แม้อากาศจะหนาวเหน็บเพียงใด เมื่อหัวใจเรามีเพื่อน แม้กายเราจะหนาว แต่หัวใจของเรา อบอุ่น...เสมอ...
Group Blog
 
<<
กันยายน 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
21 กันยายน 2548
 
All Blogs
 

Meeting Awagee

บรรยากาศทั่วไปร้อนจัด มีอุณหภูมิสูงมากกว่า 3,000 องศาเซลเซียส ทะเลเพลิงสีแดงยังคงลุกโชติช่วงอย่างต่อเนื่องอยู่ด้านล่างของก้นหุบเหว สะเก็ดไฟแตกกระจายในอากาศเป็นระยะ ๆ หากมีสิ่งมีชีวิตธรรมดาหลงผ่านเข้ามาที่นี่ ร่างนั้นคงหลอมเหลวแหลกละลาย ไหม้เกรียมเป็นจุลไปในทันที

แผ่นฟ้าด้านบนเป็นสีดำทมึน กลืนกินและแผ่กระจายความน่าสะพึงกลัวออกมา ลมพัดกลิ่นอายแห่งความตายล่องลอยอยู่ทั่วทุกอณูอากาศ

ทันใดนั้น!!

บรรยากาศด้านบนที่ดูสงบนิ่งกลับปั่นป่วนและหมุนวนราวกับพายุ ก่อนจะปรากฏแสงสว่างสีขาวทอดลำลงมาสู่พื้นดินสีเทาเบื้องล่าง แสงดาวระยิบระยับก่อตัวขึ้นแล้วจางหายไปพร้อมกับลำแสงสีขาวนั้น

บุรุษหนุ่มขยับตัวออกจากซากต้นไม้สีดำที่ยืนตะหง่านอยู่อย่างเดียวดาย กิ่งก้านหงิกงอคดเคี้ยว ดูราวกับอุ้งมือของปิศาจ เขาสาวเท้าออกจากการรอคอยการมาเยือนของเทพแห่งสวรรค์ ผ้าคลุมสีเลือดหมูพริ้วตามท่วงทำนองของการก้าวเดิน ร่างเทพธิดาน้อยในชุดสีขาวบริสุทธิ์ปรากฎตัวอยู่เบื้องหน้าแล้ว

“ท่านผู้คุมกฏแห่งนรก สบายดีหรือ” เสียงใสของเธอกล่าวทักทายขึ้นก่อน เมื่อยมทูตหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า สังเกตเห็นใบหน้าของเขากร้านคล้ำลงไปมาก
ผู้ถูกทักทายยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์อย่างเคย
“ข้าสบายดี ยินดีต้อนรับการมาเยือนแดนนรก” เขาผงกหัวให้เธอเล็กน้อย
“รบกวนท่านแล้ว จริง ๆ ไม่น่าลำบากท่านเลย เพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าเดินทางมานรก”
เขาจ้องมองใบหน้างดงามนั้นก่อนกล่าวต่อไปด้วยเสียงเรียบ ๆ
“จริงอยู่ว่า ท่านเคยมา แต่อย่าลืมสิว่า เราจัดการประชุมระหว่าง 3 โลก ทุก 100 ปี และแต่ละปีก็เวียนกันเป็นเจ้าภาพระหว่างสวรรค์ มนุษย์ และนรก เป็นเวลากว่า 300 ปีทีเดียว กว่าที่ท่านจะลงมาเยือนนรกอีกครั้ง ที่สำคัญนรกมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ข้าเกรงว่า ท่านอาจจะหลงทางได้” เขารู้สึกว่า ไม่ได้เจอกันมานานถึง 100 ปี แต่เธอดูสดใสกว่าเดิม เหมือนอ่อนเยาว์ลง แม้เทพธิดาจะเก้าผมขึ้นเป็นมวยอยู่ที่ท้ายทอย จะทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้างก็ตาม

“อย่างไรเสีย…ข้าก็ยังอดเป็นห่วงท่านไม่ได้หรอก” บุรุษหนุ่มหันมาสบตาสวยคู่นั้น แววตาของเทพธิดานิ่งสงบและเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา

คำพูดประโยคสุดท้ายของผู้คุมกฎนรกทำให้เทพธิดานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกหวั่นไหววาบเข้ามาแทนที่ ชั่ววินาทีเมื่อสติกลับมาทัน จึงลบความรู้สึกนั้นให้เลือนหายไป ด้วยพลังของจิตที่ได้รับการฝึกฝน ขัดเกลามาอย่างดีแล้ว

“ท่านมารอข้านานรึเปล่า” สาวน้อยในชุดขาวสะอาดเปลี่ยนเรื่อง
“ข้ารู้…ท่านต้องมาก่อนเวลาเสมอ”
“ข้าไม่ชอบความเร่งรีบ และเผื่อจะได้มีเวลาเดินเล่นพักผ่อนบ้าง” เทพธิดาพูดพลางมองตรงไปข้างหน้า
“เดินเล่นกับข้าหรือ?” เทพแห่งนรกหยอกล้อ
เทพธิดาไม่ตอบ ตีสีหน้าเรียบเฉย แต่แอบอมยิ้มอยู่ในใจเงียบ ๆ

ทั้งสองเดินมาหยุดตรงสะพานหินหัวกะโหลกที่ทอดตัวยาวข้ามหุบเหวเพลิงมรณะ เบื้องล่างมองเห็นทะเลเพลิงวูบไหวอยู่ลิบ ๆ ลูกสะเก็ดไฟกระทบกันแตกกระจายในอากาศเป็นระยะ ๆ


===================


“สะพานหินนี้เกิดจากการนำหัวกระโหลกมาอัดกันให้แน่น สร้างเป็นสะพานข้ามหุบเหวเพลิงมรณะ มีอายุมากกว่าพันปีมาแล้ว” ยมทูตหนุ่มสาธยายความเป็นมาของสะพานหินเก่าแก่ตรงหน้า
สองเทพจากสองโลกเดินเคียงคู่กันไปบนสะพานหิน เสียงเดินกระทบกับหัวกระโหลกบนพื้นสะพาน เกิดเสียงดังที่ไม่อาจบรรยายได้ว่าเป็นเสียงอย่างไรเหมือนกัน
“เราจะคัดเลือกหัวกะโหลกมนุษย์คุณภาพดี ที่ยังสมส่วน และมีความแข็งแรงสมบูรณ์ มีขนาดใกล้เคียงกัน มาสร้างเป็นสะพานหินแห่งนี้” เขาเล่าต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มองตรงไปยังฝั่งตรงข้ามของสะพาน

“คลืน…น…น….!!!!!!!”

เกิดเสียงดังสนั่นของสะพานหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า พร้อม ๆ กับเสียงร้องด้วยความตกใจของเทพธิดาที่ดังสะท้อนไปทั่วหุบเหว

ผู้คุมกฎนรกหันขวับไปมองอย่างใจหาย!!

เมื่อมองเห็นสะพานหินบางส่วนแตกหักพังทะลายลงไปต่อหน้าต่อตา เศษหินหัวกะโหลกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ดิ่งลงสู่เบื้อล่างของหุบเหวเพลิงมรณะ ไปพร้อมกับร่างของเทพแห่งสวรรค์

“ปริตตา…………….!!!”

