กุมภาพันธ์ 2559

 
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
 
 
23 กุมภาพันธ์ 2559
จุติวิบัติ - บทที่ 7
จุติวิบัติ
บทที่ 7

เจ้าเอยนั่งในรถ เดินทางกลับบ้าน รู้สึกปวดร้าวไปทั่วร่างกล้ามเนื้อระบม และข้อต่อเหมือนจะหลุดออกจากกันให้ได้ตรงหัวไหล่ของแขนข้างที่ถูกลากถูลู่ถูกังเมื่อคืนช้ำถึงขนาดที่ว่าหากนั่งอยู่นิ่งๆ เงียบๆ คอยเงี่ยหูฟัง จะได้ยินเสียงกล้ามเนื้อเต้นตุบๆเลยทีเดียว ทั้งเท้าก็มีรอยแผลถลอก ขา เข่า จนถึงบั้นเอว

นี่ถ้าได้แก้ผ้าอาบน้ำเมื่อไหร่ คงถึงมหกรรมนับรอยช้ำบนตัวล่ะ

แต่อย่างน้อยเธอก็รอดตายมาได้

...แม้ไม่รู้จะรอดไปได้สักกี่น้ำก็เหอะ

ถ้าจะเอาความจริงมาพูด เธอเองก็ไม่ใช่คนตรงไปตรงมานัก (แหงล่ะ...ไม่ได้เป็นผู้พิพากษานี่นา) แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ใช่คนกะล่อนระดับโปรเฟสชั่นนอลที่จะได้ไหลลื่นไปได้อย่างสวยงามในทุกสถานการณ์

ตอนนี้ ที่ยังไม่ได้เจอสถานการณ์จริงเธออาจจะยังวางท่านิ่งเย็นได้อยู่หรอก แต่ก็ไม่รู้เลยว่าหากไปอยู่ต่อหน้าตำรวจแล้ว เธอจะเผยพิรุธอะไรออกมารึเปล่า

สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ และถนัดมากที่สุดก็คือ ซ้อมในจินตนาการก่อน!

เจ้าเอยพยายามคาดเดาเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งหมดทั้งในระดับที่ไม่รุนแรง จนถึงรุนแรงมากที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไหนก็รู้สึกว่าจบไม่สวยเลยสักท่า

"คุณหนูหน้าซีดนะครับ" จ๊อดว่า

"ถ้านายจะบอกว่า คุณหนูหน้าขาวผ่องเป็นยองใยล่ะก็ เชื่อเหอะว่าฉันต้องประทับใจมากแน่ๆ"

"ผมอยากพูดความจริงมากกว่า"

"สถานการณ์แบบนี้ ใครเขาพูดความจริงกันมั่งยะ!!"

เจ้าเอยสังเกตเห็นคนชอบยั่วโมโหแอบอมยิ้มนิดๆ

แม้จะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่การที่อยู่ร่วมกันมานานเจ้าเอยย่อมเข้าใจดีว่า จ๊อดเจตนาจะดึงเธอออกมาจากความเครียดและความคิดหมกมุ่นเหล่านั้นบ้าง

ซึ่งคงจะดีกว่าแน่ๆ เพราะถึงเครียดไป ก็ไม่มีประโยชน์

หญิงสาวเอนหลัง ระบายลมหายใจยาว ตั้งใจขับไล่ความวิตกกังวลเหล่านั้นให้พ้น

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะ!




ห้องรับแขกค่อนข้างโอ่อ่าถูกตกแต่งด้วยสีครีมเป็นหลัก มีเฟอร์นิเจอร์และของประดับสีทองวางไว้ในมุมต่างๆเพื่อเพิ่มความหรูหรา ชุดรับแขกเป็นชุดไม้สัก โต๊ะกลางถูกสลักเสลางดงามมีกระจกใสวางด้านบน ส่วนตัวโซฟาและเก้าอี้นั่ง บุด้วยหนังแท้สีน้ำตาล ผ้าม่านผืนหนาหนักเปิดกว้างรับแสงแดดยามเช้าที่ทะลุผ่านหน้าต่างกระจกบานสูงซึ่งปิดสนิทกลิ่นดอกไม้ในแจกันที่ตั้งไว้ตามจุดต่างๆ ฟุ้งอวลกับกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศความเย็นของแอร์คอนดิชั่นเนอร์กระจายทั่วห้อง แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าเอยก็ยังรู้สึกอบอ้าวโดยเฉพาะมือและเท้าที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้ดิ้นขยุกขยิกอย่างลุกรี้ลุกรน

