มีนาคม 2559

 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
11
12
13
15
16
18
19
20
22
23
25
26
27
29
30
 
 
จุติวิบัติ - บทที่ 9
จุติวิบัติ
บทที่ 9

เจ้าเอยหงุดหงิดงุ่นง่าน กึ่งๆ จะอาละวาดตลอดทางไปห้องทำงานของสบชัย หญิงสาวรู้ว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ประจำในออฟฟิศต่างกำลังแอบมองเธออยู่ แม้ทุกคนจะก้มหน้างุดเวลาที่เธอโมโหปึงปังแบบนี้ก็เถอะ แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่แอบชำเลืองดู
เนื่องจากสบชัยเคยเรียนการตกแต่งภายในมาก่อน เมื่อมาเปิดสำนักพิมพ์แนวสยองขวัญลึกลับตอบสนองต่อปมวัยเยาว์ของตนเอง เลยตกแต่งออฟฟิศเสียจนเจ้าเอยนึกว่าบ้านผีสิง ถึงไอ้เฮียจะบอกว่าเพื่อสร้าง อินสไปเร้ชั่น! แต่เจ้าเอยก็ยังมองว่ามันเพี้ยนอยู่ดี
“คนทำงานที่นี่ได้คงมีแต่สัปเหร่อ” เจ้าเอยค่อนแคะ “คนขวัญอ่อนจับไข้หัวโกร๋นลาออกกันหมด”
แต่บ่นไปก็เท่านั้น เพราะดูเหมือนสบชัยไม่แคร์ และมีแต่จะหาเครื่องรางของขลังมากองเพิ่ม ทั้งมีดสั้นฟูบา มีดการ์ติกะ ตุ๊กตาดารูมะ ยันต์โป๋ยก๊วย เหรียญอี้ชิงสามเหรียญร้อย สฟิงซ์จำลอง เครื่องประดับทำเป็นรูปดวงตาแห่งโฮรุส หินตัวอักษรรูน กุมารทอง ลูกแก้วพญานาค สาลิกาลิ้นทอง ปี่เซียะ ไพ่ยิปซี... อีกนับไม่ถ้วน ถึงขนาดเนตรกมล เพื่อนสนิท (เพียงคนเดียวของเจ้าเอย) และเป็นเมียอย่างถูกกฏหมายของไอ้เฮีย เคยมาโอดครวญ
“ฉันล่ะเครียด เฮียมันแอบไปประมูลค้อนทอร์จากเว็บนอก แกรู้ไหม เท่าไหร่... แสนนึง... จะบ้า มันกะจะเอามาสู้กับโลกิรึไงไม่รู้”
“เอาน่าๆ ใจเย็น ก็ดีกว่าไอ้เฮียมันเอาเงินไปลงอ่างนะ”
“ถ้าจะต้องเสียทองท่วมหัว ฉันยอมเสียผัวดีกว่า”
“ค่ะ” เจ้าเอยพยักหน้าเห็นด้วย
 เจ้าเอยกระแทกประตูห้องบอกอเปิดโครม... เฮียกับเนตรกมลซึ่งนั่งหลังโต๊ะทำงานบอกอตัวเขื่องสะดุ้งโหยง
“เอ๋ย ใจเย็น” เฮียว่า
เจ้าเอยกระแทกประตูปิดโครม... เฮียทำหน้าเหมือนคนอยากร้องไห้
“เอ๋ย เดี๋ยวประตูห้องเฮียพัง!”
เจ้าเอยยักไหล่ให้ แล้วลากเก้าอี้มานั่ง หน้าหงิก เนตรกมลยันศอกกับพนักวางแขนยันคาง เหล่ตามองเพื่อน แล้วพูด
“แกต้องหัดมองโลกในแง่ดีบ้างนะเอ๋ย คิดซะว่าอย่างน้อยผลงานของแกก็กลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ทำให้ผู้คนออกมาถกเถียงกัน ดีจะตาย”
“นี่มันไม่ใช่ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ แล้วโว้ย หัวเราะกันลั่นขนาดนั้น ลาฟ ออฟ เดอะ ทาวน์ มากกว่า”