ยมทูตร้องเรียกชื่อของเทพธิดาอย่างตกใจสุดขีด แล้วรีบกระโจนตามลงไป พุ่งทะยานสู่เบื้องล่างของหุบเหวอย่างรวดเร็ว มืออันแข็งแกร่งคว้าร่างของเทพธิดามาไว้ในอ้อมแขนได้ทันท่วงทีก่อนที่จะดิ่งลงสู่ทะเลเพลิง ดึงผ้าคลุมสีเพลิงคลุมร่างให้เทพธิดา แล้วพาเหาะขึ้นสู่เบื้องบน

ลมกระโชกแรงพัดกระหน่ำลงมาผ่านช่องว่างของหุบเหวต้านการพุ่งทะยานขึ้นสู่ด้านบน ทำให้ยมทูตต้องใช้แรงกำลังมากขึ้นเป็นสองสามเท่า เขาพยายามฝืนพุ่งตัวขึ้นไป แม้จะเริ่มรู้สึกเหน็ดเหนื่อย

“ตายล่ะ!! พลังของข้ากำลังลดลงเรื่อย ๆ”

เริ่มรู้สึกว่ากำลังถูกลมนั้นโถมกระหน่ำลงสู่เบื้องล่างเข้าไปทุกที ความกังวลใจยิ่งทำให้พลังของเขาลดลงเร็วขึ้นกว่าเดิม

ผู้คุมกฏนรกกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้น รวบรวมสติทั้งหมด ทำสมาธิรวมจิตให้เป็นหนึ่ง ดึงพลังส่วนสุดท้ายออกมา จิตที่รวมกันนิ่งแน่วแน่ เกิดพลังมหาศาล พุ่งตัวขึ้นสู่ด้านบน ฝ่าลมกระโชกแรงขึ้นมายังหน้าผาได้อย่างปลอดภัย

บุรุษหนุ่มยืนนิ่งอยู่บนเชิงผา สองแขนอันแข็งแรงโอบอุ้มร่างเทพธิดาน้อยไว้อย่างทะนุถนอม สายลมแห่งความตายพัดมาปะทะอย่างแผ่วเบา พาเสื้อผ้าและเส้นผมประบ่าของยมทูตปลิวพริ้วไปอย่างช้า ๆ ท่วงท่างามสง่า ไม่ได้แกล้งเก๊กหล่อ แต่ทว่า กลับดูหล่อ เท่ ราวกับพระเอกหนังจีน

เขาก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมแขน ด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ที่แต้มอยู่ในสีหน้าและแววตา กลิ่นหอมรวยรินของเทพธิดาล่องลอยมาสัมผัสปลายจมูกแผ่วเบา สองแขนเรียวเล็กของสาวน้อยกอดร่างของบุรุษหนุ่มไว้แน่น แถมหลับตาปี๋ ซุกหน้ากับอกกว้างนั้นอย่างน่าเอ็นดู

แวบหนึ่งที่ยมทูตนรกอยากหยุดเวลาให้นิ่งงันอยู่เช่นนี้ตลอดไป แต่ด้วยความสำนึกที่ไม่อาจฉวยโอกาสล่วงเกินเทพธิดาน้อยในอ้อมแขนได้ เพราะนั่นขัดกับนิสัยของผู้คุมกฏแห่งนรก

“ท่านปลอดภัยแล้ว เทพปริตตา” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน และเจือด้วยความห่วงใยอยู่เต็มเปี่ยม

เสียงนุ่ม ๆ ที่ดังขึ้นข้างหูของเทพธิดา เรียกสติให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว

สาวน้อยลืมตาโพรงอย่างตกอกตกใจ!! รีบหดมือหดแขนที่กอดร่างบุรุษหนุ่มกลับมาทันที

ยมทูตลดแขนลงช้า ๆ ประคองสาวน้อยให้ยืนบนพื้นดินอย่างมั่นคง แล้วจึงละมือออกจากร่างนั้น ใบหน้าของเขาเรียบเฉย แต่แฝงรอยยิ้มซ่อนอยู่ในดวงตาสีสนิมเหล็ก

เทพปริตตาตีสีหน้าไม่ถูก พยายามบังคับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด แต่ในใจว้าวุ่น
“ท่านอาบน้ำบ้างหรือเปล่า รู้สึกจะมีกลิ่นตุ ๆ นะ” เทพธิดาพูดแก้เก้อ พลางก้มหน้างุด ๆ มองไปทางอื่น

เทพแห่งนรกหัวเราะก๊ากออกมาอย่างไม่กลัวเสียอิมเมจ ยอมทิ้งมาดเข้ม ๆ ของยมทูตไปอย่างง่ายดาย

“นี่!!! ท่านหัวเราะข้าหรอ!!! “ เธอหันควับมามองทันที พลางเริ่มทำเสียงเขียว ๆ อย่างลืมตัว

ผู้คุมกฏนรกรีบหุบยิ้ม แต่แอบหัวเราะก๊ากต่ออยู่ในใจ ทิ้งไว้แต่รอยยิ้มบาง ๆ อยู่ในสีหน้า มองอาการปั้นปึ่งของเทพธิดา เวลานี้นั้นช่างน่ารักน่าชังเสียนี่กระไร

“อย่ายิ้มเยาะข้าได้มั้ย! หยุดซะทีสิ!! “ ถึงจะโกรธแค่ไหน เทพธิดาก็ไม่เคยเอื้อมมือแสนงามนั้นมากระทบกระแทกต้องกายยมทูตนรกแม้แต่ครั้งเดียว
“แล้วท่านอยากให้ข้าทำหน้าแบบไหนล่ะ ท่านบอกมาสิ! ข้าจะทำตามที่ท่านต้องการนะ ข้าทำได้ทุกสีหน้าแหละ” แล้วพยายามแสร้งตีสีหน้าเซ่อซ่า ดึงสีหน้าให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วชักสีหน้ากลับให้ซึมเศร้าหม่นหมอง สีหน้ายมทูตเปลี่ยนภาพพจน์ไปเรื่อย ๆ ราวกับการฉายภาพสไลด์
“บ้า! ท่านมันบ้าจริง ๆ” เทพธิดาอดหัวเราะในท่าทีลีลาของเขาไม่ได้
“อืม…จะบอกอะไรให้นะ ข้าน่ะ ปกติไม่ได้อาบน้ำหรอก ก็อยู่นรก กรำแต่งานหนัก ตรวจงาน คุมนักโทษทุกวัน ไม่มีเวลาอาบน้ำหรอก แต่…” เขาทิ้งเสียงหายไปในลำคอ

“ถ้าข้ารู้ว่า ท่านจะมา ข้าจะอาบน้ำก่อนมาพบท่านเสมอ” คำพูดนั้นทำให้เทพธิดาอดวาบไหวในใจไม่ได้

“ท่านจะรอพบธิดาสวรรค์ผมสีเงินล่ะสิ” เธอรีบเฉไฉถึงธิดาแสนสวยแห่งแดนสวรรค์
“เปล่าเลย…ข้าจะรอเจอธิดาสวรรค์ทำไม ข้ากลัวดาบสีเงินของเจ้าชายแห่งเทพมากกว่านะ กลัวจะตามมาฟันข้ายังกะฝานผลไม้น่ะ ข้าก็แย่สิ! ไหนจะดาบสีปีกแมลงทับที่ทรงอาณุภาพอีกล่ะ สงสัยข้าคงไม่ต้องไปผุดไปเกิดกันเลยมั้ง” ยมทูตอบยิ้มน้อย ๆ จ้องมองฝ่ายตรงข้ามไม่วางตา
“แต่ข้าชอบจังเลยนะ ดาบสีปีกแมลงทับอ่ะ คงสวยน่าดูเลย”
“โอ๊ย!! อธิบายซะยาวเชียวนะ จะรักใครทำไมแค่นี้ก็ปอดซะแล้วล่ะ”

“หึ…หึ…” เขาหัวเราะอยู่ในลำคอ

“ข้าไม่นิยมแย่งของใครที่เขามีเจ้าของจับจองแล้วนะ มันบาป ผิดศีลนะ เจ้าก็รู้ดีนี่ ไม่เห็นเหรอ ที่สังคมมนุษย์วุ่นวายถึงเพียงนี้ เพราะผิดศีลข้อ 3 กันเป็นจำนวนมาก เร็ว ๆ นี้ได้ดูข่าวหรือเปล่า ดับอนาจกันทั้งครอบครัว สามีหึงภรรยาทิ้งให้เลี้ยงลูก เลยจัดการฆ่าตายทั้งครอบครัว หรือจะเป็น หนุ่มฆ่าสาวม่ายเนื่องจากไปติดพันหนุ่มคนอื่น แล้วระเบิดสมองตัวเองตายตาม หรือจะเป็นหมอหนุ่มดับอนาคตฆ่าแฟนสาว ตอนนี้ยังต้องติดคุกรอดำเนินคดีอยู่ นี่แค่ยกตัวอย่างเล็กน้อยนะ” ยมทูตพูดด้วยน้ำเสียงเครียดขึ้น