หญิงสาววางแก้วน้ำลงบนจานรอง แล้วนั่งตัวตรง จัดท่วงท่าดูสง่าผ่าเผยเสียงน้ำแข็งละลายดังกริ๊ก เพิ่มความหนักหน่วงให้กับบรรยากาศเคร่งเครียดซึ่งแผ่ขยายพองโตจนอัดแน่นห้อง

มีตำรวจสองคนมาสอบปากคำเธอ คนหนึ่งอายุน้อย ท่าทางทะมัดทะแมงมีสมุดกับปากกาคอยจดอะไรบางอย่างที่เจ้าเอยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจดอะไร กับนายตำรวจอีกคนอายุไล่เลี่ยกับเธอตำแหน่งสารวัตร รูปร่างหน้าตาได้มาตรฐาน แต่มีพุงนิดๆที่พอจะเห็นได้ผ่านชุดเครื่องแบบที่รัดแน่น

"คุณจะบอกว่า คุณออกมาจากโรงแรมก่อน" คนยศสูงกว่าถาม

"ค่ะ" เจ้าเอยตอบ สบตาแน่วแน่

แปลกใจเหมือนกันที่คนเรามักจะให้ความสำคัญกับดวงตาเป็นพิเศษ เช่นว่าหากจะดูว่าใครพูดความจริงหรือโกหก ก็ดูว่าเวลาพูดนั้นหลบตาไหมหรือหากสนทนากับใครแล้วไม่สบตา ก็บ่งบอกว่าเป็นคนไม่มั่นใจ

หรืออาจเป็นเพราะมนุษย์เรามีสัญชาตญาณคล้ายสัตว์ป่าในตัวก็ไม่รู้แน่ เพราะสำหรับสัตว์ป่านั้นดวงตาคือสิ่งที่บ่งบอกถึงอำนาจภายใน

ดวงตาที่มีอำนาจย่อมทำให้ "เหยื่อ" รู้สึกครั่นคร้ามได้!!

ฉะนั้น มันคงเป็นการฉลาดกว่า หากเธอจะจ้องตาของคู่สนทนาในเวลานี้!

"แต่พนักงานโรงแรมบอกว่า คนขับรถของคุณเอารถออกหลังจากเกิดเหตุเพียงครู่เดียว"

เจ้าเอยพยักหน้า

"ไม่ทราบค่ะ" หญิงสาวพยายามควบคุมในจังหวะที่ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไปทั้งที่ใจเต้นโครมๆ "อย่างที่บอก ว่าฉันเกิดไอเดียเขียนหนังสือเลยเดินออกจากโรงแรมคนเดียว”

“คนเดียว... ตอนกลางคืน...” สารวัตรเลิกคิ้วสงสัย

“แถวนั้นคนเยอะนะถึงจะเป็นตอนกลางคืนก็เถอะ” เจ้าเอยว่า ขมวดคิ้วน้อยๆ โดยไม่รู้ตัวราวกับกำลังตำหนิคู่สนทนาที่ไม่รู้จักหาข้อมูลมาให้ตรงกับคำโกหกของเธอ“อีกอย่างบรรยากาศตอนกลางคืนก็เหมาะที่จะจินตนาการเรื่องผีๆ”

“เหรอครับ”

“ค่ะ”เจ้าเอยยืนยัน “พอใจแล้วฉันก็เรียกคนขับรถไปรับ เพราะงั้น... เรื่องเวลาฉันไม่แน่ใจ"

คนซักไซ้นั่งหมิ่นๆ บนเก้าอี้ ศอกทั้งสองวางบนเข่าหลังของเขาจึงค้อมลง แต่ท่าทางดูเอาจริง

"ไม่เดินไกลไปหน่อยเหรอครับ"

"ฉันจะคิดอะไรๆ ได้เยอะเวลาเดิน... สารวัตรจะลองบ้างก็ได้นะคะ"

"ไม่ดีกว่าครับ" นายตำรวจถอนใจ ยืดตัวขึ้นสายตาบ่งบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูดสักนิด "ผมหวังว่าไอเดียที่คุณเจ้าเอยคิดออกจะเป็นไอเดียที่ดีนะครับ ถึงยอมลงทุนเดินจนเท้าเป็นแบบนั้น"