คิดแล้วก็อ่อนเพลียละเหี่ยใจเหลือแสน หลังจากที่บทความตีพิมพ์ออกไป มันก็กลายเป็นกระแสในชั่วข้ามคืน แต่เป็นไปในทางที่ “ไม่มีใครให้ความเชื่อถือ” เสียมากกว่า มีการตัดต่อภาพล้อเลียน สร้างวลีล้อเลียน จนทำให้เธอหัวเสีย แง่ดีเดียวที่เธอพอจะมองเห็นในตอนนี้คือ ความฉลาดล้ำเลิศของตัวเองที่ยืนยัน นั่งยัน นอนยันกับไอ้เฮียตั้งแต่ตอนเริ่มงานว่า จะไม่ยอมใช้ชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองตีพิมพ์บทความนี้เด็ดขาด ต้องใช้ชื่อว่า “กองบรรณาธิการพิศวง” เท่านั้น! ทำให้เธอและวงศ์ตระกูลไม่กลายเป็นตัวตลกไปมากกว่านี้
และที่ทำให้เธอโมโหคูณสองคูณสามก็คือ หลังจากบทความนี้ออกไปเพียงไม่นาน กระทรวงสาธารณสุขก็ออกมาให้ข่าวว่า คดีชวนสะเทือนขวัญของครอบครัวเบลล์ กับ คนตายบนรถตู้ยกคัน มาจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่!!
เพียงไม่นาน ทฤษฎีสมคบคิดว่าด้วย การก่อการร้ายโดยใช้อาวุธเชื้อโรคก็แพร่กระจายไปทั่ว ดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือเสียยิ่งกว่าการมีตัวตนของมนุษย์ต่างดาวเสียอีก
ให้มันได้อย่างนี้สิน่า
“เขาหัวเราะเราก็ต้องทำใจ” เฮียว่า “เอ๋ยก็รู้อยู่แล้วนี่ ว่าเรื่องมนุษย์ต่างดาวเป็นสิ่งที่ อยู่นอกเหนือจินตนาการของคนแถบนี้ เราอาจจะเคยสงสัยว่า นอกโลกมีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่หรือไม่ แต่มีไม่กี่คนหรอก ที่จะหมกมุ่นพอ ที่จะลงมือค้นคว้าเอาจริงเอาจัง”
“นั่นก็ใช่หรอกเฮีย แต่หนูไม่เข้าใจ ทำไมทีเรื่องอาวุธเชื้อโรคถึงได้เชื่อกันเป็นตุเป็นตะ”
“ก็เพราะมันเป็นความกลัวที่ฝังใจคนน่ะสิ” สบชัยกล่าว “เชื้อโรคเป็นสิ่งอันตรายที่อยู่ใกล้ชิดกับคนเพราะถูกเชื่อมโยงเข้ากับการเจ็บไข้ได้ป่วยและความหวาดกลัว อย่างกรณีงานวิจัยของมาร์แชลกับวอเรนที่ค้นพบว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย, เรื่องคนที่ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ประสบอุบัติเหตุติดเชื้อ HIV เพราะมือมีแผลและสัมผัสกับเลือดของผู้เคราะห์ร้าย, ในอดีต ก็เคยมีข่าวว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายเอาเชื้อแอนแทรกซ์ใส่ซองจดหมายส่งให้ใครต่อใครไปทั่ว คนเปิดดูก็เจอผงสีขาวๆ แล้วก็ติดเชื้อ ตายภายในเวลาไม่นาน...
“ที่เฮียจะบอกก็คือ เอ๋ยอยู่ในแวดวงการเขียนเรื่องลึกลับสยองขวัญมานาน เอ๋ยก็น่าจะรู้ว่าอะไรก็ตามที่ช็อคความรู้สึกของคนได้ เรื่องนั้นจะมีพลังมากยิ่งกว่าข้อเท็จจริง”
