แม้อากาศจะหนาวเหน็บเพียงใด เมื่อหัวใจเรามีเพื่อน แม้กายเราจะหนาว แต่หัวใจของเรา อบอุ่น...เสมอ...
Group Blog
 
 
เมษายน 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
18 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
7 วันที่ไพศาลี46



16-2-46
ฉันเดินทางถึงศาลีอโศก เมื่อเวลา 7.30 น. อากาศเย็น หมอกบาง ๆ โอบกอดทุกพื้นที่ไว้อย่างอ่อนโยน สมณะกำลังบิณฑบาต ญาติธรรมนั่งรอใส่บาตรเป็นแถวยาวเกือบ 100 เมตร ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส หลังจากหาที่นอน กางกลดเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ แหะ…แหะ… หลับไป เพราะเมื่อคืนเคลียร์งานจนดึก นอนที่ทำงาน ยุงก็หามทั้งคืนเลย ก็เลยเป็นข้ออ้างสำคัญให้หลับได้

9.00 น. เดินไปฟังธรรมที่ศาลา พื้นเทปูนซีเมนท์ธรรมดา หลังคาเตี้ย ๆ มีต้นไม้ขึ้นรอบ ๆ และทั่วบริเวณ พื้นปูด้วยฟาง งานนี้ฝึกถอดรองเท้าเหมือนเดิม (บริหารและออกกำลังกายเท้าไปในตัว) มีนายอำเภอไพศาลีมากล่าวเปิดงาน แล้วฟังพระเทศน์ แอบหลับไปบ้าง (ตามระเบียบ เฮ้อ…) พอท่านเทศน์จบก็เลื่อนอาหาร แต่ละแถวที่เรานั่งจะมีอาหารวางคลุมผ้าไว้อยู่ที่ด้านหัวแถวและท้ายแถวคู่กัน ถ้านั่งไม่ตรงแถวจะเกิดความลำบากในการเลื่อนอาหารมาก

ก่อนทานอาหารต้องรอพระท่านปัจจเวกก่อน(พิจารณาอาหาร) ญาติโยมก็มีคำสวดพิจารณาอาหารเหมือนกัน เดี๋ยวท่องให้ฟังนิดหนึ่ง “กินข้าวเคี้ยวทุกคำ เราจดจำ กินเพื่อชาติ อย่ากินอย่างเป็นทาส เหงื่อทุกหยาดของชาวนา จงกินอย่างเป็นไทย กินด้วยใจที่รู้ค่า….ฯลฯ”

งานนี้เขาเรียกว่า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ พระท่านเคยอธิบาย ถึงคำว่า ปาฏิหาริย์ว่า หมายถึง มีคนมาปฏิบัติธรรม ถือศีล 8 กินมื้อเดียว ทานมังสวิรัติเป็นพันคน มีคนมาร่วมกันทำความดี สิ่งนี้นี่เอง ที่เรียกว่า ปาฏิหาริย์ ช่วงเช้านี้ มีคนนับจำนวนคนที่ฟังที่ศาลาได้ 1,400 กว่าคน (แต่สถิติสูงสุดคือ 1,700 กว่าคน จังหวัดที่มีคนมาร่วมงานมากที่สุดคือ กทม. รักษาแชมป์ได้ดีตลอดมา เย้!!)

ที่นี่คือ พุทธสถานศาลีอโศก ประกอบด้วย บ้าน วัด โรงเรียน ชุมชนคนที่นี่ต้องถือศีล 5 เป็นอย่างน้อย ทุกคนทำงานไม่มีเงินเดือน เข้าส่วนกลางหมด เขาเรียกว่า สาธารณโภคี นักเรียนที่นี่ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ต้องเรียนและทำงานไปพร้อม ๆ กัน มีสโลแกนว่า “ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา” นักเรียนหญิงใส่เสื้อคอปิด แขนยาวสีกรมท่า นุ่งผ้าถุงสีเดียวกัน นักเรียนชายใส่เสื้อเหมือนกัน นุ่งกางเกงไทยใหญ่ เป็นโรงเรียนที่รับรองได้เลยว่า ปราศจากสิ่งเสพติดทุกชนิด

ถ้าใครทำผิดศีล 5 ขั้นร้ายแรง จะถูกพิจารณาโทษ เช่น ผิดศีลข้อ 2 ขโมยของ ผิดศีลข้อ 3 มีอะไรกันก่อนแต่งงาน จะถูกไล่ออกจากชุมชน ห้ามเข้าในชุมชนเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือช่วยงานเด็ดขาด

ช่วงเที่ยงของทุกวันจะมีธรรมะกระดานดำ แต่ไม่ได้ไปฟังหรอก มัวแต่ตอบ จ.ม. เพื่อนบ้าง เอางานมาตรวจต่อด้วย อ่านหนังสือ แล้วก็เขียนคุยกับเธอนี่ไง รวมทั้งแอบหลับด้วย แฮ่…ขอสารภาพผิดคาฟ ^ _ ^ แต่ว่า ไม่ได้แอบนอนจุบจิบกลางวันเลย ทำได้ 2-3 วันนะ เวลา 14.00 น. จะเป็นรายการธรรมะภาคบ่าย วันนี้เรื่อง ศรัทธานั้นสำคัญไฉน ท่านติขวีโร และท่านถิรจิตโต(สมณะอาจารย์ที่ฉันเคารพมาก) ดำเนินรายการ ท่านถิรฯเล่าให้ฟังว่า ท่านเกิดศรัทธาได้อย่างไร

ตอนนั้นเรียนอยู่ มศ. 3 ได้อ่านหนังสือกามนิตวาสิฐี กามนิตตามหาพระพุทธเจ้า แต่จริง ๆ แล้ว กามนิตได้คุยกับพระพุทธเจ้าแล้ว แต่กามนิตไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดกามนิตว่า คนเราเหมือนเป็นโรคปวดฟัน มีรากฟันที่เน่า เราก็ไม่ยอมไปถอนออกซักที เอาแต่กินยาแก้ปวด แล้วก็ต้องวนเวียนปวดฟันอยู่อย่างนั้น ต่อมาทนปวดไม่ไหวแล้ว เลยตัดสินใจไปถอนฟัน แต่ว่าระหว่างทางเจอหมอปลุกเสก เลยแวะไปลองดู เลยไม่ได้ถอนฟัน แล้วก็วนเวียนปวดฟันอยู่อย่างนั้นอีก จนสุดท้ายจึงตัดสินใจไปถอนฟัน ถอนแล้วรู้สึกเกิดความสบาย ชีวิตคนเราก็เหมือนฟันเน่า ๆ นั่นเอง

ท่านเลยเกิดศรัทธาในพระพุทธเจ้า แล้วโยมพี่ชายท่านก็เล่าให้ฟังว่า มีดาราช่อง 4 สมัยนั้น ไปบวช ท่านเคยได้ยินว่า พระพุทธเจ้าละทิ้งราชสมบัติไปบวช นี่เป็นชีวิตจริง ๆ มีด้วยหรือ ท่านทิ้งรายได้ที่มากกว่านายกรัฐมนตรีสมัยนั้นอีก ไปได้อย่างไร เกิดความศรัทธา เลยเปลี่ยนชีวิตใหม่ เริ่มถือศีล 5 ระลึกถึงศีล 5 ตลอดเวลา ถ้าไม่มีศีล 5 กลัวจะตกนรก ดาราช่อง 4 ที่ไปบวชคือ พ่อท่าน พระโพธิรักษ์ขิโต นั่นเอง เมื่อท่านถือศีล 5 ได้ดีแล้ว เกิดความสุข จึงถือศีล 8 ต่อไปกินมื้อเดียวได้ รู้สึกว่า ชีวิตมีความสุขสงบ สบาย จึงออกบวช

ท่านติขวีโรก็เล่าว่า แต่ก่อนเป็นนักศึกษาอยู่ธรรมศาสตร์ ปี 3 มีความสนใจในศาสนาอยู่แล้ว เคยไปสวดมนต์ ได้ฝึกถือศีล 5 ไม่กินข้าวเย็น สวดมนตร์ก่อนนอน แล้วได้รู้จักกับพี่ชายท่านถิรฯ เพราะเล่นฟุตบอลด้วยกัน ได้ฟังว่า มีดาราช่อง 4 ไปบวช พาไปกราบท่าน ครั้งแรกพ่อท่านถามว่า เวลาอยากคุณทุกข์มั้ย

ตอนนั้นท่านไม่เข้าใจ ว่าอยากแล้วจะทุกข์ได้อย่างไร ท่านให้ไปลองทำดู เวลาอยากกินไมโล ให้กินน้ำร้อน กินไมโลผง กินน้ำตาล กินนม กินเป็นส่วน ๆ ท่านเลยเข้าใจว่า มันก็ไม่สมอยาก ท่านก็เลยเกิดศรัทธา แล้วฝึกกินมังสวิรัติ ถือศีล 5 เมื่อทำได้แล้วรู้สึกมีความสุข สงบ จึงฝึกถือศีล 8 ต่อไป เกิดความคิดว่า การเรียนต้องเจอโน่นนี่ทำให้จิตไม่สงบ และตอนนั้นอยากได้ศีลมากกว่า รู้สึกเป็นสิ่งที่มีค่ามาก เลยออกบวช ฟังแล้วน่าประทับใจมากนะ แสดงว่าท่านทั้งสองมีบารมีเก่ามาก่อน ได้ฟังอะไรไม่กี่คำก็เกิดสะกิดใจ เกิดศรัทธา ออกบวชได้