เจ้าเอยขยับเท้าเล็กน้อยเมื่อถูกพาดพิงถึงแอบคิดในใจว่าบางทีเขาอาจจะเห็นแผลหรือรอยถลอก แต่พอคิดๆ ดูแล้วเธอก็สวมรองเท้าสำหรับเดินในบ้าน โอกาสจะมองเห็นเท้าเปลือยของเธอนั้นน้อยมากถ้าเห็นได้ล่ะก็... ตาเหยี่ยวแล้วล่ะ

หญิงสาวแสร้งยิ้มนิดๆ พูดกึ่งเล่นกึ่งจริง

"พูดกับผู้หญิงแบบนี้ไม่สุภาพนะคะ"

"ขอโทษครับ"

เจ้าเอยรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนาก่อนที่จะเข้าตัวมากกว่านี้

"แล้วตำรวจรู้สาเหตุรึยังคะ"

ตำรวจทั้งสองมองหน้ากันครู่หนึ่ง เมื่อเห็นคนยศสูงกว่าไม่ห้ามอะไร ตำรวจอีกนายจึงลดสมุดบันทึกวางปากกาลง แล้วว่า

"ยังสรุปไม่ได้หรอกครับ แต่สันนิษฐานว่าเป็นการก่อการร้าย"

"ทำไมถึงคิดว่าก่อการร้ายล่ะ" เจ้าเอยถาม ยกแก้วขึ้นจิบ ขณะเดียวกันก็รอฟังด้วยความระแวงระวังสุดขีด

...ถ้าเป็นหมาล่ะก็ หูเธอตั้งแน่ๆ

"อันที่จริง ก็ยังไม่ได้ตัดประเด็นอื่นหรอกครับ แต่สำหรับตอนนี้นอกจากก่อการร้ายแล้วยังไม่มีแรงจูงใจอื่นที่มากพอที่ใครสักคนจะทำเรื่องแบบนั้นน่ะสิครับ"

"...งั้นสินะ" เจ้าเอยงึมงำกับตัวเอง เผลอยักไหล่เบาๆ...เบาจนแทบจะไม่มีใครสังเกตเห็น แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของอีตาสารวัตรได้

"คุณเจ้าเอยนึกประเด็นอื่นออกเหรอครับ"

เจ้าเอยส่ายหน้า

"ไม่รู้สิคะ... ต้นเหตุอาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวก็ได้ใครจะไปรู้"

“มนุษย์ต่างดาว” สารวัตรทวนคำ

ตำรวจทั้งสองหัวเราะเบาๆท่าทางขรึมเคร่งเมื่อครู่เหมือนจะผ่อนคลายลงเล็กน้อยแต่กลับเป็นเจ้าเอยที่รู้สึกหงุดหงิด...ที่จริงเธอควรจะดีใจที่เจ้าหน้าที่คิดเห็นว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องไร้สาระเพราะจะได้ไม่มาสาวเรื่องเอาจากเธอ

ทว่าเมื่อมานึกว่า พวกเขากำลังหัวเราะเยาะในสิ่งที่เธอประสบมากับตนเองสดๆร้อนๆ แล้ว มันก็อดไม่ได้ที่จะเคืองใจพวกที่ไม่รู้อะไรสักนิด!

"มีอะไรตลกเหรอคะ"

"ก็..." สารวัตรกลั้นหัวเราะไว้เพื่อรักษามารยาทหากเจ้าเอยยังเห็นแววตาของเขาที่มองมาทำนองว่า คนที่คิดเรื่องนี้ได้มีแต่คนเพ้อเจ้อเท่านั้น... "ผมไม่เคยได้ยินว่ามนุษย์ต่างดาวบุกเมืองไทย"

"แล้วผม” นายตำรวจอีกคนเสริม“ก็ไม่คิดว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงด้วยครับ"

หากเป็นปกติ เจ้าเอยคงกลอกตาเหนื่อยหน่ายแล้วถอนใจเฮือกๆ ใส่แต่ตอนนี้ ต่อให้เซ็งจิตขนาดไหน หญิงสาวก็ทำได้แต่ตีหน้านิ่ง ยิ้มนิดๆ