“ช่างแก้ตัวไปได้เรื่อยนะท่าน”

เทพธิดาแกล้งแขวะอย่างไม่ยอมแพ้ แต่แอบชื่นชมความคิดของยมทูตอยู่ในใจ สมแล้วที่เขาเป็นผู้คุมกฏแห่งนรก

“ก็ข้าไม่ใช่เจ้าชายแห่งความมืดนี่นา ที่จะต้องเงียบไม่พูด เอาแต่รักษาอิมเมจน่ะ จนสาว ๆ พากันหลงรัก เต็มไปหมดแล้ว แม้เต่เจ้า….ด้วยรึเปล่า….” น้ำเสียงประโยคสุดท้ายเบาลงขาดหายไป

“ความรักไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ อย่างที่ท่านพูดหรอก มันมีหลายเหตุและปัจจัยที่ประกอบกัน”

ยมทูตหนุ่มมองหน้าเทพธิดา เพิ่งมองเห็นเขม่าควันทะเลเพลิงจับอยู่ที่ใบหน้านั้น
“หน้าของท่านมอมแมมเชียว ข้าขอโทษที่ไม่ได้ตรวจดูถนนหนทางในนรกให้ดี ทำให้ท่านต้องลำบาก” พลางยกผ้าคลุมสีเพลิงบรรจงเช็ดเขม่าควันบนใบหน้าเทพธิดาให้จางหายไป
เทพแห่งสวรรค์นิ่งงันไปชั่วอึดใจ ก่อนจะรีบดึงผ้านั้นมาเช็ดเสียเอง เพราะมีเพียงผ้าคลุมสีเพลิงเท่านั้นที่ลบเขม่าควันจากทะเลเพลิงได้
“ที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องโดดลงไปช่วยข้าจากทะเลเพลิงเลย ท่านก็รู้ดีว่า ทะเลเพลิงไม่อาจทำอันตรายเหล่าเทพจากสามโลกได้”
“ก็ข้าเห็นเจ้าตกใจร้องเสียงหลงเลย ข้าก็เลยพลอยตกใจไปด้วย” ยมทูตหยุดไปครู่หนึ่ง แต่สายตายังไม่ละจากดวงหน้าสวยนั้น

“ข้าเป็นห่วงท่านมากเลยนะ” เขาพูดต่อในใจ พลางบอกด้วยแววตาแทนคำพูด

“แล้วจะให้ข้าชะโงกหน้า ตะโกนถามท่านว่า เล่นทะเลเพลิงสนุกไหม ขึ้นมาได้แล้วนะ เหรอ!!” พูดพลางทำสีหน้ายียวนกวนประสาทประกอบ “แล้วดูสิ ขนาดโดนแค่เขม่าควัน ท่านยังมอมแมมขนาดนี้เลย ถ้าลงไปในทะเลเพลิง ขี้เถ้าไฟต้องเปรอะเสื้อผ้าเนื้อตัวของท่านอีก มีหวัง ข้าก็ต้องถูกท่านต่อว่าอีกนั่นแหละ” ชายหนุ่มกอดอกอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมผู้หญิงชอบลองใจ และเฉไฉ ทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่เรื่อยเลยนะ ทำไมไม่ยอมบอก และแสดงความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองให้เขารู้บ้าง แต่ก็ต้องงงงวยกับประโยคถัดมา

“ขอบใจท่านมากนะ ที่ช่วยข้า และเป็นห่วงข้าเสมอ” เป็นครั้งแรกที่เทพธิดาเอ่ยขอบคุณยมทูตนรก

======================


เทพหนุ่มแห่งนรกยืนนิ่งเงียบงันมานานแล้ว

“เป็นอะไรหรือเปล่า ท่านผู้คุมกฏแห่งนรก” เทพธิดารู้สึกเป็นห่วง เมื่อเห็นเขายืนเงียบไปนานมาก

คำถามนั้นทำให้ยมทูตดึงจิตกลับมาจากเหตุการณ์เมื่อ 600 ปีก่อน ที่นรกเป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งที่ 2 เขาอึกอักเล็กน้อยก่อนหันมาสบตาเทพแห่งสวรรค์ที่ยืนอยู่ข้างกาย
“เปล่า…หรอก…ข้าสบายดี” เขาตอบไปอย่างอ้อมแอ้ม

“แค่กำลังคิดถึงความหลังอยู่น่ะ” ยมทูตได้แต่พูดต่อในใจ

“ท่านดูเหน็ดเหนื่อยมากนะ งานในนรกหนักหนามากหรอ” เทพธิดามองเห็นร่องรอยความอิดโรยบนใบหน้าคมเข้มของยมทูต
“เจ้าชายรัตติกาลไม่ได้ช่วยการงานของท่านบ้างเลยเหรอ”
“เขาเป็นถึงเจ้าชายนะ ข้าเป็นแค่ยมทูต ผู้คุมกฎนรกเท่านั้น” บุรุษหนุ่มยิ้มอบอุ่น ความอาทรจากเทพธิดา ทำให้เขามีแรงกำลังใจเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
เขาผายมือเชิญให้เทพแห่งสวรรค์เดินข้ามสะพานหินหัวกะโหลก “ท่านไม่ต้องกลัวนะ ข้าซ่อมแซมสะพานหินนี้เรียบร้อยแล้ว และมีความแข็งแรงมั่นคงกว่าเดิมมาก”

ฟ้าเบื้องบนเคลื่อนไหวรุนแรงหมุนวนราวพายุ เกิดแสงสีรุ้งทอดลำลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง แสงดาวระยิบระยับก่อตัวขึ้นแล้วจางหายไป พร้อมกับแสงเจิดจ้าเจ็ดสี บุรุษหนุ่มปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าของสองเทพที่ยืนอยู่ก่อน เขามาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสแห่งชีวิต
“เทพแห่งมนุษย์มาถึงแล้ว” ยมทูตนรกเอ่ยขึ้น
“ข้านึกว่า ท่านจะเบี้ยว ไม่มาแล้วซะอีก ท่านเทพแห่งมนุษย์” เทพธิดาค่อนแคะเล็กน้อย ถึงความมาช้าของเทพหนุ่ม
เทพแห่งมนุษย์ยกข้อมือขึ้นดูเวลาจากนาฬิกาเรือนทองฝังเพชร ที่ได้จากการแก้บนของเหล่ามนุษย์งมงาย
“ข้าจะไม่มาได้ยังไงล่ะ” เสียงนั้นเป็นน้ำเสียงที่อบอุ่นเสมอ “ข้าเป็นถึงผู้แทน เอ้ย! ไม่ใช่! เป็นถึงเทพแห่งมนุษย์นะ จะทำตัวเหลวไหล มาสาย แอบนั่งหลับในสภา แบบพวก ส.ส. สภาผู้แทนในโลกมนุษย์ได้อย่างไรกันท่าน ขายขี้หน้าตายเลย มาก็สาย หลายทีก็ไม่มาประชุมฯ บางทีก็เดินออกจากห้องประชุมแล้วหายตัวไปเลย แบบนี้ ยังมีหน้ามาขอขึ้นเงินเดือนอีกแหนะ” เทพหนุ่มบ่นถึงความวุ่นวายในโลกมนุษย์
“แล้วนี่ข้าก็มาตรงเวลาแป๊ะ! เลยนะเนี่ย!!”
“เอาเถอะ เรารีบไปห้องประชุมกันดีกว่านะ” เทพธิดาปรายสายตามองหน้าสองหนุ่มเป็นเชิงเร่งรัด
ผู้คุมกฏนรกค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “งั้นเชิญทางนี้”

ผู้มาจากสามโลกรีบเดินข้ามสะพานหินหัวกะโหลกอย่างรวดเร็ว ก่อนเลือนหายวับไปในม่านมืดแห่งควันดำทมึน