เจ้าเอยลองใคร่ครวญตามคำพูดของสบชัย และคิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นก็มีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย... จริงๆ แล้ว แม้สบชัยจะดูเหมือนเป็นคนไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม หากในความคิดของเขาก็มีบางส่วนที่ลึกซึ้ง และทำให้เจ้าเอยพอจะยอมรับได้ จึงได้ยอมร่วมทำงานด้วย
“เข้าใจ แต่มันก็อดโมโหไม่ได้นี่ เฮียลองอ่านในกระทู้ดิ เห็นแล้วขึ้น”
“เอาน่าๆ” เนตรกมลว่า “อินเตอร์เน็ตไม่ใช่คนทั้งประเทศซะหน่อย”
เจ้าเอยเบิกตากว้าง... รู้สึกคุ้นเค้ย คุ้นเคยกับคำนี้จังเลย
“แล้วเฮียจะเอาไงต่อ” เจ้าเอยถาม
“เอ๋ยล่ะ” เฮียถามกลับ
มองหน้ากันแล้วต่างฝ่ายต่างก็ถอนหายใจ เจ้าเอยรู้สึกเหมือนกำลังจนมุม เพราะไม่มีหลักฐานอะไรจะเอาไปยืนยันได้ หากสถานการณ์ยังเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็คงต้องรอไปเรื่อยๆ จนกว่าความจริงจะปรากฏออกมาเอง...
ถ้าหากมันไม่ปรากฏออกมาล่ะ... ถ้าหากเป็นอย่างนั้นก็ดี เพราะสิ่งที่เจ้าเอยกลัว... กลัวมากที่สุดไม่ใช่การถูกด่าว่า ว่าเหลวไหลไร้สาระที่มาเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่เธอกลัวว่า คนอื่นๆ จะรู้เรื่องนี้ช้าเกินไปจนไม่ทันระวังตัว จึงต้องตกเป็นเหยื่อของพวกมัน!!
“ฉันจะถ่ายวิดีโอ เอามาเป็นหลักฐานยืนยัน”
“แกจะถ่ายใคร” เนตรกมลขมวดคิ้ว
“นั่นสิ” สบชัยเสริม “อาวินเองก็บอกชัดๆ ว่าเขาไม่ช่วย ไอ้เจ้าเหนือเมฆก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือ”
เหนือเมฆ... เหนือเมฆ... น่าเป็นห่วงจังเลย ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างน้อ...
“ดวงยิหวาไง” เจ้าเอยเอะอะ
สบชัยหน้าเสีย เขารู้เรื่องมนุษย์ต่างดาวที่แฝงในร่างของเด็กสาวจากเจ้าเอย แต่เนตรกมลไม่รู้ จึงมองหน้าสามีอย่างงงๆ พลางเอื้อมมือแตะแขน
“เสี่ยงไปไหมเอ๋ย” สบชัยถาม
“จำเป็น”
“เฮียว่า เราลองคิดดูอีกทีดีกว่านะ”
เจ้าเอยพยักหน้า ประทับใจในความห่วงใยที่สบชัยมีให้ อย่างน้อยรุ่นพี่ของเธอก็ไม่ได้ใจไม้ใส้ระกำ พอเห็นว่าเธอมีอันตราย เขาก็เป็นห่วงเป็นใยเธอเหมือนกัน เธอเองก็ไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงหรอก ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็นะ แต่มันมาถึงจุดนี้แล้ว จะให้ถอย ก็ไม่ใช่เจ้าเอยน่ะสิ
“หนูจะลองคุยกับอาวินดูอีกรอบ... ถ้าไม่สำเร็จ ก็ตามนั้น”
“เดี๋ยวเฮียจองวัดรอนะ” สบชัยพูดหน้าตาย
“ไอ้เฮีย!” เจ้าเอยเอ็ด หน็อย... อุตส่าห์ชื่นชมในใจอยู่แหม็บๆ ดีแตกซะงั้น
“แล้วเอ๋ยรู้เหรอ ว่าจะเรียกอาวินออกมาได้ยังไง”
เจ้าเอยขมวดคิ้ว จริงของไอ้เฮีย
ต้องทำยังไง อาวินถึงจะยอมออกมา