เจ้าเอยชักสงสัยว่า ถ้าคนพวกนี้รู้ความจริง ว่าตอนนี้มีมนุษย์ต่างดาวตัวเป็นๆแฝงตัวปะปนกับผู้คนอยู่ในประเทศไทย พวกเขาจะทำหน้ายังไงกัน

คิดแล้วก็อยากบอกความจริงนัก

...แล้วก็ต้องพูดคำว่า “แต่” อีกนั่นแหละ

แต่เธอแค่พูดถึงมนุษย์ต่างดาว ก็ถูกมองว่าเป็นเรื่องขำขันเสียแล้วมันคงไม่ง่ายนัก หากเธอจะนำเสนอข้อเท็จจริงโดยที่อาคันตุกะต่างพิภพไม่ยินยอมให้ความร่วมมือ

ขนาดของบางอย่างมีหลักฐานทนโท่ ยังต้องพิสูจน์แล้วพิสูจน์เล่ากว่าจะมีใครสักคนเชื่อ

นี่ หลักฐานอะไรก็ไม่มี... ดีแท้!

"คงงั้นมั้งคะ" เจ้าเอยว่า

"ยังไงก็ขอบคุณสำหรับความร่วมมือนะครับ” สารวัตรว่า “ถ้ามีข้อสงสัยอีกพวกเราอาจจะต้องรบกวนคุณเจ้าเอย"

"ไม่เป็นไรค่ะ"

กล่าวลากันพอเป็นพิธีเสร็จ ตำรวจทั้งสองนายก็ออกไปจากห้อง

เจ้าเอยเดินอ้อมไปตรงหน้าต่าง แฝงตัวอยู่ในเงาม่าน รอดูรถตำรวจที่กำลังแล่นออกไปนอกอาณาเขตบ้านของเธอจนเมื่อลับสายตาแล้ว เจ้าเอยก็เดินโซเซกลับมาที่โซฟา ระบายลมหายใจหนักๆ ทิ้ง รู้สึกว่าพลังเฮือกสุดท้ายหมดเกลี้ยงแล้วและตอนนี้เธอต้องการพักอย่างเต็มที่

นั่งตัวอ่อนปวกเปียกได้เพียงครู่เดียว แล้วก็ต้องสปริงตัวเด้ง

บางสิ่งแว่บเข้ามาในหัว

...คำพูดของตำรวจ

"จ๊อด!" เจ้าเอยร้องลั่น เปิดประตูพรวด"จ๊อด!!"

คนถูกเรียกวิ่งมาโดยไว

"มีอะไรครับคุณหนู"

"ของที่นายให้คนไปเอามาอยู่ไหน"

"ของอะไรครับ" คนถูกถามงง จับต้นชนปลายไม่ถูก

"ก็ของของฉัน" เจ้าเอยขึ้นเสียงแล้วพอนึกได้ก็รีบหรี่เสียงเบาแทบกระซิบ "ที่ทำหล่นไว้เมื่อคืนไง"

คนตัวสูงร้องอ๋อ พาเจ้าเอยเข้าไปในห้องทำงานข้าวของทั้งหมดของเธอถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบและสะอาด ทั้งกระเป๋าถือกระเป๋าเงิน โทรศัพท์ เครื่องสำอางค์ รองเท้า...

ใช่! รองเท้านั่นเอง

...มันหายไปข้างหนึ่ง!

มิน่า สารวัตรถึงได้พูดถึงเธอเป็นนัยๆ เกี่ยวกับเท้า... ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าตำรวจเจอรองเท้าของเธอในที่เกิดเหตุ และพวกเขากำลังสงสัย... เวรละ!

เจ้าเอยยืนนิ่ง รู้สึกเหมือนประตูแห่งปัญหาอ้ากว้างจนสุดบานของมันเธอหันมองจ๊อด เสียงแหบพร่า

"งานนี้ซินเดอเรลล่าตายหยั่งเขียดแน่ๆ เลยว่ะ"




“อาเต้ทำไมซินเดอเรลล่าถึงทำรองเท้าหล่น”

เตชุเงยหน้าจากหนังสือนิทานมองเด็กชายวัยแปดขวบที่นั่งอยู่ข้างๆกับเด็กหญิงวัยเท่ากันที่นั่งตรงหน้าทั้งสามนั่งล้อมโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กในห้องนั่งเล่น