คืนนี้เป็นคืนมาฆบูชา พระจันทร์สีส้มแดงดวงกลมโตขึ้นจากทิวไม้ดำทะมึน มองเห็นชัดเจน สวยมากเลย เรานั่งอยู่บนลานฟางกว้าง มีญาติธรรมนั่งเต็มพรึ่บไปหมด นั่งฟังธรรมจากพระโพธิรักษ์

มหัศจรรย์แห่งความเปลี่ยนแปลง
เช้าที่ 17-2-46
ตื่นตี 3.20 น. ไปทำวัตรเช้า ฉันนั่งอยู่ข้าง ๆ ศาลา เพราะศาลาเต็มหมดแล้ว บางคนตื่นมาจองที่นั่งด้านหน้าตั้งแต่ตี 2 แหนะ หืม…ราวกับจองที่ดูคอนเสิร์ทงั้นแหละ การฟังธรรมเช้านี้ แง้ ๆ สัปหงกน่าดูเลย แต่ก็คิดว่า อย่างน้อยเราก็มีความเพียร ไม่นอนหลับสบายอยู่ที่กลด มานั่งทนอดอยู่ที่ศาลาก็ยังดีนะ ประมาณ 6 โมงเช้า ไปเก็บที่นอน ซื้อของใส่บาตร ฉันตั้งใจใส่บาตรทุกวัน เพราะมีโอกาสน้อยที่จะตื่นมาใส่บาตรทัน แฮะ แฮะ แล้วก็เป็นโอกาสเดียวที่เราได้อยู่ใกล้สมณะท่านที่สุด บางรูปอยู่ไกล ไม่ได้พบเจอท่านนานแล้ว จะได้ถามไถ่ท่านบ้าง ภาพสมณะโน้มบาตรลงมารับบาตรจากคนชราที่นั่งอยู่กับพื้น ด้วยรอยยิ้มแห่งความเมตตา ยังเป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจเสมอ

ระหว่างรอพระท่านมาบิณฑบาต ก็ไปตัดผมฟรี ฉันมาตัดผมที่นี่ทุกปีเลย แหะ แหะ กว่าจะตัดเสร็จ พระบิณฑบาตไปเกือบหมดแล้ว ได้ใส่บาตรแค่สายเดียวเอง แล้วไปช่วยแยกอาหาร

เล่านิดหนึ่ง เวลาพระท่านบิณฑบาตรในชุมชน เนื่องจากมีคนใส่บาตรจำนวนมาก ในช่วงที่มีงานอย่างนี้ ท่านจะแบ่งการรับบิณฑบาตเป็น 2 บาตร บาตรแรกรับข้าวอย่างเดียว บาตรที่สองรับกับข้าว ขนม และผลไม้ ที่ต้องแบ่งอย่างนี้เพื่อการแยกและจัดอาหาร ไม่งั้นจะปนกันไปหมดทั้งข้าวกับข้าวผลไม้ เวลาฉันไปช่วยแยกอาหารจากการถ่ายบาตร มันจะปะปนกัน ดูเหมือนขยะมากกว่า ขอโทษทีที่ต้องใช้คำนี้นะ เพราะว่ามันเหมือนจริง ๆ ยิ่งที่มันเละ และบรรจุไม่ดี ยิ่งแล้วใหญ่ บางส่วนต้องทิ้งไปเลย

ดังนั้นเวลาจะซื้อของใส่บาตร ฉันจะซื้ออาหารที่มีความทนทาน ไม่เละก่อนขึ้นถวายพระ วันนี้อาหารเยอะมาก แยกกันอยู่นาน แต่ก็สนุกดีนะ ชอบ…^ _ ^ แต่ถ้าท่านไปบิณฑบาตทั่วไป ก็ไม่มีการแยกบาตรหรอกนะ

ธรรมะก่อนฉันวันนี้ มีวิทยากรมา 2 ท่านมาพูดเรื่อง สงครามเมล็ดพันธุ์ คนแรกชื่อโจน(คนไทยนะ) คนที่สองชื่อ มิชเชล เป็นคนฮอลแลนด์ พูดไทยได้ด้วยนะ ทั้ง 2 คนมาพูดเรื่อง พืชพันธุ์ที่กำลังจะสูญหายไปจากโลก เพราะมีบริษัทนายทุนชื่อ บ.มอนแซนโต้ จะควบคุมการปลูกพืช ด้วยการทำพืช จีเอ็มโอ



การทำจีเอ็มโอ คือการเปลี่ยนยีนพันธุ์พืช เช่น ทำข้าวโพดให้มีรสไก่ ทำมันฝรั่งให้มีรสกุ้ง เอายีนในพืชและสัตว์มาผสมกัน แต่จะปลูกได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น จะขยายพันธุ์ปลูกต่ออีกไม่ได้ จะปลูกทีต้องไปซื้อที พันธุ์ข้าวที่มีจะถูกขโมยไปวิจัยแล้วจดลิขสิทธิ์ไว้ มิชเชลทำงานในองค์กรของเอกชนเกี่ยวกับพันธุ์พืชและสัตว์ ซึ่งจะเก็บเมล็ดพันธุ์ทุกชนิด ทั้งที่มีคนปลูกและไม่มีคนปลูกแล้ว เพราะถือว่าเป็นมรดกของโลก

บ.มอนแซนโต้พยายามจะขจัดเมล็ดพันธุ์พื้นบ้านให้หมดไป ใช้วิธีการต่าง ๆ ทำให้ชาวบ้านละทิ้งพืชพันธุ์พื้นบ้าน แล้วหันไปซื้อของบ.มอนแซนโต้แทน น่ากลัวนะ ถ้าต่อไปเราจะปลูกอะไร ก็ปลูกได้แค่ครั้งเดียว ไม่สามารถขยายพันธุ์ได้อีกต่อไป

ตอนทานข้าวมีศาสตราจารย์ดร. สุฑาทิพย์ จากมหิดลมาพูดเรื่องไบโอดีเซล ที่ทำจากน้ำมันพืช คือสามีเขาอ่านหนังสือเจอ เลยเอามาทดลองทำดูน่ะ โดยใช้น้ำมันพืชที่ใช้แล้วมาทำ (75 ลิตร) โดยนำน้ำมันที่กรองเศษอาหารออกแล้วมาต้มอุณหภูมิร้อยองศาเซลเซียสในหม้อสแตนเลส ให้น้ำในน้ำมันระเหยไปจนหมด (ฟองจะหมดไป) ตั้งทิ้งไว้ให้อุณหภูมิลดลงเหลือ 60 องศาเซลเซียส ขณะรอให้นำ โซดาไฟครึ่งกิโลกรัม ผสมกับแอลกลอฮอล์ทาสี (15 ลิตร)ในถังพลาสติกที่มีฝาปิด (สารนี้มีความเป็นกรดและเบสสูงมาก มีอันตรายมาก ห้ามจับ ห้ามสูดดมเด็ดขาด) ควรทำให้ที่โล่ง อยู่ใกล้น้ำ หากโดนให้รีบล้างน้ำทันที

ผสมให้เข้ากัน ขณะผสมจะเกิดความร้อน จากนั้นนำไปใส่ในน้ำมันที่มีอุณหภูมิ 60 องศา (ย้ำว่าต้อง 60 องศานะ) กวนให้เข้ากัน ขณะกวนห้ามสูดดม กวนนาน 30-60 นาที จะได้น้ำมันใส และมีตะกอนใช้ทำสบู่ได้ ทำเชื้อเพลิง ล้างห้องน้ำได้ เทน้ำมันใสออกมาแล้วทิ้งไว้ 7 วัน จึงน้ำมาใช้ได้

น้ำมันนี้ทำให้ไม่เกิดมลภาวะเป็นพิษ ไม่มีควันดำ และมีกลิ่นหอมเหมือนไข่เจียว (เขาว่างั้นนะ) ไม่มีซัลเฟอร์ออกไซด์ การเผาไหม้ดีกว่าน้ำมันดีเซลปกติมาก ทำให้เครื่องยนต์ดี ออกตัวได้เร็ว ทำให้ฝาสูบไม่มีตะกรัน ดีจังเลยนะ รัฐบาลน่าจะทำให้รถเมล์ใช้นะ เราก็ไม่ต้องซื้อน้ำมันจากต่างประเทศให้เสียดุลการค้าอีก สิ่งแวดล้อมก็ไม่เป็นพิษด้วย

อาจารย์เขาทำใช้เองมา 1 ปีครึ่งได้แล้ว เอ้อ…จำได้แล้ว ตอนฉันไปราชธานีอโศก ฉันก็เจอเขานะ สามีเขาเป็นชาวต่างประเทศ มีลูกสาว 1 คน หน้าตาน่ารักมากเลย