เวลาบ่ายโมงกว่า แต่ฟ้าครึ้ม บรรยากาศรอบด้านขมุกขมัวทำให้จิตใจไม่ปลอดโปร่ง เหนือเมฆอยู่ในห้องพักเล็กๆ ของตน รีบร้อนยัดเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวไม่กี่ชิ้นลงในกระเป๋าสัมภาระ โดยเฉพาะมาม่า... อันนี้ขาดไม่ได้ ตกทุกข์ได้ยากก็กินไอ้นี่...
ถึงจะบอกให้เชื่อใจก็เถอะ แต่ไม่ใช่ว่าพูดปุ๊บมันจะมีปั๊บ อีกอย่าง แม้เขาจะชื่นชอบงานเขียนของเจ้าเอย แต่ไม่ได้หมายความว่า เธอพูดอะไรออกมาเขาจะต้องคล้อยตามทั้งหมด... มนุษย์ต่างดาวงั้นหรือ?... เขาไม่คิดอย่างนั้น โดยส่วนตัวแล้วเขาค่อนข้างโอนเอนเชื่อว่านี่เป็นเรื่องผีหรือการแช่งสาปมากกว่า
จำได้ว่า สมัยเด็กๆ แถวบ้านของเขาก็เคยมีผู้ชายคนหนึ่งที่โดนคุณไสยมนต์ดำทำร้าย พอไปหาเกจิอาจารย์ก็อ้วกแผ่นหนังลงอักขระเลขยันต์ขนาดเท่าฝ่ามือออกมา พอพระอาจารย์เป่าพ้วง! มันก็พองขยายแล้วพุ่งออกไป หายลับตา... คนรุ่นเก่าอธิบายว่า มันคือการเสกหนังควายเข้าท้อง
กรณีของเขาก็อาจจะเป็นอะไรทำนองนั้น อย่างยมฑูตมาเอาไปผิดคนเลยเอามาส่งคืน หรืออาจจะมีวิญญาณร้ายตามติด เพื่อให้เขาคลี่คลายปมบางอย่างเพื่อส่งให้ไปสู่สุคติ
บางทีเขาควรไปหาพระหรือหมอผีเก่งๆ เพื่อปัดรังควาน!
แต่แล้วความคิดทั้งหมดของเขาก็ต้องสั่นคลอน...
หลายวันก่อน หลังปฏิเสธความปรารถนาดีของพวกเจ้าเอย แจนก็โทรฯมาตามเขาให้ไปหา เพราะตำรวจต้องการสอบปากคำ เขาเองก็ไม่กล้าบอกความจริงทั้งหมดกับตำรวจ เพราะเกี่ยวพันกับเจ้าเอย และที่สำคัญ เขาก็ไม่อาจหาอะไรมาอธิบายยืนยันได้ว่า “มีอะไรบางสิ่งอยู่ในตัวเขา” ไม่ว่าจะเป็นผีหรือมนุษย์ต่างดาว ก็ไม่ได้มีอะไรน่าเชื่อถือมากไปกว่ากัน จึงบอกไปเพียงแค่ว่า รู้สึกปวดหัวจึงกลับบ้านก่อน แล้วหมดสติ ตำรวจเองไม่ค่อยเชื่อในเรื่องหลักฐานที่อยู่ของเขา แต่เมื่อสอบถามกลับไปยังเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์อุบัติเหตุครั้งก่อน ก็ได้รับยืนยันว่า เขาถูกรถชนจริงๆ จึงเลิกสอบปากคำ
แต่คนที่มาซักไซ้เขาแทนกลับเป็นแจน
“แกโดนรถชนตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”
คนถามขมวดคิ้วจนหัวคิ้วแทบจะชนกัน เหนือเมฆหัวเราะแห้ง
“ก็ไม่ได้บอก จะรู้ได้ไง”
“แล้วทำไมไม่บอก”
“แค่นิดหน่อย”
“หาหมอรึยัง”
“บอกแล้วว่านิดหน่อย”
“เผื่อมันเป็นเยอะไง” แจนพูดเป็นจริงเป็นจัง “ถ้าเลือดตกในจะได้รู้”
เลือดตกใน... เทียบกันไม่ติดเลยล่ะกับที่โดนมา
“คนเราถ้ามันถึงที่ตาย มันก็ตายแหละน่า”
พูดออกไปแล้วก็อยากทุบหัวตัวเอง สีหน้าคนฟังบึ้งตึง คงไม่พอใจเอามากๆ
หากคิดดูแล้ว เขารู้จักกับแจนตอนเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง จนถึงตอนนี้ก็สามสี่ปีได้ แจนมักจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง เวลาที่เขาพูดหรือทำอะไรสักอย่างที่เข้าข่าย “ไม่เป็นห่วงตัวเอง” ในสายตาเธอ
“ถ้าไม่นึกถึงตัวเอง ก็น่าจะนึกถึงคนอื่นที่เขาเป็นห่วงบ้าง ว่าเขาจะเสียใจรึเปล่า ถ้านายเป็นอะไรไป”
