้นรองเท้า.....เอ๋.....ทำไมพื้นรองเท้ามีรอยเดิน รอยสึกเล็กๆ หว่า คงเป็นลูกค้าคนอื่นเอามาลองไซส์มั้ง ผมคิดปลอบใจตัวเอง....แต่ในร้านพื้นก็เป็นหินอ่อนนี่นา ไม่เป็นไร เราเอาไปเดินแค่พ้นประตูบ้าน มันก็ต้องเป็นรอยแบบนี้แหละ ผมคิดปลอบใจตัวเองอีกครั้ง(แต่ก็เริ่มตะหงิดๆ เล็กน้อย) เอาน่า ร้านออกใหญ่โต น่าเชื่อถือขนาดนั้น คงไม่เอาของมือ 2 มาขายหรอก....แต่รอยมันก็เยอะอยู่นะ !!! ช่างมันๆ ..........

ผม เริ่มสำรวจต่อ ด้วยสายตาหาเรื่องของผม ผมมองเข้าไปในรองเท้า ช่วงปลายเท้า ซึ่งพื้นในรองเท้าเป็นสีน้ำตาล....แต่ทำไมด้านปลายรองเท้ามีรอยสึกรอยถูเป็น รูปนิ้วเท้าเป็นแอ่งหว่า!!! ผมคิดปลอบใจตัวเองเป็นครั้งที่ 3 ว่าไม่เป็นไร ร้านน่าเชื่อถือน่า แถมอยู่ในห้างหรูขนาดนั้น........แต่มันเป็นรอยนี้ได้ยังไงหว่า เพราะรอยแบบนี้จะเกิดก็ต่อเมื่อรองเท้าถูกใช้งานมาแล้วซักระยะหนึ่ง

ใจ นึงผมก็คิดว่าช่างมัน แต่ลึกๆ ก็เริ่มสงสัยว่า คู่นี้ไม่ใช่รองเท้าใหม่....ช่วงนั้นผมไม่มีกิจอันใดที่จะใช้รองเท้าหนัง รองเท้าคู่นั้นจึงไม่ได้ถูกใช้งาน จนวันที่ 3 ความสงสัยผมทำให้ผมทนไม่ไหว โทรไปถามที่ร้านด้วยวาจาสุภาพใจความว่า “ผมซื้อรองเท้าจากที่ร้านมา พอมาเช็คดูอย่างละเอียดที่บ้านปรากฏว่ามันเป็นรอย ตรงนู้ตรงนี้ (บรรยาย) ไม่แน่ใจว่าพนักงานที่ร้านหยิบคู่ผิดเอาคู่ทดลอง หรือเอาของลูกค้าอื่นที่เอามาเปลี่ยน ให้ผมรึเปล่า แถมออกตัวแทนพนักงานไปด้วยว่า อาจเป็นแค่ความเข้าใจผิด และผมก็สะเพร่าเองที่ไม่ได้ตรวจรองเท้าตั้งแต่ที่ร้าน” ปลายสายตอบกลับมาสั้นๆ ความว่า “ให้นำรองเท้ามาที่ร้าน เพื่อให้พนักงานตรวจสอบดูว่ามีปัญหาจริงหรือเปล่า”

วันนั้นผมติด ธุระ จึงไม่ได้เอารองเท้าไปที่ร้าน จึงนำไปในวันรุ่งขึ้น ระหว่างทางก็คิดในใจว่า เพราะอะไรหว่า....แล้วรองเท้าออกจากร้านมาแล้วแบบนี้ รอยพวกนี้เค้าจะหาว่าเราทำมั้ยเนี่ย....และก็คิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่งว่า เอาเป็นว่าถ้าเค้าเกิดพูดในเชิงสงสัยว่าเราเอาไปทำให้เป็นรอยเอง ก็ไม่เปลี่ยนแล้วกัน ไม่อยากถูกหาว่าทำรองเท้าเป็นรอยเองแล้วก็เอามาเปลี่ยน........

พอ เดินถึงร้าน....เหมือนคนละร้านกับเมื่อ 2-3 วันก่อน ไม่มีพนักงานคนไหนสนใจ แม้จะว่างอยู่....ไม่เป็นไร เราอาจแต่งตัวธรรมดาไปหน่อย ผมจึงเดินไปที่เคาท์เตอร์ และรออยู่ 5 อึดใจ ก็มีพนักงานผู้หญิงคนนึง เดินผ่านหน้าผมที่เคาท์เตอร์ แต่เหมือนไม่สนใจ ผมจึงเอ่ยปาก
“ขอโทษ ครับ.....พอดีว่าวันก่อนซื้อรองเท้าไป แล้วมันมีปัญหาแบบนี้.....บลาๆๆ …..” พนักงานผู้หญิง ก็หันไปกระซิบกับ พนักงานผู้ชายอีกคน แอบได้ยินประมาณว่าว่ารองเท้าเป็นรอย พนักงานผู้ชายก็ พึมพัมๆ ส่ายหน้าเล็กๆ แล้วก็ยิ้มมุมปากแบบเหยียดๆ พอตรวจดูรองเท้าเจ้าปัญหาเสร็จ....... พนักงานผู้หญิงก็ไปค้นกล่องรองเท้าคู่ใหม่(หน้าเซ็งๆ ) คราวนี้ผมไม่คลาดสายตา และเห็นว่ากล่องอื่นบางกล่อง ก็ก็มีกระดาษโน้ทแปะอยู่เช่นกันเขียนไว้ว่า “พื้นรองเท้าหลุด” ผมก็เริ่ม...อืมมม วันนั้นบนกล่องที่เราได้ไปมันเขียนว่าอะไรหว่า แล้วในที่สุด พนักงานก็หยิบรองเท้ารุ่น และเบอร์ที่ผมต้องการออกมา คราวนี้ผมตรวจอย่างละเอียดปรากฏว่า ......