ธรรมะภาคเย็น 18.00 น. โดยสมณะสมชาติโก เรื่องสัจจะธรรมชีวิต สาขาอโศกทุกที่จะรับนโยบายจาก ธกส.(ธนาคารเพื่อการเกษตร) ทุกที่จะต้องรับอบรมลูกค้าพักชำระหนี้ธกส. โดยใช้ชื่อการอบรมว่า สัจจะธรรมชีวิต และจะเรียกผู้เข้าอบรมว่า คนของแผ่นดินนะ ก็จะอบรมทั้งหมด รุ่นละ 5 วันนะ ต้องมานอนค้างคืนที่พุทธสถาน เขาจะสอนให้ชาวบ้านรู้จัก รักษาศีล 5 ลดละอบายมุข สอนการใช้ชีวิตเรียบง่าย สอนให้พึ่งตนเอง สอนกสิกรรมธรรมชาติไร้สารพิษ การทำปุ๋ยธรรมชาติ การทำแชมพู ทำน้ำยาล้างจาน เป็นต้น

คนแรกในรายการ คนนี้เป็นหนี้ ธกส. 220,000 บาท เป็นหนี้มา 20 กว่าปีแล้ว หลังจากมาอบรมสัจจะธรรมชีวิตแล้ว เขาตั้งใจเลิกสูบบุหรี่ได้โดยเด็ดขาด เพราะว่าตอนมาอบรมไปสูบบุหรี่ตรงไหน คนก็จะทักท้วงว่า สูบไม่ได้นะ ต้องไปสูบตรงโน้นตรงนี้ เลยรู้สึกว่า ตัวเองสกปรกขนาดนี้หรือ เลยตั้งใจเลิกสูบบุหรี่ตั้งแต่วันนั้นเลย คนที่สองเป็นเจ้าหน้าที่ ธกส. ตั้งใจกินมังสวิรัติมาได้ 7 เดือนแล้ว เพราะได้ตระหนักถึงบาปกรรมของการเบียดเบียนชีวิตสัตว์

คนที่ 3 เป็นหนี้ ธกส. 250,000 บาท กินเหล้าเป็นอันดับ 1 กินได้ทุกวัน เป็นคนเหนือนะ อู้เหนือตลอดเลย (เป็นปัญหาแก่ผู้ที่ฟังไม่ออก ฮา…ฉันพอฟังออกนะ แต่อืม…อาจจะไม่ลึกซึ้งเท่าไหร่น่ะ) เพราะเขาพูดภาษากลางลำบากมาก พอมาอบรมแล้วเลิกเหล้าได้ ทานมังสวิรัติได้เลย ภรรยาบอกว่า ได้สามีใหม่เลยทีเดียว

คนที่ 4 จากมหาสารคาม คนนี้อายุ 24 ปี ไปอบรม 2 คืนแรกคิดถึงบ้านมาก แล้วก็คิดถึงเพื่อน คิดถึงคาราโอเกะ เทค ผลับ และบาร์ เพราะเวลาอยู่อบรมต้องนอน 3 ทุ่ม ตื่นตี 4 กิน 2 มื้อ แต่วันที่ 3 ก็เริ่มเข้าใจ วันที่ 4 รู้สึกชอบ วันที่ 5 ไม่อยากกลับบ้าน พอกลับบ้านไป 3 วันก็กลับมาอยู่ที่ศูนย์ฝึกอบรมต่อ เพราะคิดว่า อยู่ข้างนอกอโศก มีแต่อบายมุข เลยมาอยู่อโศกเพื่อช่วยเหลือคนอื่นต่อ ตอนนี้อยู่ได้ 1 เดือนแล้ว

คนที่ 5 อายุ 18 ปี มีช่วยพ่อแม่ขายปลาส้ม ได้เงินเดือน หกเจ็ดพันบาท มีฐานะพอสมควร เด็กคนนี้ติดบุหรี่แหละยาบ้า สูบวันละ 4-5 ตัว ตัวละ 100 บาท ที่เสพยาบ้าเพราะว่า ทำงานหนัก เพื่อนมาสูบยั่ว คะยั้นคะยอให้เสพ ครั้งแรกก็ไม่เสพ มายั่วทุกวัน ครั้งที่ 10 จึงลองเสพดู เขาบอกว่า ยาบ้ามันหอม มีหลายกลิ่นหลายรส เช่น ช็อคโกแลต เสพแล้วจะมีอาการดีด คือ ไม่ง่วง ขยัน ทำงานได้มาก เสียเงินค่าเสพยาบ้า เดือนละเป็นหมื่น เขาติดอยู่ 1 ปีเต็ม และต้องเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันเริ่มไม่ยอมดีด ร่างกายก็โทรม ไม่มีแรงทำงาน เหนื่อย ตาโบ๋ แก้มตอบ ปากซีดขาว คนเล่าบอกว่า เหมือนเปรต มีอาการประสาทหลอน เหมือนมีคนมาหาตลอดเวลา

ต่อมาพ่อแม่ให้มาอบรม ธกส. 5 วัน แต่ 2 วันแรก เขาหนีไปเสพยาบ้า แต่มีความตั้งใจจะไปอบรมอยู่จึงกลับไปอบรม พออบรมแล้ว ตั้งใจเลิกยาบ้า และไม่กลับไปอยู่บ้าน เพราะกลัวเพื่อนมาชวนอีก จึงอยู่เป็นพี่เลี้ยงช่วยงานอบรม ธกส.

อีกคนหนึ่งอบรมแล้วกินมังสวิรัติเลย เพราะคิดว่า เขาอายุ 46 แล้ว กินเนื้อสัตว์มานานแล้ว ชีวิตที่เหลือนี้จะกินมังสวิรัติไม่ได้หรือ เลยตัดสินใจกินมังสวิรัติมาตลอด ก่อนมาอบรมเป็นโรคกระเพาะรุนแรง ทรมานมาก หลังจากกินมังสวิรัติแล้ว อาการก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เขากลับมาบ้านก็ทำปุ๋ยหมักธรรมชาติ มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนผลไม้ของเขากลายเป็นสวนไร้สารพิษและเป็นสวนตัวอย่างด้วย

อีกคนหนึ่ง พอได้มาอบรมแล้ว ก็ทานมังสวิรัติ ทั้ง ๆ ที่เดิมไม่ชอบกินผักเลย สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองให้ดีขึ้นได้ ทำให้คนในครอบครัวแปลกใจมาก ครอบครัวก็มีความสุขขึ้น

คนสุดท้าย เป็นหนี้จน ธกส. ไม่ให้กู้ แต่อยากไปอบรมด้วย เลยขอไป พออบรมเสร็จก็ทานมังสวิรัติตลอดมา อาการปวดเข่า ชาตามมือก็หายไป ปลูกผักไร้สารพิษ พึ่งตนเองได้ มีรายได้เพิ่มขึ้น ตกวันละอย่างน้อย 500 บาท ลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก ภายใน 1 ปี สามารถปลดหนี้ได้หมดแล้ว

ฟังแล้วน่าประทับใจมาก ๆ เลย การที่เราได้รู้ว่า คน ๆ หนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองสู่ทิศทางที่ดี มันเป็นอะไรที่ดีเหลือเกิน ฉันคิดว่า การที่เขากินมังสวิรัติแล้วสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะว่า เนื้อสัตว์มีสารพิษมากในทุกวันนี้ เลี้ยงด้วยสารเคมี เร่งโน่น เร่งนี่ให้โตเร็ว ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ พอเขางดกินเนื้อสัตว์ หันมากินผัก ผักที่ปลูกก็ปลูกเอง ไร้สารพิษ มีความสด สะอาด ประกอบกับการเป็นเกษตรกร ทำงานออกกำลังกายอยู่เสมอ อากาศก็ดี ยังผลให้สุขภาพดีอย่างเห็นได้ชัด

บาดเจ็บ สาหัส ถึงตาย!
เช้าที่ 18-2-46
ตื่นมาทำวัตรเช้า วันนี้ฟังธรรมได้นาน 1 ช.ม. แหน่ะ ถือว่าเก่งแล้วนะเนี่ย หลังจากนั้นก็…..แหะ แหะ ท่านสอนเรื่อง การดูจิต การพิจารณาเวทนา เวทนาคือความรู้สึก เมื่อถูกกระทบทางทวาร 6 (อายตนะ 6) ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อถูกกระทบ(เรียกว่า ผัสสะ) แล้วรู้สึกอย่างไร แบ่งเป็น ทุกข์ สุข หรือ อุเบกขา ความรู้สึกดังกล่าวนี้ แบ่งย่อยได้เป็น 2 แบบ เป็นความรู้สึกทางธรรม(เนกขมะเวทนา) ความรู้สึกทางโลก(เคหสิตะเวทนา) แล้วแบ่งย่อยเป็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อตาสัมผัสไอติม เรารู้สึกอย่างไร ถ้าอยากกิน ถ้าได้กินก็เป็นสุข เป็นสุขแบบทางโลก(โลกียสุข) ถ้าเราไม่ได้กิน แต่ยังอยากอยู่ก็เป็นทุกข์ ทุกข์แบบที่ไม่เข้าใจ แบบไม่ได้ดั่งใจ ก็เป็นทุกข์แบบทางโลก ถ้าเราพยายามไม่กิน พยายามฝึกเพื่อลดละกิเลส ก็เป็นทุกข์แบบทางธรรม จนเราทำได้สำเร็จ เกิดปิติสุข เกิดสุขที่เป็นทางธรรม แฮะ แฮะ แบบว่า อยากเล่าสู่กันฟังอ่ะ อันนี้ฟังแล้วไม่หลับ พอเข้าใจ จึงเอามาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นความรู้ในการตรวจสอบจิตใจของเรา ดูกิเลสของเรา ดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่าเป็นแบบไหนนะคะ ^ _ ^ หลับกันรึยังคะเนี่ย…แฮ่……