แจนเคยพูดอย่างนี้ตอนที่เขาวิ่งรอกงานหลายแห่งจนเกือบน็อค
ท่าทีแบบนี้ของแจน เขารับเอาไว้ได้และรู้สึกขอบคุณ เพราะอย่างน้อย การที่มีใครรักและหวังดี มันก็ย่อมดีกว่าการที่มีคนเกลียดชังอยู่แล้ว ทว่า ความรู้สึกมากมายที่ทุ่มมายังเขา บ่อยครั้งมันก็ทำให้อึดอัด
แจนไม่ยอมพูดกับเขาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น
คำพูดของเจ้าเอยเริ่มส่อเค้าความจริงเมื่อตอนที่เขากลับจากให้ปากคำ... ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังถูกสะกดรอยตาม ไม่สิ... ต้องบอกว่ามั่นใจมากกว่า เพราะไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ก็จะมีโตโยต้าสีขาวที่กันชนด้านซ้ายบุบเล็กน้อยปรากฏตัวในทุกที่อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นที่อพาร์ตเม้นท์ ที่ทำงานพิเศษ ที่มหาวิทยาลัย หรือแม้แต่มินิมาร์ทที่เขาไปซื้อมาม่ากิน!
ไม่กี่วันต่อมา เจ้าเอยก็โทรฯ บอกเขาให้ดูข่าว
“...ภายในรถตู้พบผู้โดยสารและคนขับรวมทั้งสิ้นแปดคน สภาพศพแห้งเช่นเดียวกับกรณีครอบครัวของน้องเบลล์ก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุขออกมาแจ้งเตือนแล้วนะครับว่านี่อาจเป็นโรคระบาดสายพันธุ์ใหม่ ผู้ที่ติดเชื้อเริ่มต้นจะมีอาการไอเล็กน้อยและรู้สึกกระหายน้ำตลอดเวลา ปวดบริเวณต้นคอ ผิวหนังแห้ง ริมฝีปากแตก ตาแดง เงียบขรึม เก็บตัว น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว และเสียชีวิต ถ้าใครมีอาการแบบนี้หรือพบเห็นผู้ที่มีอาการดังกล่าว สามารถแจ้งมาตามหมายเลขที่ขึ้นด้านล่างนี้เลยนะครับ... ส่วนกระแสข่าวที่ว่า นี่เป็นอาวุธชีวภาพของกลุ่มผู้ก่อการร้าย...”
“คุณจะบอกว่านี่เป็นแผนรัฐบาลที่จะจับมนุษย์ต่างดาวเหรอครับ” เหนือเมฆถามเสียงแปร่ง
“ฉันรู้ว่านายไม่เชื่อเรื่องนี้” เจ้าเอยว่า “แต่ช่างมันเหอะ ฉันโดนกระหน่ำมาทั้งอาทิตย์ละเรื่องมนุษย์ต่างดาวอะไรนี่ แค่เพิ่มนายอีกคน ไม่ทำให้ฉันสะเทือนใจไปมากกว่านี้ได้หรอก.. ที่ฉันโทรฯ มาหานายเพราะเป็นห่วง”
เป็นห่วง... งั้นหรือ
น่าแปลก หัวใจที่ตั้งท่าคัดค้านจู่ๆ กลับอ่อนยวบลงด้วยคำพูดไม่กี่คำของเธอ อาจเพราะความหนักแน่นในน้ำเสียง รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกที่ส่งตรงมา
“เอาเป็นว่า นายตัดสินใจเอาเอง ถ้านายต้องการ... เราจะมาช่วยกันเปิดเผยความจริง”
บทสนทนาสั้นๆ ในวันนั้นเปรียบดั่งคำพยากรณ์ เพราะเมื่อช่วงเที่ยง ระหว่างพักทานอาหาร จู่ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ใส่ชุดขาวรองเท้าบูทกับหมวก ปกปิดมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้าแห่กันเข้ามาในร้านอาหาร เหนือเมฆมองดูคนกลุ่มหนึ่งถูกจับขึ้นรถไปต่อหน้าต่อตา ฉับพลันใครบางคนในกลุ่มคนชุดขาวก็เหลือบตามาเห็นเขา
ไม่ปลอดภัย... ไม่ปลอดภัย... ไม่ปลอดภัย...
สัญชาตญาณภายในสั่งให้หนี!