======================

ห้องโถงใหญ่เบื้อหน้ากว้างขวาง ตามผนังสูงสลักรูปเทพเจ้าแห่งนรก หน้าตาถมึงทึงน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก แสงสว่างจากคบเพลิงที่ติดอยู่ข้างฝาผนังห่างกันเป็นระยะ ๆ ตรงกลางห้อง มีกระถางไฟขนาดใหญ่ ฟอนไฟยังคงลุกโชนแสงเจิดจ้า เงาของแสงไฟในกระถางเต้นระริกอยู่ตามพื้นผนังห้องราวกับเงาของปิศาจ พื้นห้องโถงปูลาดด้วยหินอ่อนสีดำ ขัดมันเป็นเงาเรียบเสมอกัน ลวดลายรูปโครงกระดูกสีขาวเด่นอยู่ท่ามกลางพื้นดำสนิทของพื้นหินอ่อน น่าแปลกว่าลวดลายโครงกระดูกนั้นไม่มีหัวกะโหลกเลย เข้าใจว่าคงเอาหัวกะโหลกไปทำสะพานหินหัวกะโหลกเป็นแน่

ผู้เป็นใหญ่แห่งนรกนั่งเด่นสง่าอยู่บนบัลลังค์หินอัญมณีสีนิลที่ยกพื้นสูง สีหน้านั้นเรียบเฉย เยือกเย็น น่าเกรงขาม สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจเร้นลับที่แผ่กระจายไปทั่วห้อง
“เทพแห่งสวรรค์ เทพแห่งมนุษย์” พยายมผู้เป็นใหญ่แห่งนรกเปิดการประชุม
“ยินดีต้อนรับสู่แดนนรก ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับตัวแทนจากสวรรค์และโลกมนุษย์ เป็นครั้งที่ 3 หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง” พลางปรายสายตาอันมีอำนาจไปยังผู้คุมกฎนรก
“ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย” เสียงของพยายมก้องดังมีพลังเร้นลับ
ผู้คุมกฏนรกรู้สึกคอแห้งขึ้นมาทันที ขณะแจกแฟ้มรายงานการประชุมให้กับผู้ร่วมประชุม
“ท่านผู้คุมกฎนรกดูแลข้าดีเสมอ และรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้มาเยือนนรก”
“ทำไมข้าไม่เห็นรู้สึกอบอุ่นเลยล่ะ ท่านเทพแห่งสวรรค์” เทพแห่งมนุษย์พูดล้อแทรกขึ้นมา พลางอมยิ้ม
เทพธิดาหันมาปรามด้วยสายตาสงบเย็น ต่างจากแต่ก่อน ที่ป่านนี้คงหลุดเสียงเขียวปั้ดออกมาแล้ว
“ข้าล้อเล่นน่า…ท่านผู้คุมกฏนรกแทคแคร์ดีเสมอขอรับ ท่านพยายม” เทพแห่งมนุษย์พูดด้วยน้ำเสียงติดตลก ด้วยนิสัยที่รักความสนุกสนานร่าเริง

พยายมหัวเราะลั่น

“ดี! งั้นเราเริ่มประชุมกันเลย”

“วาระที่ 1 อ่านรายการงานกระชุมครั้งที่แล้ว” ยมทูตเลขาพยายมที่ยืนอยู่ด้านซ้ายมือของผู้เป็นใหญ่แห่งนรก อ่านรายงานการประชุมครั้งที่แล้ว
“มีใครต้องการคัดค้านหรือแก้ไขอะไรหรือไม่” เสียงมีอำนาจเอ่ยถาม เมื่อเลขาพยายมอ่านรายงานจบ

ทุกคนยกมือรับรองรายงานการประชุม

“วาระที่ 2 วาระสืบเนื่อง เรื่องแรก เรื่องเช่าหลุมดำในอวกาศเพื่อฝากขังนักโทษ ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว”
“ข้าแต่ท่านผู้ใหญ่แห่งนรก ทางนรกได้จัดการทำเอกสารสัญญาในการเช่าหลุดดำในอวกาศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และส่งเรื่องให้การทางพิเศษอวกาศแล้วขอรับ เรื่องการตกลงเป็นอย่างไร คงต้องขอให้ท่านเทพแห่งมนุษย์ชี้แจงด้วย” ผู้คุมกฏนรกแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าว
“ท่านผู้คุมกฏนรก น่าจะดูแลติดต่อให้แล้วเสร็จไปเลยนะ” เทพหนุ่มผู้มีรอยยิ้มแห่งชีวิตเอ่ยปัดความรับผิดชอบ
“จะได้อย่างไรกันเล่า หลุมดำในอวกาศเป็นเขตหน้าที่รับผิดชอบของแดนมนุษย์ ท่านช่วยดูแลเร่งรัดเรื่องให้หน่อยมิได้หรือ”
พยายมปรายสายตามายังเทพแห่งมนุษย์ “ถ้าอย่างไร รบกวนท่านเป็นธุระให้หน่อยก็แล้วกัน”
“ขอรับ ข้าจะรีบดำเนินการทันที” เทพแห่งมนุษย์โน้มศีระษะลงรับคำอย่างนอบน้อมก่อนหยิบปาร์มขึ้นมาจดบันทึกไว้กันหลงลืม


“เรื่องที่สอง เรื่องการติดตั้งชิพและระบบคอมพิวเตอร์”
เสียงเทพธิดากล่าวรายงานชัดถ้อยชัดคำทุกประโยค “ขณะนี้เราได้ติดชิพลงในดวงวิญญาณทุกดวง แทนการจดบันทึกลงบัญชีหนังหมา เพราะเดี๋ยวนี้หนังหมาก็หายาก และท่านสุวรรณสุวารก็เหน็ดเหนื่อยกับการจดบันทึกความดีความชั่วของทุกชีวิตมานาน ทั้งยังค้นหาค่อยข้างลำบาก ขณะนี้เราสามารถติดตั้งชิพลงในดวงวิญญาณทุกดวงที่จะไปเกิดได้แล้ว ส่วนระบบคอมพิวเตอร์ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากแกแลคซี่อันโดรเมด้ามาทำการติดตั้ง และแนะนำการใช้งานเป็นที่เรียบร้อยทุกประการ ได้ทำการทดลองออนไลน์ระหว่างสามโลก คือ สวรรค์ มนุษย์ และนรก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง”

“เทพแห่งสวรรค์ทำได้ดี!” พยายามกล่าวชมเชย

“นอกจากนี้ เทพจากสามโลกสามารถใช้ดวงตาสแกนด์ดูดวงวิญญาณทุกดวงได้ทันที สามารถตรวจสอบผลกรรมผ่านระหัสลับพิเศษที่ใช้โทรจิตติดต่อเชื่อมโยงกับระบบข้อมูลของคอมพิวเตอร์หลัก” เทพธิดาอธิบายต่ออย่างละเอียด
“ผลข้อมูลที่ประมวลผลได้นี้ มีความรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ และเที่ยงตรงถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เนื่องจากผลกรรมดีกรรมชั่วนี้ เป็นเครื่องชี้ชะตาของทุกชีวิต จะมีการผิดพลาดเกิดขึ้นไม่ได้”

“เยี่ยมมาก! เทพปริตตา ท่านไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลย” พยายมเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงพอใจอีกครั้ง

“วาระที่สาม การดำเนินงาน เริ่มจากแดนสวรรค์ก่อนเลยก็แล้วกัน”

เทพปริตตาค้อมศีรษะลงให้ท่านประธานการประชุมก่อนกล่าวรายงานต่อไป
“การดำเนินงานของแดนสวรรค์ทั้งหกชั้นเป็นไปด้วยดี ขณะนี้ได้มีการเปิดอบรมการรักษาศีล วิปัสสนา และการศึกษาพระธรรม หากทุกท่านว่างก็ขอเชิญเข้าร่วมการอบรมได้ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก //www.heaven.org.earth ทางสวรรค์ก็มีเรื่องแจ้งให้ทราบเพียงเท่านี้”