หากพอจะหาเวลาได้เตชุมักจะมาขลุกอยู่บ้านพร้อมพล

เพื่อน... สหาย... ที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ในสนามรบมายาวนาน จนเมื่อสองปีก่อน

เตชุยังจำเหตุการณ์นั้นได้อย่างแจ่มชัด ในเช้าวันที่เงียบที่สุดตอนที่เดินลาดตระเวนกับพร้อมพล หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านดูเศร้าสร้อยและอ้างว้างแม้แต่สายลมก็เกียจคร้านที่จะพัด ผู้คนอยู่ในเขตบ้านเรือนของตนเอง ทำกิจวัตรกันอย่างเงียบเชียบร้านขายของชำเพียงแห่งเดียวในหมู่บ้านที่เปิดเป็นร้านขายอาหารตามสั่งอย่างง่ายๆไปในตัวก็ยังไม่มีลูกค้า ยายซิ้มเจ้าของนั่งหน้าร้านไล่แมลงวันส่วนตาแป๊ะก็นอนเอกเขนกหน้าโทรทัศน์ดูข่าวไป จิบชาไปหมาพันธุ์พื้นเมืองนอนซุกหน้าใต้อุ้งตีนของมัน และถัดไปอีกหน่อยหนึ่งก็เป็นตลาดเล็กๆ ที่ยังไม่มีพ่อค้าแม่ขายมาตั้ง

พร้อมพลเองคงรู้สึกสังหรณ์บางอย่าง จึงบอกเขาว่า ให้เดินเลี่ยงอ้อมไปอีกทางหนึ่ง แต่เตชุเห็นว่าสายมากแล้วและทางข้างหน้าก็เป็นทางตรงที่จะกลับฐาน จึงดึงดันที่จะไปทางนั้น

แต่พอเดินผ่านหน้าตลาด จู่ๆ พร้อมพลก็พุ่งตัวเข้าผลักเขาออก พลันนั้นเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ความร้อนวาบผ่านไปทั่วร่างกาย ทะลุเนื้อผ้าที่สวมใส่แสงสว่างจ้าจนแสบตา แรงระเบิดอัดร่างเขา ส่งไปนอนเหยียดยาวอยู่ไกลเจ็บแปลบที่แผ่นหลัง เหมือนจะมีสะเก็ดระเบิดฝังใน หูดับจนไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้นนอกจากเสียงวิ๊งๆ และได้กลิ่นเขม่าควันดินปืน

เตชุยันกายขึ้นอย่างรวดเร็ว ย่อตัวตามสัญชาตญาณกวาดปากกระบอกปืนระแวดระวังว่าผู้ร้ายจะลงมือซ้ำพลันนั้นเองที่เขาเห็นร่างเพื่อนนอนนิ่งใต้ต้นไม้

ขาข้างหนึ่งหลุดไปอยู่ตรงพงไม้ข้างๆ

เลือดสีแดงฉานอาบชุ่มหญ้า!

หลังจากเกิดเรื่องราวเลวร้ายนั้นเตชุทั้งเสียใจและโกรธแค้น... ไม่ได้แค้นพวกที่ทำร้ายเขาเท่านั้นหากแต่เตชุยังแค้นใจตัวเอง ที่เป็นคนทำให้พร้อมพลต้องตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีวันกลับเป็นเหมือนเดิม

เป็นเพื่อนเสียอีก ที่บอกเขาว่าเขาทำถูกแล้วที่เดินไปทางนั้น

“คนอื่นจะได้ไม่โดนระเบิด”

แม้พร้อมพลจะมองโลกในแง่ดีหากเตชุก็รู้ดีว่า แท้จริงแล้วหัวใจของเขาคงเจ็บช้ำอย่างมากที่สุดเพราะหลังจากที่เขาพิการ ภรรยาซึ่งอยู่กินกันจนมีลูกแฝดด้วยกันสองคน ก็ออกจากบ้านให้เขาดูแลลูกเพียงลำพัง

เตชุจึงถือว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วย...