ระหว่างงานได้รับข่าวว่า น้องชายที่รู้จักกันชื่อ โอ่ง ถูกแทง บาดเจ็บสาหัส น้องคนนี้ฉันเห็นเขามาตั้งแต่เด็กแล้ว เคยคบคุ้น พูดคุยกันอยู่ ตัวสูง ๆ ผอม ๆ เขาเล่าให้ฟังว่า เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ขี่จักรยานออกไปหาอะไรกินที่แถวตลาดมีนบุรี ขากลับ เกือบถึงที่พักแล้วอีก 400 เมตร เจอชายคนหนึ่งจี้เอาเงิน ตอนแรกเขาชิงกระเป๋าเงินไปได้แล้ว กำลังจะหนี โอ่งไม่ยอม ตามไปเอาหมวกกันน็อคของโจร ฟาดโจรจนหมวกกันน็อคแตก โจรเลยหันกลับมาเอามีดแทงแบบไม่นับ กะให้ตายเลย เพราะเย็บไป 84 เข็ม (ตอนแรกฟังเขาเล่าว่า ถูกแทง 40 กว่าที่ คิดในใจว่า โห…มันจะเอาถึงตายเลยหรอ เอ…แล้วมันไม่เมื่อยมือมั่งหรือไงนะ แทงเอาตั้ง 40 กว่าที เฮ้อ….เวรกรรม) โชคดีที่มีดไม่ใหญ่ แทงได้ไม่ลึก เลยไม่โดนอวัยวะสำคัญ

โจรชิงทรัพย์ไปได้ 400 กว่าบาท พร้อมกับรอยแผลจากการต่อสู้ ขณะที่กำลังต่อสู้อยู่ โอ่งได้ร้องให้คนช่วย ปรากฏว่า มีแต่ชาวบ้านมามุงดูเฉย ๆ ไม่มีใครเข้าช่วยเหลือเลย หลังจากโจรหนีไปแล้ว โอ่งต้องปั่นจักรยานกลับที่พักด้วยเลือดโซมกาย ไม่มีตรงไหนที่ไม่มีเลือด เลือดเต็มไปหมด พอถึงที่พัก ไปเคาะประตูเรียกเพื่อน เพื่อนเปิดออกมาตกใจมาก เป็นเราคงตกใจมาก นึกว่าผีหลอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะเลือดมันท่วมตัวไปหมดอย่างนั้น ดึก ๆ อีกต่างหาก เพื่อนรีบพาโอ่งส่งโรงพยาบาลทันที

นับว่าเป็นความโชคดีของโอ่งด้วย เพราะเพื่อนเขาคนนี้ตอนแรกอยู่ที่งานไพศาลี แล้วมีธุระนี่แหละ เลยกลับมาที่พักที่อยู่กับโอ่ง ถ้าเกิดเขาไม่ได้กลับมา โอ่งมีหวังไม่รอดแน่ ๆ เพราะเขาเสียเลือดมาก

ตอนค่ำเพิ่งเจอแม่ของโอ่ง คิดถึงใจของคนเป็นแม่นะ จะทุกข์และเป็นห่วงลูกชายมากขนาดไหนนะ ตอนนี้ก็ปลอดภัยแล้ว เพื่อนที่พาโอ่งไป ร.พ. โทรศัพท์ไปแจ้งข่าว โทรไปที่ไหนก็ไม่มีใครรับสาย เลยโทรหา เพื่อนอีกคนติด น้องคนนั้นเลยโทรมาหาพี่ผึ้งที่ทำงานบริษัทเดียวกันกับฉัน เลยได้รู้ข่าวกัน

กำลังคิดว่า โจรมันบ้าหรือเปล่าที่มาจี้น้องชายของเราเนี่ย เพราะพวกเราไม่ค่อยมีตังค์กันหรอก เพราะพวกเราถูกสอนมาให้กล้าจน แล้วมันจะได้ไปกี่ตังค์ ไม่รู้คุ้มหรือเปล่าเนี่ย แต่น้องเราสิ ใจร้อนไปหน่อย การใช้อารมณ์ ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ผลของการใช้อารมณ์มักออกมาในรูปนี้เสมอ (น่าจะต่อรองกับมันหน่อยนะว่า 50 50 ก็แล้วกันอ่ะ แฮ่…..)

วันก่อนเพิ่งเจอน้องเขา กะว่าจะไปเยี่ยมซะหน่อย อ้าว! หายแล้วแฮะ เห็นออกมาเดินป๋อเลย แผลก็ปิดสนิทหมดแล้ว เขาบอกว่าตอนนั้นตกใจมาก คิดแต่จะทำอย่างไรให้ออกจากการถูกล็อคไว้ เลยศอก พอศอกก็ถูกแทงเลย ถามน้องเขาว่า ได้อะไรจากการเหตุการณ์ครั้งนี้ เขาบอกว่า ต้องมีสติ อืม…อารมณ์ ความรุนแรงไม่เคยเป็นมิตรที่ดีในการแก้ปัญหาเลยนะ ว่ามั้ย?

ได้อีกข่าวหนึ่ง สามีของญาติธรรม ถูกฆ่าตาย เพราะต้องการชิงนาฬิกาข้อมือ เฮ้อ…แย่จังเลยนะ อีกข่าวหนึ่ง ลูกญาติธรรมมั้งไปขายของที่ตลาดนัด เกิดผิดใจกัน ถูกยิงด้วยปืนเก็บเสียง เอากันถึงตายเลยนะ เดี๋ยวนี้อ่ะ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ฆ่ากันตาย จิตใจทำด้วยอะไรกันนะ เศร้าจริง ๆ เพราะว่าคนไม่เคยฝึกที่จะยอม ฝึกที่จะไม่ได้ดั่งใจก็ไม่เป็นไร ฝึกที่จะให้อภัยกัน สังคมถึงเป็นแบบนี้

ตอนบ่ายของวันนี้ มีกิจกรรมเข้าฐานงานต่าง ๆ ได้แก่ ฐานถอนหญ้า ขนฟาง ทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพจุลทรีย์ต่าง ๆ ฐานสุขภาพ ฐานเจโตสมถะ(ฐานนี้เห็นเดินแถวนำไปยังจุดนัดพบ ค่อย ๆ ก้าวอย่างสำรวม นิ่ง สงบเชียวล่ะ แต่ฉันเลือกไปฐานคุยกับสิกขมาต(นักบวชหญิง) แทน รูปที่ฉันไปคุยชื่อสิกขมาตจินดา ด้วยความรู้จักส่วนตัวตั้งแต่วัยเด็ก และท่านเมตตาเรามาตลอด เราจะกล้าถามและกล้าคุยกับท่าน ได้อะไรดี ๆ เยอะเลย เข้าใจธรรมะมากขึ้น เข้าใจวิธีคิดมากขึ้น

รายการภาคค่ำ ชื่อรายการ “คลื่นลูกใหม่” สมณะตถภาโว เป็นผู้ดำเนินรายการ ท่านเป็น บก.ดอกบัวน้อยค่ะ ท่านนะ มีคนบอกว่า แค่เห็นหน้าท่านก็ขำแล้ว ท่านพูดอะไรก็ขำ ตลกไปหมดเลย ท่านถามซื่อ ๆ ใช้คำธรรมดา ๆ แต่มันขำอ่ะ มีน้องคนหนึ่งรู้จักกันขึ้นเวทีด้วยเคยเห็นเขาเรียนอยู่ข้างนอก ชอบดนตรีมาก เขาเข้ามาเรียน มวช.(มหาลัยวังชีวิต) แปลกใจมากเลย ไม่น่าเป็นไปได้ ก็น่าชื่นชมนะ เพราะนักเรียนที่นี่หลายคน กลับอยากออกไปเรียนต่อข้างนอก

มีพี่คนหนึ่งที่รู้จักชื่อพี่มด จบเทคโนพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สาขาวิศวะฯ เครื่องกล จบแล้วทำงานที่โรงงานผลิตรถยนตร์ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย คือ อีซูสุ เป็นโรงงานของญี่ปุ่น เงินเดือน หมื่นห้า เห็นรัฐบาลบอกว่า ต้องให้ชาวต่างชาติมาลงทุนในประเทศเรามาก ๆ ประเทศชาติเราถึงจะเจริญ ความคิดนี้ถูกต้องหรือไม่ ลองฟังเรื่องราวต่อไปนี้นะ