“ขออนุญาตขอรับ” เสียงเข้มดังขึ้นที่หน้าประตูทางเข้าห้องประชุม เรียกทุกสายตาให้หันไปยังต้นเสียงนั้น
“หัวหน้านรกขุมห้ามีอะไรรึ” เสียงแห่งพลังอำนาจเอ่ยถาม
“ข้าแต่ท่านพยายม มีเหตุด่วน ขอรบกวนเวลาประชุมสักครู่ขอรับ” หัวหน้านรกขุมห้าค้อมศีรษะลงด้วยความเคารพ
“ว่ามาซิ!”
“นักโทษจากนรกขุม 5 แดน A กลุ่ม ก จำนวน 5 คน ถึงกำหนดต้องขึ้นไปเกิดแดนมนุษย์แล้ว แต่ยังมิได้พิจารณาว่าจะให้ไปเกิด ณ ที่ใดขอรับ” พลางยื่นแฟ้มประวัตินักโทษส่งให้ท่านพยายม
ผู้เป็นใหญ่แห่งนรกพลิกแฟ้มประวัตินักโทษดูอยู่ครู่หนึ่ง
“เนื่องจากนักโทษกลุ่มนี้ได้ก่อกรรมทำเข็ญมามาก โกงกินชาติบ้านเมือง คอรัปชั่นทุกรูปแบบ ชอบเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น แม้จะถูกลงโทษจองจำ ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสอยู่ในขุมนรกมานาน แต่วิบากกรรมยังไม่หมด ข้าขอตัดสินให้ไปเกิดเป็นวัวควายใช้กรรมอีก 500 ชาติ จากนั้นให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ในดินแดนทุรกันดาร ณ ประเทศเอธิโอเปีย”
“รับทราบ!! น้อมรับไปปฏิบัติ” หัวหน้านรกขุมห้า รับแฟ้มประวัตินักโทษคืนแล้วโค้งคำนับ ก่อนเดินออกจากห้องประชุมไป
“ขออภัยทุกท่านที่ทำให้เสียเวลา เราประชุมกันต่อ เริ่มที่ผลการดำเนินงานของแดนมนุษย์ต่อเลยนะ”

น้ำเสียงไพเราะจากบุรุษหนุ่มผู้มีรอยยิ้มแห่งชีวิตแถลงผลการดำเนินงานดังกัองกังวาลชัดเจน
“ข้าแต่ท่านผู้เป็นใหญ่แห่งนรก ตอนนี้โลกมนุษย์กำลังถึงภาวะวิกฤต เหล่าเทพแห่งมนุษย์ไม่อาจควบคุมวัฏจักรและกลไกของธรรมชาติให้ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น ผู้คนเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาและความเห็นแก่ตัว เราจำเป็นต้องลงโทษมนุษย์ด้วยภาวะของภัยธรรมชาติ” สีหน้าของเทพหนุ่มเคร่งเครียดขึ้น
“คนมีภาวะของการเป็นแค่สัตว์ชนิดหนึ่งที่เลวร้ายที่สุด มากกว่ามนุษย์ที่แท้จริง คนที่ร่ำรวยก็มักจะเอารัดเอาเปรียบคนจน ใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำกัดอย่างฟุ่มเฟือย พวกมนุษย์เห็นแก่เงินเข้าไปทุกที มีการเสนอให้ตั้งบ่อนการพนัน เปิดเสรีการค้าประเวณี ผลิตยาบ้า ผลิตเหล้าเถื่อนให้ถูกต้องตามกฏหมาย”

เปลวไฟในกระถางกลางห้องลุกโชนขึ้นเป็นสีแดง คล้ายกำลังพิโรท และกระหายวิญญาณมนุษย์เลว ๆ ที่ยังลอยนวลอยู่

“ขนาดนั้นเชียวหรือท่านเทพแห่งมนุษย์?” เทพธิดาอุทานอย่างตกอกตกใจ
“ข้ายังงงเลยว่า เขากล้าคิดออกมาได้อย่างไร ในเรื่องที่ผิดศีลธรรมเช่นนี้” เทพหนุ่มผู้รื่นเริงเริ่มขมวดคิ้ว
“หากเป็นเช่นนั้น คนเมายาบ้าคงเกลื่อนถนน ฆ่ากันตายเป็นว่าเล่น ผู้คนมิต้องพกอาวุธติดตัวเพื่อป้องกันตัวกันแล้วหรือ” ผู้คุมกฏนรกแสดงความวิตกกังวล

พยายมนั่งนิ่งฟังการรายงานอย่างสุขุม

“แต่ได้ข่าวว่า จะมีการตั้งกระทรวงพุทธศาสนาอยู่มิใช่รึ” เทพแห่งสวรรค์ถามไถ่ขึ้น
เทพแห่งมนุษย์ถอนหายใจยาวอย่างหน่วงหนัก สีหน้าเทพหนุ่มมีความกังวลและหม่นหมองปรากฏอยู่ราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ
“ท่านลองคิดดูสิ กระทรวงพุทธศาสนาจะมีความหมายอะไร นอกจากเป็นหุ่นเชิดจอมปลอมเท่านั้น ไม่สามารถทำให้คนทำตามหลักศาสนาพุทธอย่างแท้จริงได้ กระทรวงหนึ่งส่งเสริมให้คนผิดศีลได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย อีกกระทรวงหนึ่งบอกให้คนลดละเลิก มันก็ขัดกันสิท่าน หากเป็นเช่นนี้ แล้วจะได้ผลอะไรกันล่ะ” น้ำเสียงของเทพหนุ่มแสดงความเหนื่อยหน่ายและหมดหวังอยู่ลึก ๆ
“หากผู้คนยังไร้ศีลธรรมอยู่เช่นนี้ โลกคงต้องถึงกาลวิบัติแน่นอน” เสียงอันทรงพลังของผู้เป็นใหญ่แห่งนรกมีความกังวลเจืออยู่เช่นกัน
“ข้าแต่ท่านผู้เป็นใหญ่แห่งนรก ข้าขอเรียนปรึกษาเรื่องการควบคุมประชากร ตอนนี้ประชากรบนโลกเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมักมีการสำซ่อนทางเพศ แม้แต่เด็กนักเรียน นักศึกษา ก็ยอมขายตัวกันแล้ว เพียงอยากได้เงินมาซื้อความสะดวกสบาย ซื้อมือถือ ซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ใช้ มีเงินเที่ยวเล่น เท่านั้น”

ห้องประชุมเงียบกริบอยู่ในความเงียบงันเนิ่นนาน ด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน

“ท่านผู้คุมกฏนรก ท่านส่งวิญญาณผิดพลาดหรือ ถึงได้ส่งวิญญาณสุนัขไปไปเกิดแทนอย่างนี้” น้ำเสียงมีพลังเร้นลับดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
“มิได้ขอรับ ทุกอย่างเป็นไปตามผลของกรรมอย่างถูกต้องทุกประการ” ผู้คุมกฏแห่งนรกชี้แจง
“เราได้ส่งเชื้อโรคหนองใน ซิฟิริส และเอดส์ ไปลดประชากรเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ไม่ได้ผลหรือ” เสียงเทพธิดาท้วงขึ้นมา
“ก็ไม่เห็นว่า พวกบ้ากามจะกลัวเกรงกันเลยนี่นะ” เทพแห่งมนุษย์ไหวไหล่ “ท่านได้อ่านเรื่องเล่าไปรด. ของนายหูโน่หรือเปล่า ไอ้อวกได้รับของแถมจากการไปเที่ยวโสเพณีกลับมา และได้รับความเจ็บปวดทรมานมากกับโรคหนองใน แต่แล้วมันก็ยังกลับไปเที่ยวอีก และเดี๋ยวนี้พวกมนุษย์ก็สามารถคิดค้นวิธีการรักษาโรคหนองในและซิฟิริสได้แล้ว แม้โรคเอดส์จะยังไม่สามารถรักษาได้ก็ตาม”
“ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่เราจะควบคุมประชากรได้อย่างได้ผลนะ และตอนนี้ก็ได้ดำเนินการไปแล้วนี่…ท่านเทพแห่งมนุษย์” เสียงเทพธิดาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
“วิธีไหนหรือ” ผู้คุมกฎนรกหันไปยิงคำถามเทพแห่งสวรรค์
ผู้มีรอยยิ้มแห่งชีวิตหันไปสบตาเทพแห่งสวรรค์ “ท่านคงหมายถึงทำให้คนเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ เป็นกระเทย เป็นทอม เป็นดี้อย่างนั้นใช่หรือไม่” สีหน้าเทพหนุ่มมีรอยยิ้มแซมขึ้นมาบ้าง ก่อนอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงแจ่มใสขึ้น
“ตอนนี้ กำลังเป็นไปได้ด้วยดีเชียวล่ะ กำลังเป็นที่นิยมและยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ ของสังคมทั่วโลก ได้ข่าวว่ามหาลัยแห่งหนึ่งอนุญาตให้สาวประเภทสองสามารถแต่งตัวเป็นผู้หญิงไปเรียนได้แล้ว และเร็ว ๆ นี้ เห็นข่าวลงหนังสือพิมพ์หน้า 1 หนุ่มหล่อหน้าสวย แต่งงานกับนายอะไรนะ ขออภัยที่ข้าจำชื่อไม่ได้ ดูใจกันมานานถึง 15 ปี จะจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โตออกหน้าออกตาถึง 60 ล้านบาทเชียวนะ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน” เทพแห่งมนุษย์ยิ้มเยาะอยู่ในสีหน้าและแววตา