ไม่ใช่ช่วยเพื่อน แต่เป็นการช่วยตัวเขาเองต่างหาก

แม้ว่าการกระทำเหล่านี้จะไม่สามารถลบล้างบาปของเขาได้ก็ตาม

“แม็กซ์โง่”เด็กหญิงฝาแฝดของเด็กชายว่า ในมือกำตุ๊กตาเจ้าหญิงผมยาวสลวย“ซินเดอเรลล่าก็ทำรองเท้าหล่นไว้ให้เจ้าชายเก็บสิ”

“แม็กไม่โง่ มิ้ลค์สิโง่”เด็กชายว่ากลับ

“พอเลย ทั้งสองคน” เตชุปราม“อาสอนว่าไงครับ ห้ามพูดคำหยาบใช่ไหม”

“ครับ” แม็กซ์หน้าม่อย

“แต่น้องปิ่นเขาก็พูดบ่อยๆ”มิ้ลค์ว่า น้องปิ่นคือเด็กข้างบ้านที่เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่

เตชุมองหน้าหลานสาว เด็กหญิงค่อนข้างมอมแมมและแก่นชอบเล่นซน และตัวโตสมวัย ผิดกับเด็กชายที่ชอบอยู่นิ่งๆ วาดรูป ดูการ์ตูนไปตามประสาและตัวค่อนข้างเล็กกว่า

“แล้วถ้าน้องปิ่นพูดกับมิ้ลค์แบบนั้นมิ้ลค์ชอบไหมครับ”

“ไม่ชอบค่ะ”

“นั่นสิครับ มิ้ลค์ยังไม่ชอบเลยคนอื่นก็คงไม่ชอบเหมือนกัน ถ้ามิ้ลค์พูดกับเขาแบบนั้น ใช่ไหมครับ”

“ค่ะ”

“อาเต้” เจ้าตัวเล็กเขย่าแขน“ทำไมซินเดอเรลล่าทำรองเท้าหล่น... อาเต้บอกว่าซินเดอเรลล่าใส่รองเท้าได้พอดี...ใส่ได้พอดีแล้วทำไมหล่น”

“เออ จริง” เตชุพูดเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับหลาน

ทำไมซินเดอเรลล่าถึงทำรองเท้าหล่น...กลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาไปเสียแล้ว

“อาเต้” แม็กซ์เซ้าซี้

“อืม...” เตชุเกาคาง จะตอบยังไงดีถ้าบอกว่าไม่รู้ก็คงจะหมดความน่าเชื่อถือในสายตาเด็ก แต่เขาถ้าหาคำตอบดีๆมาตอบไม่ได้ ก็คงโดนถามอีกไม่รู้จบ... ใช้วิธีนี้ดีกว่า “แล้วแม็กซ์คิดว่าทำไมล่ะ”

แม็กซ์มองหน้าเขาแล้วหันกลับไประบายสีในสมุดวาดภาพต่อพลางพูด

“ถอดรองเท้า จะได้วิ่งเร็ว...ม่ายง้านกลับบ้านไม่ทัน”

“ใช่ๆ” มิ้ลค์เสริม“เวลาไม่ใส่รองเท้ามิ้ลค์วิ่งเร๊ว เร็ว”

“ใช่” เตชุว่า... รอดตายแล้วเรา“ซินเดอเรลล่าต้องถอดรองเท้า ไม่งั้นจะวิ่งกลับบ้านไม่ทัน... แต่มิ้ลค์ต้องใส่รองเท้าวิ่งนะครับ”

“ไม่ใส่”

“ใส่” เตชุจับหัวเด็กหญิงเขย่ามิ้ลค์หัวเราะลั่นชอบอกชอบใจ ในขณะที่แม็กซ์ยังฝนสีลงบนแผ่นกระดาษอย่างมีสมาธิเด็กหญิงขยับหัวหลบมือของเขาไปมา แล้วก็ร้องกรี๊ดๆ อย่างสนุกสนานก่อนจะวิ่งไปหลบหลังผู้เป็นพ่อ ที่เพิ่งเข้ามาในห้อง

“อาเต้แกล้ง” เจ้าตัวแสบฟ้อง

“หึหึหึ” เตชุแกล้งหัวเราะใส่เด็กหญิงร้องกรี๊ดอีกรอบ

“ตกลงมาดูเด็กหรือมาเป็นเด็ก”พร้อมพลถาม

“ทูอินวัน” เตชุชูสองนิ้ว“ว่างรึยัง”

คนถูกถามพยักหน้าหลังจากออกราชการ เขาก็มาเปิดร้านซ่อมคอมพิวเตอร์หารายได้

พร้อมพลพาลูกสาวกลับมานั่งที่แม้เขาจะใส่ขาเทียมทำให้ดำเนินชีวิตได้ง่ายขึ้นแต่ก็ไม่ดีเหมือนตอนที่ร่างกายสมบูรณ์พร้อม

เตชุปวดใจอยู่ลึกๆ

“ไปคุยที่ห้องทำงาน” พร้อมพลบอก

“โอเค.”