พี่มดเล่าว่า โรงงานนี้ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงงาน เครื่องจักร วัตถุดิบ อุปกรณ์ วิศวกรต่าง ๆ ผู้จัดการ จะเป็นคนญี่ปุ่นทั้งหมด หรือนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ซื้อในประเทศไทยเลย แม้พี่เขาจะพยายามผลักดันให้ซื้อของในประเทศไทย แต่ไม่เป็นผล มีแต่คนงานไทย คนไทยจะได้เป็นแค่หัวหน้างานเท่านั้น ทำงานเก่งแค่ไหน ก็ไม่ได้ตำแหน่งสูงกว่านี้ ต่อมาเศรษฐกิจแย่ลง เขาเลยลาออก และคิดว่าไม่อยากรับใช้ต่างชาติ แถมกำไรที่ได้ ถูกส่งกลับประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด ถ้าเขาไม่คุ้ม เขาไม่มาลงทุนหรอก มาแล้วก็กอบโกยไปหมดล่ะ ทิ้งสภาพเป็นพิษไว้ให้กับประเทศไทย แต่เราไม่เคยรู้ หรือตระหนักถึงเลย

เขาออกมาสมัครงานใหม่ มีบริษัทหนึ่งโทรมาเรียกตัวไปสัมภาษณ์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สมัครไป มีคนสมัครบริษัทนี้ 50 คน ผ่านเข้ารอบสัมภาษณ์ 7 คน และเลือกเพียงคนเดียว พี่มดเป็นผู้ถูกเลือกเข้าไปทำงาน บริษัทนี้เป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็คโทรนิคที่ส่งขายเป็นอันดับ 1 ของโลก สินค้าส่วนใหญ่ส่งออกขายต่างประเทศ บริหารงานโดยคนไทย 100% ได้เงินเดือน 20,000 บาท และได้ขึ้นเงินเดือนเป็น 24,000 บาท

หลังจากทำงานไป 2 ปี เวลาแบบผิด พี่เขาตรวจเจอ แต่หัวหน้าต้องการแก้แบบให้ถูกใจตัวเอง เขาต้องเอางานกลับมาแก้ใหม่ เขารู้สึกว่า ไม่ถูกต้อง เวลาเสนอว่าอะไรที่ควรแก้ไข ก็ไม่ได้รับการแก้ไข ถูกตอบว่า คุณมีหน้าที่ทำงานตามคำสั่งเท่านั้น และไม่สนใจว่าคุณจะมีความสามารถด้านไหน เราต้องการใช้ความสามารถของคุณแค่ด้านเดียว คุณมีหน้าที่ทำงานตามที่รับผิดชอบเท่านั้น และเขาก็ใช้พี่มดคุ้มมาก เข้าทำงาน 8.00-17.00 น. นั่นเป็นเวลาทำงานปกติ แต่จริง ๆ พี่เขาเลิกเที่ยงคืนเป็นประจำ โดยที่ไม่ได้รับค่าทำงานล่วงเวลาเลย วันหยุดก็ต้องมาทำ เนื่องจากเขาบอกว่า ได้จ่ายเกินมาในเงินเดือนอยู่แล้ว และคุณเป็นวิศวกร ต้องมีความรับผิดชอบ ต้องทำงานให้ทัน ให้เสร็จตามที่ได้รับมอบหมาย เลยรู้สึกว่า จะทำงานไปเพื่ออะไร ทำงานแต่ตามคำสั่ง คุณค่าของตัวเราอยู่ตรงไหน เลยตัดสินใจลาออก เข้าวัด

ตอนนี้ทำงานอยู่พุทธสถานราชธานีอโศก รู้สึกว่าได้ใช้ความสามารถของตัวเองเต็มที่ เป็นครูสอนเด็กสัมมาสิกขาราชธานีอโศก ช่วยงานอบรม ธกส. และงานอบรมต่าง ๆ ชีวิตทุกวันนี้มีความสุข และรู้สึกว่า ตัวเองมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่า ได้ช่วยคน ที่สำคัญ คนที่มาอบรม ธกส. เปลี่ยนชีวิตของตัวเองให้ดีกว่าเดิมได้ เป็นกำไรชีวิต แล้วพี่เขาจบด้วยคำถามว่า “วันนี้คุณค่าของชีวิตคุณอยู่ตรงไหน ชีวิตแต่ละวัน มีคุณค่ามากพอหรือยัง เยี่ยมมากเลย ประทับใจมาก ไม่เคยคิดว่า พี่เขาจะเข้าวัดนะ เพราะเห็นหลัง ๆ ไม่ค่อยจะมาวัดเท่าไหร่อ่ะ แล้วก็มีแควนด้วยนะ ก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน

เช้าที่ 19-2-46
ตื่นไปสวดมนต์ทำวัตรเข้าแล้วไปช่วยทำครัว วันนี้ชาว กทม. รับหน้าที่ทำอาหารที่โรงครัวส่วนกลาง ช่วยกันดีมาก เกือบไม่มีงานทำแหนะ แต่ก็หางานจนเจอ ตอนเช้านี้ฝนตกปรอย ๆ ฟ้าครึ้มเชียว ถ้าฝนตกหนัก ลำบากกันแน่ ๆ มีอยู่ปีหนึ่ง ฝนตกหนักมาก ฉันมุดเต้นท์ป้าคนหนึ่ง เราอยู่ด้วยกัน 5 คนได้ น้ำก็ไหลซึมเข้ามาตลอดเวลา ตื่นมาเปียกโชกเลย เช้านั้น เราเดินตากฝนพรำไปกับเพื่อนที่แสนดี แต่งานนี้เขาก็ไม่ได้มา ต้องดูแลอาที่ป่วยเป็นมะเร็ง เขามักพูดถึง ตอนที่เรานอนเต้นท์ด้วยกันในคืนวันฝนตกหนักวันนั้นเสมอ

ธรรมะก่อนฉัน ครึ่งชั่วโมงแรก ครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ครึ่งชั่วโมงหลัง ท่านโสรัจโจเทศน์ ท่านเป็นสมณะที่มีพลังมาก ทั้งด้านรูปธรรมและนามธรรม เสียงดังฟังชัด รายการท่านทำให้คนตื่นตาสว่างไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะคนเขียน ฮา… ท่านรูปนี้แหละที่พาเดินขึ้นเขาไปหน้าต่างโลกไง ท่านเล่าถึง ชมร.เชียงใหม่ (ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาเชียงใหม่) ที่มีการแจกอาหารต่อเนื่องมา 2 เดือน ก็มีคนเอาน้ำแข็งมาให้ เอาผักมาให้ เอาผลไม้มาให้ ลูกค้าก็ทำบุญร่วมด้วย ยังให้แจกติดต่อมาได้ถึง 2 เดือนแล้ว

แต่ลูกค้าบางกลุ่มก็เลิกมาทานเลย แถมถามว่าเมื่อไหร่จะเปิดขาย แล้วท่านก็เล่าถึงร้านอาหารวางใจ ร้านนี้ให้ลูกค้าตักอาหารเอง จ่ายตังค์เอง แล้วแต่ใครจะให้เท่าไหร่ก็ได้ ตอนนี้ทำมา 3 ปีแล้ว ไม่น่าเชื่อเนอะ ฟังแล้วน่าประทับใจจังเลย ที่เขากล้าทำ วัดใจกันเลย ท่านเองเป็นคนตั้งชื่อร้านนี้ และนึกว่าคงเจ๊งไปแล้วซะอีก ดูน่าจะสบายดีนะ ทำอาหารออกมาตั้งอย่างเดียว แล้วก็ไปไหนต่อก็ได้ ให้ลูกค้าจัดการกันเองเนอะ

ช่วงรับประทานอาหารมีคุณหมออารี จบดอกเตอร์จากที่ไหน แหะ แหะ จำไม่ได้นะ เป็นหมอที่เก่งมาก สามารถพิชิตโรงมะเร็งได้ด้วยตัวเอง หายมาแล้ว หมอบอกว่า จิตใจสำคัญที่สุด ถ้าใจไม่สู้ ไม่ยอมเปลี่ยนวิถีชีวิต ก็ไม่หาย ต้องมองสิ่งรอบตัวให้เป็นบวกเท่านั้น ทานอาหารธรรมชาติ ดีทอกซ์(การเอาพิษออกจากร่างกาย) ทานวิตามินเสริม ที่สกัดด้วยวิธีธรรมชาติ การที่ทานอาหารประเภทข้าวขาว ขนมต่าง ๆ พวกน้ำตาล ทำให้ร่างกายต้องใช้วิตามินบีรวม ในการช่วยเผาผลาญสารหาร ให้เป็นพลังงาน แทนที่วิตามินบีจะนำไปบำรุงสมอง