ก่อนที่ใครจะได้ตัดสินใจอะไร... เหนือเมฆอาศัยช่วงชุลมุน มุดหลบออกมาทางหลังร้าน แล้ววิ่งด่วนจี๋กลับห้องเก็บข้าวของสำคัญ ระหว่างทางก็โทรฯ หาเจ้าเอย แต่ไม่มีคนรับ
เสียงไซเรนแว่วมาแต่ไกล เหนือเมฆเหวี่ยงเป้ขึ้นสะพายหลังแล้วพุ่งไปยังประตู แต่จ๊ะเอ๋เข้ากับแจน สีหน้าเธอประหลาดใจ
“จะไปไหน” เธอถาม
“เอ่อ...” เหนือเมฆครุ่นคิด “ไปทำงาน... อือ... ทำงาน... ที่ต่างจังหวัด”
“งานอะไร” คนถามจ้องเหมือนกับจะอ่านความคิดเขาให้ได้
“ก็... งานน่ะแหละ... ไปนะ”
เหนือเมฆเบี่ยงตัวจะออกจากห้อง แต่แจนไม่หลบ กลับเดินรุกเข้าหาจนเขาต้องถอยกลับเข้ามาในห้องแทน
“มีอะไรไว้คุยกันวันหลังได้ปะ รีบ”
“แกมีอะไรปิดบังฉันรึเปล่าเหนือ” แจนถาม มีร่องรอยสั่นสะเทือนในน้ำเสียง
“อะไร”
“ก็อะไรล่ะ”
ผู้หญิงเข้าใจยากมาก... และจะมากเป็นพิเศษในช่วงเวลาที่กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตอยู่ เหนือเมฆมั่นใจสุดๆ ว่า เขาไม่มีทางหาคำตอบที่อีกฝ่ายจะพอใจได้เลย... เงียบเสียดีกว่า
แจนรอสักครู่ แต่พอเห็นเขาไม่ตอบโต้อะไรกลับ จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลงเอง
“แกทำงานกับพวกนั้นใช่ไหม”
“พวกไหน”
“ผู้ก่อการร้าย”
เหนือเมฆตะลึงในความคิดของเพื่อนสาว เขาอยากรู้จริงๆ ว่าในหัวของแจนมีอะไร ทำไมถึงมองว่าเขาเป็นคนเลวร้ายได้ขนาดนั้น
“ไปกันใหญ่แล้ว”
“แกพูดอย่างนี้แปลว่าจริง”
เออ... ดี... ตีความเอาเองด้วย
“เฮ้ย แจน... แกรู้จักฉันมาตั้งนาน ไม่รู้เลยเหรอว่านิสัยฉันเป็นยังไง อย่างฉันนี่จะทำเรื่องแบบนั้นได้เหรอวะ”
“ยิ่งฉันรู้จักแก ฉันยิ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแกเลย” หญิงสาวตอบ ดูเหมือนมีน้ำตาคลอเบ้าด้วย... น้ำตา นี่มันอาวุธพิฆาตชัดๆ!
“พอเหอะ ฉันว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว”
เสียงไซเรนกระชั้นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เหนือเมฆวิ่งไปดูที่หน้าต่างหลังห้อง รถของกลุ่มเจ้าหน้าที่ชุดขาวทยอยมาจอดที่ลานจอดรถ
“แจน ค่อยคุยเรื่องนี้...”
“แกมอบตัวเหอะ!” หญิงสาวขัดบท
มอบตัว... มอบตัวเรื่องอะไร
“สารภาพกับตำรวจซะ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”
“แจน ฟังนะ ฉันไม่...”
“คนทุกคนต่างเคยผิดพลาดนะเหนือ” แจนพูดปลอบ...(แต่ช่วยฟังกันจนจบประโยคก่อนได้ไหม!!!) “แต่นั่นไม่สำคัญหรอก ถ้าเรารู้จักที่จะสำนึกและปรับปรุงตัว... ยังไงซะ ฉันก็เป็นเพื่อนแก”
เหนือเมฆอ้าปากจะเถียง แต่แล้วก็ได้แต่ถอนใจเฮือกดังลั่น... ดังลั่นขนาดที่ว่าแจนแทบจะสะดุ้ง
“แล้วแต่จะคิด ฉันไปล่ะ”
แจนขบฟันแน่นจนเห็นรอยชัดบนแก้ม เธอออกจากห้อง
...ปิดประตู!
“เฮ้ย!” เหนือเมฆร้อง วิ่งไปกระแทกประตูโครม พอลองเขย่าดูจึงรู้ว่าถูกล็อกจากด้านนอก “แกทำบ้าอะไรวะ เปิดดิ๊!”
“ฉันขอโทษ” ฝ่ายนั้นพูดเสียงเครือปนด้วยความทุกข์ใจหนักหนา “อยากจะเกลียดฉันก็ได้ แต่ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้แกทำผิด... เด็ดขาด”