1. พื้นรองเท้าคู่ใหม่เป็นสีน้ำตาลอ่อน ไม่ใช่สีน้ำตาลแบบคู่แรกที่ผมได้ไป........อาจเป็นคนละล็อตกันก็ได้มั้ง ผมเลยถามว่าด้านในรองเท้ามันเป็นสีน้ำตาลอ่อนเหรอครับคนละสีกับคู่ที่เอามา เปลี่ยน??...ไม่ได้คำตอบ...แต่ที่สำคัญไม่มีรอยนิ้ว….อืมมม
2. หนังรองเท้าไม่มีรอยหักพับ แถมดูเรียบด้านกว่า เหมือนรองเท้าใหม่จริงๆ คู่เดิมเหมือนผ่านการขัดมาแล้ว…..อืมมมม
3. พื้นรองเท้าไม่มีรอยสึก อืมมมม....ของใหม่เป็นแบบนี้นี่เอง

ผม เป็นคนขี้เกรงใจคน และค่อนข้างแคร์ความรู้สึกคนอื่น จึงเอ่ยปากบอกพนักงานว่า “ส่วนหนึ่งก็เพราะผมสะเพร่าเอาที่ไม่ได้ตรวจสอบสินค้า ผมไม่ได้อยากเป็นลูกค้าเรื่องมากจู้จี้นะครับ แต่มันก็เป็นรอยจริงๆ เข้าใจผมนะครับ” ผมพูดไปเพราะผมไม่อยากให้พนักงานรู้สึกอึดอัด และส่งสัญาณว่า ผมมาดี ผมอยากคุยด้วยดีๆ ....ผมไม่โวย

ผมกลับได้รับคำสั่งสอนจากพนักงานในร้านว่า....
“ก็ให้จำไว้เป็นบทเรียน คราวหลังซื้อของให้ตรวจสอบให้เรียบร้อย”

ได้ยินแล้วผมอึ้งไปชั่วขณะ จึงตอบกลับไปว่า
“ปกติผมก็ค่อนข้างรอบคอบ แต่เห็นเป็นร้านนี้เลยวางใจไปหน่อย”
….ผมรับสินค้าและเดินออกจากร้าน....

คิดในใจ เพราะอะไรหว่า คนอื่นเค้าก็ได้รับบริการที่ดีทั้งนั้น
หรือเราแต่งตัวไม่ดี ก็นี่วันพักผ่อน ผมก็เสื้อโปโล กางเกงขาสั้นสิ…..
หรือของที่เราซื้อมันถูกเกินไป จริงมันอาจจะไม่ใช่ รองเท้าคู่ละ 8000-9000 แบบคู่อื่นๆ ในร้านแต่ก็ 2000 ก็หลักพันเหมือนกันนะ .....
หรือว่าเราไม่โวยวาย เค้าเลยได้ใจโดนตอกกลับมาแบบนี้.....แล้วทำไมต้องเริ่มด้วยการโวย อยากคุยด้วยเหตุผล คุยกันดีๆ นี่นา
ก่อนเข้าร้านรู้สึกเกรงใจที่จะเอาของมาเปลี่ยน เพราะเอาไปแล้วก็ตั้งหลายวัน....(แต่ก็ไม่ได้ใช้)
แต่เดินออกมาด้วยความรู้สึกว่า เงินกรู จ่ายซื้อของใหม่ ไม่ใช่ของใช้แล้ว นี่สิทธิ์ของกรู.....

(ข้อสังเกตระหว่างการพูดคุย พนักงานไม่ยอมมองหน้าผมเลย.....คู่สนทนาที่ไมยอมมองหน้าอีกฝ่าย มักมีอะไรที่ต้องการปกปิด….ถูกจับได้ ??)

ผมอาจผิดจริงที่ไม่ตรวจสอบสินค้าให้เรียบร้อยนี่คือความบกพร่องของผมเอง ผมยอมรับ
แต่ด้วยความสัตย์จริง ผมวางใจกับร้านนี้มากๆ ผมได้บทเรียนราคา 2000 บาท.....ว่าอย่าวางใจ
อย่าหลงกับรูปลักษ์ภายนอก ต้องใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ว่าซื้อรองเท้าแบกะดินตามตลาดนัด หรือร้านดังในห้างหรู
มองในแง่ดี เจ้าของร้าน อาจไม่มีส่วนรู้เห็นเลยก็ได้ อยู่ที่พนักงานล้วนๆ (หรือมองในแง่ร้ายมันคือนโยบาย ระบายสินค้า)

ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง พนักงานร้านขายนาฬิกา ที่มักมีข่าวว่าหลังเลิกงานชอบเอานาฬิกาที่ร้านไปใส่โชว์สาว
พอวันรุ่งขึ้นก็เอากลับมาใส่เข้าตู้วางขายต่อ
ถ้างั้น ของใหม่แกะกล่องจากร้านแบบนี้ กับของมือสองจะต่างกันยังไง ?......มีใบเสร็จ ? ? ? ?

ส่วนเรื่องรองเท้า ผมไม่ได้ข้อสรุปว่ารองเท้าคู่แรกที่ผมได้มา มันมีที่มาที่ไปอย่างไร ...... ช่างมัน ผมได้ของใหม่มาแล้ว

บทสนทนาจริง โครงเรื่องดัดแปลงจากเรื่องจริง
ปล. ผมไม่ได้ซื้อรองเท้าครับ




 

Create Date : 06 ธันวาคม 2551
0 comments
Last Update : 6 ธันวาคม 2551 2:52:07 น.
Counter : 407 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


คนนั้น
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add คนนั้น's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.