หมอเน้นอีกว่า การใช้นมวัวเลี้ยงเด็กทารกนั้น จะทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตทางร่างกายสูง เพราะในนมมีโปรตีนและแคลเซียมสูง แต่มีฟอสฟอรัสน้อย เด็กจะไม่ค่อยมีความเจริญเติบโตทางสมอง เพราะสัตว์ต้องการความเจริญเติบโตทางร่างกายมากกว่าทางสมอง แต่ในนมแม่นั้นจะมีโปรตีนและแคลเซียมน้อยกว่า นมวัว แต่มีฟอสฟอรัสสูงกว่านมวัว เพราะว่า มนุษย์ต้องการความเจริญทางสมองมากกว่าทางร่างกาย

ตอนบ่ายมีกิจกรรมเข้าฐานอีก ฉันเลือกไปคุยกับสิกขมาตรูปเดิมอีก คุยไปคุยมา อยู่คุณมิชเชลที่ทงานเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืชการกราบสิกขมาต เลยได้มีโอกาสคุยกับเขาด้วยล่ะ แต่ถามภาษาไทยนะ ภาษาอังกฤษฉันมันได้ได้เรื่องเล้ย ทั้ง ๆ ที่ตอนเรียนได้ 4 เกือบตลอดเลยนะ เฮ้อ….ฟังเขาพูดไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ เฮ้อ…

รายการภาคค่ำ ดำเนินรายการโดยสิกขมาตรินฟ้า เรื่อง บุญนิยมระดับ 4 เป็นจริงได้หรือไม่ ระบบบุญนิยมเป็นระบบที่ตรงกันข้ามกับระบบทุนนิยม คือการให้ไปเป็นกำไร การได้มาถือว่าขาดทุน แบ่งเป็น 4 ระดับ 1.ขายต่ำกว่าท้องตลาด 2. ขายเท่าทุน 3. ขายต่ำกว่าทุน 4. แจกฟรี พูดถึงร้านขายอาหารมังสวิรัติของส่วนกลางว่าเป็นอย่างไร มีที่ ชมร.เชียงใหม่ นครปฐม อุบลราชธานี กทม. ผู้รับแจกเป็นอย่างไรบ้าง ฟังแล้วก็มีความสุขจังเลยนะ ที่คนมาให้ ทุกคนจะพูดว่า ยิ่งให้ไปยิ่งได้มาจริง ๆ

ชาวราชธานีขนอาหารไปแจกในหมู่บ้านที่เคยมาอบรมธกส. ถือว่าไปประเมินผลด้วยว่า หลังการอบรมแล้วเป็นอย่างไร ปรากฏว่า ใส่ของไปเต็มคันรถ ก็ได้กลับมาเต็มคันรถเช่นกัน เพราะชาวบ้านก็เอาโน่นเอานี่มาให้ แล้วก็ดูแลอย่างดีเลย

ที่ฉันเห็นคือ ที่กทม.นะ เพราะอยู่ใกล้ ๆ ตอนนี้มีการแจกอาหารเดือนละ 1 ครั้ง เร็ว ๆ นี้มีการแจกอาหารฟรี เพราะว่ามีคนมาเหมาร้านทำบุญ คิดถึงสมัยพุทธกาลนะ จะมีเศรษฐีที่สนใจศาสนามาทำบุญ แจกโรงทานบ่อย ๆ นี่ก็เหมือนสมัยพุทธกาลเลย ชอบที่สุดคือ ภาพลูกค้าล้างจานเองน่ะ น่ารักจัง ลูกค้า กทม. น่ารักนะ ล้างจานเอง แล้วเขาก็จะช่วยกันดีมากเลย มีคนจะช่วยล้างให้อีกคน เขาก็บอกว่า ของเขาเอง เดี๋ยวเขาล้างเอง คนไทยก็ยังมีน้ำใจนะเนี่ย…

เมื่อวานนี้ก็มีแจกสลัดล่ะ มีคนทำบุญแบบไม่ออกนาม คิดถึงสมัยพุทธกาลนะ เขาจะเล่าถึงเศรษฐีทำโรงทานแก่คนยากจน เวลามีโรงบุญ ทำให้รู้สึกเหมือนสมัยพุทธกาลเลย มีโรงทานอย่างนี้ มันรู้สึกดีจังเลย มีโอกาสอยากไปร่วมขันทำบุญแบบนี้กับเขาด้วยจัง เวลาไปแจกก็รู้สึกสบายจังเลย ตักแจก ๆ ไม่ต้องกังวลว่ามากไปน้อยไป ไม่ต้องทอนตังค์ การให้นี่ให้ความรู้สึกที่ดีจริง ๆ เลยนะ ^ _ ^

เร็ว ๆ นี้ ฉันได้ร่วมทำบุญกะเขาด้วย ที่ร้านชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาสันติอโศก หลังจากกลับจากไพศาลีคราวนี้ จะมีคนมาเหมาทำบุญแจกอาหารบ่อยมาก ทำบุญเหมาแจกทั้งร้านบ้าง ทำบุญเหมาแจกเป็นแผนก ๆ เช่น แผนกสลัด ก๋วยเตี๋ยว ฉันเห็นแล้วก็อยากทำบ้างจัง วันหนึ่งได้ถามพี่คนหนึ่งว่า เขาคิดอย่างไรเหมาแผนกสลัดนี่น่ะ เขาก็บอกว่า วันธรรมดา 2,000 ถ้าวันเสาร์ 2,500 วันอาทิตย์ 3,000 พี่ที่ฉันถามเขาก็อยากทำเหมือนกัน ฉันก็เลยร่วมกับเขาด้วย เอาวันธรรมดา ฉันช่วยออก 500 บาท ดีจังเลยนะ มีความสุขจัง

เช้าที่ 20-2-46
เช้านี้ตื่นตอนระฆังพอดีเลย การตีระฆังคือ พระท่านจะเดินมาเป็นแถวขึ้นศาลาอย่างพร้อมเพรียง ถ้าตื่นตอนนี้ก็สายมากแล้ว ไปกราบพระก่อนสวดมนต์ไม่ทัน เช้านี้เกิดความมหัศจรรย์ขึ้นกับฉันอย่างมาก คือฟังธรรมพ่อท่านไม่มีง่วงเลย สติตื่นเต็ม มีความเข้าใจตลอด ทำลายสถิติ เคยตื่นได้ หนึ่งชั่วโมงกับสามสิบนาที เช้านี้ฟังได้ตลอดไม่มีหลับเลย สุดยอดดดด เจ๋งมาก ^ - ^ ดีใจสุด ๆ (เราเก่งจังเลยยยย) หลังทำวัตรกลับไปเก็บกลดที่นอนให้เรียบร้อย ทุกทีอากาศมันเย็นจะเอาตัวเข้าไปซุกในผ้าห่ม แล้วก็ผล็อยหลับไปเกือบทุกวันที่ผ่านมา แต่เช้านี้มีปิติยินดีมาก เลยเก็บกลดเลยอย่างเรียบร้อย แล้วไปซื้อของใส่บาตร

พ่อท่านบิณฑบาตมาพอดี บอกท่านว่า วันนี้ฟังธรรมท่านไม่หลับเลย ท่านชมด้วยว่าเก่ง ฟังเข้าใจดีหรือ ทั้ง ๆ ที่คิดว่า มันยากเอาการอยู่นะ จำได้ว่าทานสอนเรื่องการตรวจสอบว่าเราเป็นปุถุชนอยู่หรือไม่ การพ้นมิฉาทิฐิเป็นอย่างไร การพ้นมิจฉาทิฐิคือ การรู้ตัวเอง เห็นกิเลสในตัวเองว่า กิเลสอ้วนขึ้น ๆ หรือเปล่า ถ้ารู้ตัว แสดงว่า เราพ้นมิจฉาทิฐิแล้ว แต่ยังไม่พ้นสักกายะทิฐิ การพ้นสักกายะทิฐิคือ เราต้องทำให้กิเลสที่เรารู้ตัวนั้นจางคลายได้ ถ้ายังไม่ได้ ก็ยังไม่พ้นแสดงว่า ยังเป็นปุถุชนอยู่

รายการธรรมะก่อนฉัน ขอบอกก่อนว่า ไม่หลับค่ะ ประทับใจตัวเองจังเลย ^ _ ^ วันนี้เรื่องวิชาครูบาอาจารย์ โดยสมณะโพธิสิทโธ (เป็นลูกศิษย์ท่านถิรจิตโต ท่านถิรจิตโตจะมีหน้าที่สอนพระบวชใหม่ที่ยังบวชไม่ถึง 5 พรรษา) และรายการยินดีไม่มีปัญหา โดยสมณะปผโล

สมณะโพธิสิทโธ ท่านเล่าถึงการอบรมครอสมหัศจรรย์ที่ภูผาฟ้าน้ำ ฉันยังอยากไปเลย ท่านเล่าว่า มีหลัก ๆ อยู่ คือ ต้องสร้างความยินดีตลอดเวลา เวลานี้มีความสุขอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ มองทุกสิ่งรอบตัวให้เป็นธรรมะ เอาประโยชน์จากทุกสถานการณ์ให้ได้ ให้ตรวจจิตตัวเองบ่อย ๆ