........โปรดติดตามตอนต่อไป  
คุยกันท้ายบท
สวัสดีครับ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน
ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว และน้ำก็แล้ง
แถวบ้านผมน้ำประปาเริ่มไม่ไหลละ
ผู้ใหญบ้านบอกว่า ตาน้ำบนดอยแห้ง
OMG!! ได้เวลาเข้าสู่มาตรการประหยัดน้ำกันแล้วล่ะครับ
สำหรับจุติวิบัติในตอนนี้ ผมเองก็เขียนไปโมโหไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า
หงุดหงิดกับยัยแจน จะอะไรกันนักกันหนาฟระ!
แต่ก็นั่นล่ะครับ ช่วยแก้ต่างให้
ว่าหนูแจนก็แค่เป็นห่วงเหนือเมฆเท่านั้นนะจ๊ะๆ
ตอนที่เขียนแจนขึ้นมา
ผมเองตั้งใจเอาไว้แล้วว่า จะให้มีบุคลิกแบบนางเอกสุดๆ
แบบ ต้องทำสิ่งที่ (ตัวเองคิดว่า) ถูกต้อง เชื่อมั่นในความรัก
เห็นไหมๆ ลึกๆ แล้ว หนูแจนก็เป็นคนดีนะเออ
แต่ผิดที่ผิดเวลาไปหน่อย น่าสงสารจัง
ยังไงก็ พบกันใหม่กับตอนที่ 10 นะครับ
การกลับมาอีกครั้งของดวงยิหวา
บ๊าย บาย ครับ ^O^



Create Date : 07 มีนาคม 2559
Last Update : 12 มีนาคม 2559 17:37:14 น.
Counter : 573 Pageviews.

1 comments
  
ดีจ้า มาทักทายนะจ้ะ sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ
โดย: สมาชิกหมายเลข 4061181 วันที่: 25 สิงหาคม 2560 เวลา:16:17:59 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2273544
Location :
เชียงราย  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



เชิญติดตามผลงานของบล็อกได้ครับ

.........................



แคนโต้:เรื่องราวในช่องว่าง
แจกฟรี
โดย...กลิ้งโคลงแก้มขาว

ช่องว่าง คือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในทุกที่หน
บางครั้งช่องว่างก็นำพา
เอาความหมองหม่นมาให้
แต่บางคราวช่องว่างก็กลายเป็นสิ่งสำคัญ
ที่ช่วยผลักดันให้หัวใจเติบโต

.........................

***หมายเหตุตัวโตโต***

ขอความกรุณาอย่าลอกหรือนำผลงานใดๆ
ในบล็อกนี้ไปดัดแปลงเลยนะครับ
สงสารนักเขียนตาดำๆ นะค้าบบบ

^o^
กลิ้งโคลงแก้มขาว