“ดีมาก ท่านเทพแห่งมนุษย์” เสียงพยายมเอ่ยชม “รออีกระยะหนึ่ง ประชากรต้องลดลงแน่ ๆ ท่านอย่ากังวลไปนักเลย เดี๋ยวท่านจะแก่ทันผุ้คุมกฏนรกนะ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นครั้งแรกหลักจากที่ประชุมอย่างเคร่งเครียดกันมานาน
“เรื่องของแดนมนุษย์ขอจบการรายงานลงเพียงเท่านี้ก่อนขอรับ” เทพแห่งมนุษย์ก้มศีรษะให้ประธานในที่ประชุม

“เรื่องต่อไปเป็นผลการดำเนินของแดนนรก”

ผู้คุมกฏนรกโค้มคำนับให้ท่านประธานในที่ประชุมอย่างนอบน้อม “ผลการดำเนินงานเป็นไปได้ด้วยดี แม้ว่าจะมีภาระหนักหนาสาหัสขึ้นทุกขณะ เนื่องจากมีคนก่อกรรมทำชั่วมากขึ้น ขุมนรกทั้ง 7 ขุมเริ่มแออัดยัดเหยียด ตอนนี้เรากำลังมีโครงการจะสร้างขุมนรกเพิ่มขึ้นอีก แต่มีปัญหาหาว่า ขาดที่ดินที่จะทำการก่อสร้าง”
“ข้าแต่ท่านพยายามผู้เป็นใหญ่ เรื่องนี้ขอให้อย่ากังวลใจไปเลย” เทพแห่งสวรรค์เอ่ยขึ้น “เนื่องจากผู้คนทำความดีน้อยลงทุกขณะ ที่ดินบนสวรรค์จึงมีที่ว่างอย่างเหลือเฟือ ข้าจะนำเรื่องนี้เสนอต่อเบื้องบน ให้ทำการโอนที่ดินลงมาให้แดนนรก คิดว่า คงไม่มีปัญหาอะไร”

“ขอบใจเทพปริตตา ฝากเจ้าด้วยนะ” พยายมพนักหน้าให้ผู้คุมกฏแห่งนรกรายงานต่อ

“โครงการที่สอง ขณะนี้นรกได้มีการเพาะพันธุ์ต้นงิ้วพันธุ์ใหม่ที่ได้สายพันธุ์มาจากแดนนรก แกแลคซี่อันโดรเมด้า ซึ่งพันธุ์ใหม่นี้มีความแข็งแรงกว่าเดิม กว้างขวางกว่าเดิมมาก สามารถให้นักโทษปีนได้จำนวนมากขึ้นถึง 10 เท่า มีหนามยาว และแหลมคมกว่าเดิม เติบโตเร็ว ขณะนี้เพาะได้ 5,000 ต้นแล้ว คิดว่าคงทันกับอัตตาการเพิ่มในการผิดศีลข้อ 3 ของเหล่ามนุษย์” ผู้คุมกฏฎนรกหยุดครู่หนึ่งเพื่อดูว่ามีผู้ใดต้องการจะไถ่ถามข้อสงสัยบ้างหรือไม่ แล้วจึงสาธยายต่อ
“นอกจากนี้ ก็มีการสั่งซื้อกระทะทองแดงใหม่เพิ่มขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องที่เป็นโครงการหลัก ๆ ที่จะทำในตอนนี้ก็คงแจ้งให้ทราบเท่านี้ก่อน” ผู้คุมกฏแห่งนรกโค้มคำนับให้ท่านประธานที่ประชุมอีกครั้ง

“วาระสุดท้าย วาระอื่น ๆ มีใครต้องการจะเสนออะไรหรือไม่” ผู้เป็นใหญ่แห่งนรกกวาดสายตาอันมีพลังอำนาจมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นมีผู้ใดต้องการเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมแล้ว จึงกล่าวปิดการประชุม
“ข้าขอขอบใจทุกท่านที่มาร่วมประชุมในครั้งนี้ ในภาวะโลกที่กำลังถึงจุดวิกฤต กลียุคใกล้คลืบคลานเข้ามาทุกทีแล้ว ผู้ไม่รู้ ผู้หลงงมงาย ผู้โง่เขลาในความสุขจอมปลอม ก็ยังคงเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีก ไม่มีวันจบสิ้น ไม่มีใครช่วยใครได้ นอกจากตัวของเขาเอง ผู้ใดอยากพบเจอสังคมสิ่งแวดล้อมอย่างใด ล้วนขึ้นอยู่ที่การสั่งสมกรรม จงสั่งสมกรรมอย่างนั้น ๆ แล้วความดีความชั่วที่ได้สะสมมาจะพาให้พบเจอสังคมตามที่ได้สั่งสมมานั่นเอง ขอให้ทุกท่านอย่าท้อแท้ในการทำความดี ขอให้ทำความดี ไม่ใช่เพื่อให้ใครเห็น แต่จงทำความดี เพื่อให้ความดีเกิดขึ้นที่ใจของเราเอง ข้าขอปิดประชุม ณ บัดนี้ ประชุมครั้งหน้า อีก 100 ปี ณ แดนสวรรค์”

ทั้งหมดโค้งศีรษะให้กับท่านพยายมผู้เป็นใหญ่แห่งนรก


“ข้าเห็นทีคงต้องกลับก่อนล่ะ” เทพแห่งมนุษย์กล่าว พลางยิ้มน้อย ๆ “ไม่อยากอยู่เป็น กขค”
“ถ้าเช่นนั้นขอให้ปฏิบัติงานลุล่วงไปได้ด้วยดี นี่เป็นของขวัญจากข้า เล็ก ๆ น้อย ๆ โปรดรับไว้เถอะ” เทพธิดาส่งกล่องสีน้ำตาลลายหินอ่อนให้เทพแห่งมนุษย์
“ขอบใจท่านมาก จริง ๆ ไม่น่าลำบากเลย” แล้วรับกล่องนั้นจากสาวน้อยหน้าใสตรงหน้า
“เล็กน้อยน่ะ เปิดดูสิว่า ชอบหรือเปล่า” เทพแห่งสวรรค์อมยิ้มเล็กน้อย

เทพแห่งมนุษย์เปิดดูแล้วร้องจ๊าก!! โยนกล่องนั้นทิ้งทันที แล้ววิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง

เทพปริตตาก้มลงหยิบกล่องนั้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วกวดฝีเท้าตาม!!
“เดี๋ยวสิ! เอาไปด้วย อย่าทำอย่างนี้ ข้าเสียใจนะ ได้โปรดรับไว้เถอะ” เทพธิดาตะโกนตามหลังไปขณะที่วิ่งตามไปติด ๆ

ผู้คุมกฏแห่งนรกได้แต่ยืนกอดอกมองเหตุการณ์เงียบ ๆ เหมือนมองดูเด็ก ๆ เล่นวิ่งไล่จับกัน ใบหน้านั้นเปื้อนรอยยิ้มมีเสน่ห์อย่างเคย