ท่านปผโลเล่าถึงการต่อสู้กับกิเลสให้ฟัง ฟังแล้วรู้สึกดีมากเลยนะ ได้เห็นการต่อสู้กับกิเลสของท่านในเรื่องต่าง ๆ ที่ท่านชอบ ๆ แม้จะล้มบ้าง แพ้บ้าง แต่สุดท้ายท่านก็เอาชนะได้

ตอนเที่ยงมีหมอกายภาพบำบัดจาก ร.พ.สรรพสิทธิ์ จ.อุบลฯ หมอมีความรู้มากมายเลย เป็นแพทย์ทางเลือกของทาง ร.พ. ศึกษาทั้งโยคะ พลังจักรวาล พลังจิตรักษาโรค แพทย์แผนไทย ฯลฯ หมอเน้นว่า ไม่มีสูตรสำเร็จที่ทำให้สุขภาพดีเหมือนกันทุกคน แล้วแต่คน ต้องเลือกให้เหมาะสมกับตนเอง หมอบอกว่า สุขภาพดีหมายถึง 1. ร่างกายแข็งแรง 2. จิตใจดี 3. สิ่งแวดล้อมดี 4. จิตวิญญาณดี และต้องทำทั้ง 4 อย่างนี้พร้อมกัน เราต้องสร้างด้วยตัวเอง คือการสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง มีหลัก 3 วิธี 1. เอาของดีเข้าตัว 2. เอาของไม่ดีออกไป 3. ทำให้ใจกับกายสมดุลกัน

การเอาของดีเข้าตัว คือการเลือกกินอาหารที่ดี และสมดุลกัน ถ้ากินคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมันมาก แต่กินวิตามินเกลือแร่น้อย ทำให้ร่างกายนำไปใช้ไม่ได้ เกิดการสะสมเป็นพิษ

การเอาของไม่ดีออกจากตัว คือการล้างพิษ มี 3 วิธีค่ะ 1.อดอาหาร 2. ล้างลำไส้ 3. ขัดผิว (ต้องถูจากปลายมือเข้าหาตัว หมอบอกว่าต้อง วันเวย์ค่ะ อิอิ ลองทำดูแล้ว อืม…ผิวดี และสะอาดขึ้นเยอะเยย แฮ่…คุณสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ลองเอาไปทำดูนะคะ การขัดผิวนี้จะช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำเหลือง ทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรงค่ะ และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของหลอดเลือดด้วยนะคะ ตรงนี้จะช่วยทำให้ผิวดีค่ะ

การทำให้น้ำเหลืองไหลเวียนดีที่สุดคือการออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะเป็นโทษหากไม่เหมาะกับตัวเอง เมื่อเราออกกำลังกาย จะช่วยกระตุ้นให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำงาน

การหายใจที่ดี ต้องหายใจช้า ๆ ค่ะ ทำให้สุขภาพดี สังเกตว่า คนป่วยมักจะหายใจเร็วนะคะ

การอบสมุนไพร เป็นการใช้ความร้อนอบทั้งตัว ทำให้เหงื่อออก ทำให้พิษถูกขับออกมาด้วย แต่ไม่ควรอบนาน ๆ ติดต่อกันหลายนาที แค่เหงื่อออกท่วมตัวก็พอแล้ว

การดื่มน้ำ สังเกตได้จากปัสสาวะนะคะ ถ้าเป็นสีเหลืองเข้ม แสดงว่า ขาดน้ำ ต้องสีเหลืองใสถึงจะดี ถ้าขาวใส ไม่ดีกินน้ำเกิน ทำให้เลือดใสนำเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่พอ จะทำให้ผิวแห้ง

ต่อไปเรามาวัดความแก่กันนะคะ อิอิ วิธีการก็คือ เอามือขวาค่ะ อ้อมผ่านหน้าของตัวเองอ้อมไปยังท้ายทอย จับหูอีกข้างหนึ่งให้ได้ แล้วก็ลองมือซ้ายด้วยนะคะ

ครายจับไม่ถึง!!

คนนั้นแก่!!!!

ฮ่า…ฮ่า…. ^ _ ^ ตอนแรกนะ จับเกือบไม่ถึงแหนะ แง้ ๆ ยังไม่อยากแก่ แต่ก็นะ จับจนถึงจนได้อ่ะ พยายามน่าดูเยย แฮะ แฮะ ตอนนี้เลยจับถึงได้อย่างสบายมากค่ะ แต่ระวังหน่อยนะคะ อย่าเกรงนะ ไม่งั้นคอจะเคล็ดค่ะ อิอิ ครายแก่แย้วบ้างคะ จากการทดสอบนี้ ฮี่…ฮี่…

การนวด หมอบอกว่า ดีพอ ๆ กับการออกกำลังกายเลยทีเดียวนะ

มาถึงเรื่องความคิดบ้างค่ะ หมอบอกว่า ร่างกายตอบสนองด้วยอาการต่าง ๆ ทุก ๆ อารมณ์มีผลต่อร่างกายเสมอ การหงุดหงิด เครียด โกรธ เป็นผลต่อตับนะ คะ

ช่วงบ่ายรายการตอบเปรี้ยง เรื่องไตรลักษณ์ถึงความไม่เที่ยง พ่อท่านตอบปัญหา บรรยากาศก็ดีค่ะ เหมือนพ่อคุยกับลูก ๆ ใครมีปัญหาอะไรก็เขียนไปใส่กล่องไว้ ท่านจะจับขึ้นมา เคยส่งคำถามไปใส่กล่องกับเขาด้วย ท่านจับคำถามของเราได้ด้วย ดีใจมากเลย

ธรรมะภาคค่ำ พระอาทิตย์อัศดงดวงสีแดงกลมโตกำลังลับทิวไม้ สวยจังเลย นาน ๆ จะมีโอกาสเห็นพระอาทิตย์สวย ๆ ตกดินซะทีนะ ^ _ ^

เช้าที่ 21-2-46 เช้านี้ตื่นไปทำวัตรเช้า ตื่นได้ดีแต่มีหลับบ้างนิดหน่อย ตั้งใจจะไม่หลับเลยให้ได้อีกครั้ง อยากทำได้เหมือนเมื่อวาน เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของฉัน ตอนสายไปออกกำลังกายกับคุณหมอใจดี ที่มาอธิบายความรู้ให้ฟังเมื่อวานนี้ ได้เห็นพระอาทิตย์ดวงสีแดงกลมดิ๊กขึ้นมายิ้มแย้มทักทาย ฉายแสงแรกมายังโลก อากาศค่อนข้างเย็น สดชื่น กำลังสบาย รอบ ๆ พุทธสถานมีฝนตก แต่โชคดีมากที่พุทธสถานนี้ไม่ตก ไม่งั้นคงลำบากมาก ๆ เลยนะ จากนั้นก็ไปใส่บาตร ได้ใส่บาตรท่านสิริเตโชด้วย ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส่มาก ใบหน้าท่านมีรอยยิ้มระบายไว้ตลอดเวลา มองแล้วสบายตา สบายใจ ท่านถามไถ่ด้วยว่า บริษัทของฉันมาอยู่กันกี่วัน เป็นปีแรกเลยที่มีมติให้มาอยู่ครบ 7 วัน เพราะทุกทีมาแค่ 3-4 วันเอง

ธรรมะก่อนฉัน ลุงจำลอง ศรีเมือง ได้มาพูดคุยในหัวข้อ ทางโลก ทางธรรม ท่านก้เล่าเรื่องราวประสบการณ์ต่าง ๆ ให้ฟังมากมาย แต่…แหะ แหะ ไม่รู้เป็นอะไร ง่วงสุด ๆ เลย

วันนี้ได้มีโอกาสไปฟังธรรมะกระดานดำตอนเที่ยงด้วย เพราะท่านสิริเตโชเทศน์ ท่านเทศน์ดีมาก มีสาระ เข้าใจง่าย ชัดเจน สนุกสนาน เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ไม่มีหลับเลย ทั้ง ๆ ที่เพิ่งอิ่มนะเนี่ย ที่สำคัญมันอยู่ตรงนี้นะ ตรงจิตที่สนใจ ยินดีน่ะ อยากให้ความรู้สึกนี้อยู่นาน ๆ ไม่อยากให้จากไปเลย แต่หลาย ๆ ครั้งทำไม่ได้ ว้า….

ธรรมะภาคบ่าย พ่อท่านตอบปัญหา ก็หลับไปแป๊บเดียวนะ ได้มิตรดีสหายดีช่วยปลุกน่ะ ฮี่…ฮี่…แบบว่า เคยไปนั่งข้างเขา เขาหลับเลยช่วยนวดมือให้เขา พอเจอกันอีกเขาก็เลยช่วยเราบ้างอ่ะ ดีจังเลยนะ

รายการภาคค่ำ รายการ “สู้สารพัด” ดำเนินรายการโดยท่านชาตวโร แต่ละคนน่าประทับใจนะ แต่ที่ประทับใจมาก ๆ คือ คุณทองธรรมดา เขาเล่าชีวิตวัยเด็กที่ลำบากยากจนมาก เป็นเกษตรกร ปลูกผัก มีพี่น้อง 12 คน (ไม่รู้ทำไมคนจนชอบมีลูกเยอะเนอะ คนมีฐานะจะมีลูกน้อย หรือมีลูกยากไปเลย) เขาเกลียดชีวิตเกษตกรมาก เพราะทำให้ครอบครัวยากจน คนอื่นนั่งเรือไปเรียน แต่เขาต้องเดินไปเรียน ตื่นเช้ามาต้องไปตัดโหระภากับกะเพราก่อนไปโรงเรียน ทำให้เขาไปโรงเรียนสาย ถูกครูตีทุกวัน

อาหารของที่บ้านมื้อเช้าคือ ข้าวต้องใส่มันไปด้วย เพราะเดี๋ยวไม่พอกิน มื้อที่สองต้องหุ้งข้าวต้มใส่เกลือ เพราะกลัวไม่พอกิน พี่น้องทุกคนเรียนจบแค่ป. 4 ทั้ง ๆ ที่พี่ชายคนหนึ่ง สอบได้ที่ 1 ของจังหวัด แต่พ่อแม่ไม่ให้เรียน เพราะครอบครัวยากจนมาก แต่ตัวเขาเองไม่ยอมแพ้ แอบหนีไปสอบชิงทุนได้ แต่ไม่กล้าบอกทางบ้าน แอบเรียนไม่บอกทางบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรียน กสน. เรียนภาคค่ำ จนสุดท้ายจบปริญญาตรีจาก มสธ.ได้ในที่สุด (หืม…ใครที่เรียนสบาย ๆ อย่างเดียว แล้วไม่ตั้งใจเรียนอีก ขี้เกียจเรียน น่าเสียดายเนอะที่มีโอกาสดี ๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจ ใครเรียนอยู่ตั้งใจเรียนหน่อยนะจ๊าาา)

เขาตั้งใจว่า เขาจะต้องเป็นเถ้าแก่ให้ได้ เพราะเห็นเถ้าแก่ชอบชี้นิ้วสั่ง ก็อยากจะชี้นิ้วสั่งบ้าง แล้วเขาก็ได้เป็นเถ้าแก่จริง ๆ ก็เป็นเถ้าแก่มาหลายอย่าง มีลูกน้องหลายคน แต่ว่า เถ้าแก่เหนื่อยที่สุดต้องทำทุกอย่าง เริ่มด้วยการเป็นเถ้าแก่ขายผัก เปิดร้านมังสวิรัติ ต่อมาเปิดเต้นท์ขายรถและอู่ซ่อมรถ(ใช้เวลาเรียนรู้ 1 ปี) ทำได้ 2-3 ปีก็เลิกทำ เพราะว่าอาชีพขายเรถเป็นอาชีพที่ต้องโกหก ตอนซื้อรถก็ติโน่นตินี่ ตอนจะขายอะไรก็ดีตลอด เลยไม่สบายใจ ตอนทำอู่รถ เขาจะเอาอะไหร่ถูก ๆ มาใส่ให้ เปลี่ยนให้รถทั่ว ๆ ไป แต่คิดราคาเท่าอะไหล่แท้ เขาก็ไม่สบายใจ ต่อมาเลยคิดราคาถูก แต่ปรากฏว่า ลูกค้าเหมือนไม่เห็นคุณค่าของราคาถูก

มีครั้งหนึ่งมีรถเบนซ์มาเสียอยู่หน้าอู่ เขาเลยซ่อมให้ ราคาจริง หนึ่งพันบาทเท่านั้น แต่พี่ชายเขาบอกว่า ถ้าคิดพันบาท ต่อไปเขาจะไม่มาอู่นี้อีก ให้คิดไปหมื่นสี่พันบาท แล้วโมเมไปเลยว่า โน่นนี่เสีย ปรากฏว่า เป็นที่พอใจของลูกค้ามาก ต่อมาเขาก็ทำใจไม่ได้เลยเลิกทำ

ต่อมาเขาไปเรียนทำอิฐอยู่ 7 วัน ก็ไปเปิดโรงงานทำอิฐราคา 10 ล้าน ใคร ๆ ก็หัวเราะเยาะว่า เรียนแค่ 7 วัน เปิดโรงงานเป็นล้าน ปรากฏว่า เนื่องจากเศรษฐกิจตกพอดี เขาเลยเจ๊ง แต่มีที่ดินด้านหลังโรงงานมาก หุ้นส่วนเลยมาคุยกันว่าจะทำอะไรดีที่ให้ผลเร็วที่สุด เลยตัดสินกันว่าจะปลูกองุ่น และคิดว่าง่าย พืชอยากกินอะไรก็ซื้ออันนั้นมาให้กิน แต่ปรากฏว่า ต้องฉีดยาทุก 3 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีมาก เขาก็ไม่สบายใจอีก ตอนนั้นก็กินมังสวิรัติแล้ว แล้วไม่กล้าขายเพราะฉีดยามากเหลือเกิน เขาเลยตัดสินใจจะถอนหุ้น ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีปลูกใหม่ ก็เลยคิดค้นกันเพื่อนที่จะปลูกแบบไร้สารพิษ

เขาได้รู้จักกับอาจารย์เกษม ที่มีความรู้ความชำนาญในการปลูกผักผลไม้ไร้สารพิษมานาน เขาเลยเอามาศึกษาและได้ติดต่อไป อาจารย์ก็บอกว่า ไม่เคยทำองุ่น แต่จะลองดู เขาก็ค้นคว้าและอ่านหนังสือ ทำทุกทาง จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงมาก มีคนมาที่สวนทุกวัน วันละ 100-200 คน มาดูงาน มาซื้อกิ่งพันธุ์ และเตือนว่า ถ้าไม่โรงแดงตายเพราะอยากกินองุ่น ก็อย่ากิน ถ้ากินให้กินแค่ 2-3 ลูกพอ เพราะว่าองุ่นปลูกแบบไร้สารพิษยังไม่มีใครปลูกได้ เป็นพืชที่ปลูกยากมาก ๆ และใช้สารเคมีมากมายมหาศาล แถมสารเคมีที่ใช้เป็นชนิดที่ซึมเข้าเนื้อทั้งหมด

เขาได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องดิน และโรคพืชอย่างมาก ได้เดินทางไปให้คำแนะนำ ให้ความรู้เกษตรกรทั่วประเทศ ไม่มีปัญหาอะไรที่เขาตอบไม่ได้ ตอบได้ทุกคำถาม จนได้รับโปรดเกล้าจากพระเทพให้เข้าเฝ้าไปถวายงาน เขาเน้นหลักเรื่องดิน ต้องทำดินให้สมบูรณ์ และต้องรู้ว่าพืชต้องการดินแบบไหน ความเป็นกรดเป็นด่างอย่างไร เสียดายมีเวลาน้อยนะ มีเรื่องน่าสนใจเยอะมาก อยากรู้มากว่าเขามาเจอธรรมะได้อย่างไรน่ะ ไม่เห็นเล่าถึงเลย


จริง ๆ ประทับใจเรื่องราวของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เขาศึกษาปฏิบัติธรรมแล้วต่อมา มีปัญหาทางบ้าน ต้องออกไปช่วยเหลือ เลยออกไปทำงานหาเงิน ไปเป็นครูหรือไงนี่ล่ะ แล้วได้เจอกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ตอนนั้นเขาอายุ 30 กว่า ๆ ส่วนเด็กหนุ่มอายุ 19-20 แป่ว.... ต่อมาก็ชอบกัน แล้วก็เลยแต่งงานกัน มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน สุท้ายผู้ชายก็ไปมีผู้หญิงคนใหม่ เขาเล่าไป น้ำตาก็ไหลไป น่าสงสารจังเลยนะ

วันรุ่งขึ้นฉันก็เดินทางกลับกรุงเทพ




Create Date : 18 เมษายน 2550
Last Update : 18 เมษายน 2550 0:14:21 น. 2 comments
Counter : 756 Pageviews.

 
แวะมาอ่านเรื่องราวดีๆ ค่ะ


โดย: ธาร นาวา วันที่: 15 มีนาคม 2551 เวลา:0:37:19 น.  

 
ขอบคุณค่ะ พอดีพ่ออยากไปอยู่เลยมาอ่านหาความรู้ค่ะ


โดย: พิมพ์ IP: 113.53.209.229 วันที่: 23 สิงหาคม 2553 เวลา:13:23:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ริเศรษฐ์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ที่นี่คือบ้านแห่งมิตรภาพ
ตั้งอยู่ในหมู่บ้านกำหลาบความเหงา
ถนนน้ำใจ ตำบลยอมรับ ทั้งหนักทั้งเบา
อย่าลืมอำเภอเรา อำเภอจริงใจที่สุดตลอดกาล
อ้อ! จังหวัดเป็นกำลังใจให้ตลอด
หากเธอว่างแวะมาจอดอย่ารีบผ่าน
ระหัสไปรษณีย์ “รอเธอมาเป็นเพื่อนอยู่นะ”
รอพบพาน.....
ไงก็มาสาบานเป็นเพื่อนกัน
ข้อความทักทาย s
New Comments
Friends' blogs
[Add ริเศรษฐ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.