เทพแห่งมนุษย์วิ่งมาหยุดที่เชิงผาด้านหนึ่งของหุบเหวเพลิงมรณะอย่างสุดทางหนี หันซ้ายหันขวา พลางหอบแฮก ๆ ก่อนจะตัดสินใจ หันมาทำใจดีสู้เสือ
“ไม่เอาน่า…เทพปริตตา ท่านอย่าล้อขอเล่นด้วยวิธีนี้สิ! ท่านก็รู้ว่า ข้ากลัวจิ้งจกเป็นชีวิตจิตใจนะ” พลางโบกไม้โบกมือไปมา กันไม่ให้เข้ามาใกล้ เหงื่อเริ่มแตกซิก ๆ ขนแขนเริ่มสแตนด์อัพกันเป็นทิวแถว
สาวน้อยชุดขาวบริสุทธิ์หัวเราะเสียงสดใส “เพื่อนท่านไม่ใช่เหรอ ที่กลัวจิ้งจกน่ะ”
“ข้าติดเชื้อมันมาน่ะ เนี่ย…งอนกับน้องสาวอยู่ไม่รู้คืนดีกันหรือยัง ข้าขอตัวรีบกลับไปเกลี่ยกล่อมให้มันคืนดีกันก่อนนะ” ว่าแล้ว แสงดาวระยิบระยับก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีรุ้งทอดลำจากท้องฟ้าลงมาเบื้องล่างต้องกายเทพแห่งมนุษย์

เทพแห่งนรกละสายตาจากท้องฟ้าสีดำทมึน เมื่อแสงสีรุ้งแสงสุดท้ายจางหายไป คิ้วเข้มขมวดปมเข้าหากัน เมื่อไม่พบร่างของเทพธิดาปรากฏอยู่

เธอหายไป!

ยมทูตหนุ่มหันซ้ายหันขวามองหาเทพปริตตาอย่างร้อนรน บนพื้นดินสีเทาว่างเปล่า สายตากวาดไปทั่วทุกทิศทุกทาง ทุกตารางนิ้ว ดวงตาสีสนิมเหล็กฉายแววกังวลปะปนกับคำถามไม่รู้จบที่ผุดขึ้นมาเต็มหัวสมอง
“ปริตตา! ท่านหายไปไหน ใจคอจะกลับสวรรค์โดยไม่ร่ำลากันซักคำหรือไง ท่านไม่เคยกลับไปอย่างไม่กล่าวคำลาข้าเลยนี่ คอยดูนะ! ชอบทำให้ข้าเป็นทุกข์ ชอบทำให้ข้าเป็นห่วง เดี๋ยวเจอตัวจะจับมากอดให้หายร้อนใจเลย” เทพหนุ่มบ่นขรมอยู่ในใจ ก่อนจะมีสติรู้ตัว สลัดความคิดเมื่อครู่ออกไปทันที ด้วยความสำนึกของความเป็นเทพแห่งนรก จะมีความคิดอย่างปุถุชนไม่ได้ แล้วรีบปรับดวงจิตเสียใหม่ ที่สำคัญ เขาไม่ควรทำลายเกียรติของคนที่เขารักที่สุด ยิ่งเธอเป็นถึงเทพแห่งสวรรค์ด้วยแล้ว

อุณหภูมิภายในร่างกายยมทูตหนุ่มเริ่มเพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามอารมณ์เครียด ต่อมอดีนอลเริ่มทำงาน และหลั่งสารอดีนาลีน

เทพปริตตาเฝ้ามองอาการความเคลื่อนไหวของผู้คุมกฏแห่งนรกอยู่ในที่อำพรางสายตา ริมฝีปากเหยียดตรงเป็นรอยยิ้ม หากเพียงเขาจะใช้สมาธิรวบรวมสติให้รวมกันนิ่งสงบ ไม่ว่าเธอจะอำพรางตัวอยู่ที่ไหน ก็ไม่อาจหนีพ้นการมองเห็นของเขาได้ บุรุษผู้นี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย เคยห่วงใยเธออย่างไร ก็ยังคงห่วงใยเธออย่างนั้น ในทุกภพชาติที่ได้พบกัน ผู้ชายคนนี้ดีกับเธอมาตลอด แม้กระทั่งการที่ถูกเลือกขึ้นมาทำหน้าที่แห่งเทพ เขาก็ยังเสียสละเลือกเป็นเทพแห่งนรก เพื่อให้เธอได้เป็นเทพแห่งสวรรค์ แม้ว่าการที่ต้องอยู่คนละที่ อาจทำให้ไม่ได้พบกันอีกเลย แต่บุรุษผู้นี้ก็จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เธอเสมอ ว่าแล้วเทพธิดาก็รีบปรากฎกาย ด้วยความสงสาร ความทุกข์ทรมานใจที่ยมทูตหนุ่มกำลังได้รับอยู่

“ท่านตามหาใครอยู่หรือ” เสียงสดใสดังขึ้นด้านหลังของบุรุษหนุ่ม
ผู้คุมกฏนรกหันควับกลับมาทันทีทันใด
“ท่านหายไปไหนมา ปริตตา!!”
พูดพร้อมกับก้าวซวบเข้าไปหาเทพแห่งสวรรค์ คว้ามือของเทพธิดามากุมไว้อย่างลืมตัว ความทุกข์ร้อน ความโกรธเมื่อครู่มลายหายไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านรู้หรือไม่ ว่าข้าเป็นห่วงท่านมากแค่ไหน”

เทพปริตตายืนงงนิ่งงันอยู่กับที่ มองมือตัวเองที่ถูกฝ่ายตรงข้ามกุมไว้แน่นอย่างดีใจเป็นที่สุด การกระทำของเขามันรวดเร็วจนเธอไม่ทันระวังตัว มองเห็นรอยยิ้มปรากฏอยู่ในดวงตาสีสนิมเหล็ก และระบายอยู่ในสีหน้าของบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า อยากจะพูดตำหนิเขา ว่าไม่ควรเลยที่เขาทำเช่นนี้ แต่หากพูดออกไป รอยยิ้มในแววตาและสีหน้าแจ่มใสในขณะนี้คงแปรเปลี่ยนเป็นหม่นเศร้าลงทันที

“ท่านผู้คุมกฏแห่งนรก”

เสียงเทพธิดา ทำให้สติของเทพแห่งนรกกลับคืนมา

“ข้า…” เสียงนั้นขาดหายไปในลำคอ เขาหลบสายตาลงต่ำ ไม่กล้าสบตาอย่างกลัวความผิด มองเทพธิดาดึงมือตนเองกลับไปอย่างมิอาจห้ามไว้ได้ ใบหน้าและแววตานั้นหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

“ข้า..ขอโทษ”

ความทุกข์ใจอีกอย่างแทรกเข้ามาแทนที่

ความรู้สึกอยากดึงสาวน้อยตรงหน้าเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนให้หายดีใจเกิดขึ้นอีกแล้ว…

แต่ต้องพยายามสะกดใจ กดมันลงไปให้อยู่ในที่ที่ควรอยู่ หรือต้องพยายามเอามันออกไปจากจิตใจให้ได้ แม้กาย วาจาจะไม่ได้แสดงอาการ กิริยาทุกอย่างนิ่งสงบ แต่ทว่าสายตาที่มองเธออยู่ขณะนี้นั้น กอดเธอไว้ด้วยสายตาแล้ว ยมทูตหนุ่มรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น จิตใจที่ไม่ได้ฝึกขัดใจตัวเองมาก่อน เป็นพายุทุกข์หนักที่หมุนวนอยู่ในใจ ด้วยการเป็นผู้คุมกฏแห่งนรก มีแต่การออกคำสั่งให้ทุกคนปฏิบัติตาม คำสั่งลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎ จนทำให้ชาชินกับความเอาแต่ใจตัวเองไปโดยปริยาย แม้ว่าทุกคำสั่งที่สั่งนั้นจะมีเหตุผลที่ถูกต้องเสมอก็ตาม

“ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างขณะนี้ รู้สึกกำลังทุกข์ใช่ไหม” เสียงเทพธิดาเอ่ยถาม

ยมทูตหนุ่มนิ่งเงียบ

“จงเรียนรู้มันเถิด เราวนเวียนกับความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง อันเป็นที่เกิดของความสุข ความทุกข์ใจเป็นธรรมดา” น้ำเสียงสงบเย็นของเธอ ช่วยทำให้จิตใจของเขาสงบนิ่งลงได้มาก
เทพแห่งนรกหันกลับมาสบสายตาคู่นั้น ความรู้สึกหนึ่งบอกเขาว่า การได้กลับมาพบกับเทพปริตตาในครั้งนี้ เธอมีความสงบนิ่ง เยือกเย็นขึ้นมาก แม้แต่คำพูดที่เอ่ยถาม มีลักษณะของมิตรถามมิตรมากกว่าที่จะเป็นอย่างอื่น

“ท่านยังรักข้าอยู่หรือเปล่า ยังรู้สึกดีดีกับข้าอยู่ไหม ท่านเคยบอกว่าได้อยู่ใกล้ข้าแล้วท่านมีความสุข และอบอุ่นใจเสมอ” คำถามในสายตาของยมทูตหนุ่มคล้ายเทพธิดาจะอ่านออก และเข้าใจได้เป็นอย่างดี จึงกล่าวตอบไปว่า

“เราอาจจะรู้สึกว่าเป็นความสุขอย่างแท้จริง เป็นความสุขพิเศษ แต่ความสุขนั้นไม่อาจตั้งอยู่ได้นาน มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา จิตใจที่โหยหาความสุขที่เคยได้รับนั้น เป็นความทุกข์ใจยิ่งกว่า….”

ทุกอย่างสงบนิ่งอยู่ในความเงียบงัน สายลมแห่งความตายที่เคยพัดอยู่ตลอดเวลายังหยุดเคลื่อนไหว ต้นไม้หงิกงอดูคล้ายอุ้งมือปิศาจ ยิ่งดูเหงาหงอยเป็นทวีคูณ เปลวไฟสีเพลิงเบื้องล่างของก้นหุบเหวเพลิงมรณะหยุดไหวระริก นิ่งสงบราวทะเลไร้คลื่นลม

“ข้าได้เวลาต้องกลับสวรรค์แล้ว ดูแลตัวเองดีดีนะ” เทพแห่งสวรรค์ยิ้มปลอบโยน แม้บางเศษเสี้ยวของหัวใจจะยังไม่อยากจากไปก็ตาม แต่ด้วยพลังของจิตที่ได้รับการฝึกฝนขัดเกลามาเป็นอย่างดีแล้ว ทำให้เทพธิดาเข้มแข็งและตัดใจได้อย่างไม่ยากนัก และนับวันพลังจิตนั้นจะแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้คุมกฏนรกรู้ดีว่า ด้วยเหตุนี้เธอจึงได้รับเลือกเป็นตัวแทนจากสวรรค์ให้ลงมากระทำภาระกิจนี้ หากเมื่อใดเทพปริตตาจิตใจอ่อนแอลง เมื่อนั้นสวรรค์ต้องเลือกเทพธิดาองค์อื่นลงมากระทำหน้าที่นี้แทนเธออย่างแน่นอน และนั่นหมายถึง การจากกันชั่วกาลนาน และด้วยพลังจิตที่เข้มแข็ง และอาณุภาพของการละวางความรักความผูกพัน ความเกลียด ความชัง ความเข้าใจสรรพสิ่งนี่เอง ทำให้เทพปริตตามีใบหน้าอ่อนเยาว์ และสดใสกว่าเดิมขึ้นเรื่อย ๆ

“ขอให้ท่านโชคดี เทพปริตตา และสามารถบรรลุถึงความตั้งใจสูงสุดของท่านให้ได้” เทพหนุ่มแห่งนรกกล่าวอวยพรด้วยความจริงใจ พลางค้อมศีรษะให้ “แม้ว่าเป้าหมายความตั้งใจสูงสุดของท่าน จะหมายถึงการไม่มีข้าเป็นคนพิเศษอยู่ในจิตใจท่านอีกแล้วก็ตาม” เขาพูดต่อในใจ ความรู้สึกเจ็บแปลบลึก ๆ แทรกขึ้นมาในจิตใจ ความรู้สึกที่คิดไปเองว่า เขาคงลืมเราเสียแล้ว มันก็เจ็บปวดทรมานมากพออยู่แล้ว แต่การที่ได้รู้ว่า เขาตั้งใจจะลืมเรา มันเจ็บลึกยิ่งกว่า แต่พยายามสลัดความรู้สึกนั้นออกไป ดึงจิตให้แจ่มใส แม้มันจะยากเอาการอยู่ก็ตามที เพราะรู้ดีว่า สิ่งที่เทพธิดาตั้งใจนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ควรกระทำอย่างยิ่ง และเขาเองก็ควรจะตั้งใจทำเช่นนั้นด้วย เพื่อไปถึงความสุขที่ยิ่งกว่าสุข

แสงดาวระยิบระยับก่อตัวขึ้น ลำแสงสีขาวบริสุทธิ์จากเบื้องบนฉายลำลงมาต้องกายเทพปริตตา และจางหายไปพร้อมกับร่างเทพแห่งสวรรค์ เหลือไว้เพียงฟ้าสีดำทะมึนเท่านั้น

“จิตใจที่โหยหาความสุขที่เคยได้รับนั้น เป็นความทุกข์ใจยิ่งกว่า”

ถ้อยคำประโยคนั้นของเทพธิดายังคงดังก้องสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในสมองของผู้คุมกฏแห่งนรก




 

Create Date : 21 กันยายน 2548
5 comments
Last Update : 21 กันยายน 2548 18:17:45 น.
Counter : 454 Pageviews.

 

สนุกมากครับป้าธิ ถ้าออกแนวที่ผจญภัยท่าจะสนุกนะครับลองแต่งดูสิแล้วผมจะอ่านเป็นคนแรกเลย

 

โดย: H.Tenor IP: 203.151.140.120 28 กันยายน 2548 1:05:04 น.  

 

หนุกหนานน่าดู เก่งจังเจ้าค่ะ....

 

โดย: snopchan IP: 58.8.119.218 31 กรกฎาคม 2549 0:03:56 น.  

 

สนุกดีครับ เนื้อหาก็มีส่อเสียดสังคม ชอบๆ ลองเขียนหลายๆแนวนะครับ จะตามอ่านครับผ้ม

 

โดย: Champ IP: 58.10.155.145 31 กรกฎาคม 2549 0:05:09 น.  

 

ก็ยังเป็นเรื่องที่ดีเสมอ มีหลายรส ในเรื่องเดียว คนอ่านจะใด้ใม่เบื่อ (เพิ่งรู้ว่ายมทูตก็ใช้คอมด้วย ใม่รู้ต่อเน็ตหรือเปล่า อิอิ )

 

โดย: chalee IP: 124.121.185.198 19 เมษายน 2550 17:44:11 น.  

 

รออีก 100 ปี ถึงจะได้อ่านภาคต่อ ฤ ป่าวเนี้ยคริกๆ

 

โดย: EviL IP: 58.8.128.123 4 กุมภาพันธ์ 2552 22:59:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ริเศรษฐ์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ที่นี่คือบ้านแห่งมิตรภาพ
ตั้งอยู่ในหมู่บ้านกำหลาบความเหงา
ถนนน้ำใจ ตำบลยอมรับ ทั้งหนักทั้งเบา
อย่าลืมอำเภอเรา อำเภอจริงใจที่สุดตลอดกาล
อ้อ! จังหวัดเป็นกำลังใจให้ตลอด
หากเธอว่างแวะมาจอดอย่ารีบผ่าน
ระหัสไปรษณีย์ “รอเธอมาเป็นเพื่อนอยู่นะ”
รอพบพาน.....
ไงก็มาสาบานเป็นเพื่อนกัน
ข้อความทักทาย s
New Comments
Friends' blogs
[Add ริเศรษฐ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.