เตชุกำลังจะลุก แต่เจ้าตัวเล็กจับแขนเขาไว้อีก

“อาเต้”

“ว่าไงครับ”

“ซินเดอเรลล่า” แม็กซ์ยื่นกระดาษวาดรูปให้เขาบนนั้นมีภาพผู้หญิงใส่ชุดสีฟ้า แล้วข้างๆ ก็มีกลุ่มก้อนขยุกขยุยสีดำที่เขาเดาไม่ออกว่ามันคืออะไร

“นี่ล่ะครับ” เตชุถาม

“มนุษย์ต่างดาวครับ”

“หือ...” เตชุครางในคอ “แล้วเจ้าชายล่ะ”

“เจ้าชายทะเลาะกับซินเดอเรลล่า”

“อ้าว”

เตชุร้อง ก่อนจะหัวเราะเบาๆแล้ววางกระดาษคืนให้เจ้าตัวเล็กแล้วเขย่าหัวเขานิดๆ แล้วลุกพร้อมหยิบถุงกระดาษขึ้นมาหิ้ว

จังหวะนั้นเองที่รอยยิ้มของเขาหายไปซินเดอเรลล่ากับมนุษย์ต่างดาวงั้นเหรอ

ซินเดอเรลล่ากับมนุษย์ต่างดาว...

ชายหนุ่มมองดูหลานชายที่กำลังวาดรูปอย่างจดจ่อด้วยความประหลาดใจอย่างถึงที่สุดเผลอกำถุงกระดาษแน่นโดยไม่รู้ตัว...ถุงกระดาษที่ใส่รองเท้าส้นสูงเพียงข้างเดียวที่ใครบางคนทำหล่นไว้เมื่อคืน

...มนุษย์ต่างดาวกับหญิงสาว

...ชื่อ เจ้าเอย!




.............โปรดติดตามตอนต่อไป



คุยกันท้ายบท

ก่อนอื่นต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านที่อัพจุติวิบัตล่าช้า
ไปหนึ่งวันเต็มๆ T_T เนื่องจากติดภารกิจด่วน
แต่ก็ตั้งใจไว้ว่า ยังไงซะวันนี้จะต้องเอามาอัพลงให้
เพราะคิดถึ๊ง คิดถึงท่านผู้อ่านทุกท่านนะค้าบบบ

พูดถึงนิยายเรื่องนี้สักหน่อยเพราะว่าผ่านมาก็ตั้งเจ็ดบทแล้ว
(ถึงแม้ผู้เขียนจะรู้สึกว่าเดินเรื่องช้าเป็นเต่าก็ตาม ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
นี่นับเป็นนิยายเรื่องแรกของผมเลยนะครับ
ที่มีตัวละครเยอะแยะขนาดนี้ รู้แล้วอย่าบอกใครนะครับ
ปกติผมเป็นคนไม่ถนัดเขียนตัวละครเยอะๆในเรื่องเดียว
เพราะจะเขียนไปงงไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ที่จริงตอนคิดเรื่องนี้ก็ตั้งสเกลของเรื่องไว้แคบๆ
กะว่ามีตัวละครหลักสักหกเจ็ดคนพอ
แต่เขียนไปเขียนมาก็เริ่มรู้สึกว่าเอ๊ะ ไม่พอ
เพราะแต่ละคนต่างก็ต้องมีชีวิตญาติพี่น้อง เพื่อน
มันก็เลยมีแต่จะเพิ่มเข้าเรื่อยๆ

แต่...มีเพิ่มก็ต้องมีลดใช่ไหมครับฮ่า ฮ่า ฮ่า

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณท่านผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาโดยตลอดนะครับ
แล้วพบกันใหม่ จ.หน้านะครับ กับตอนที่8
จุดพลิกผันของเจ้าเอย...บ๊ายบายค้าบบบ






Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2559 11:35:06 น.
Counter : 596 Pageviews.

1 comments
  
ดีจ้า มาทักทายนะจ้ะ sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ
โดย: สมาชิกหมายเลข 4061181 วันที่: 25 สิงหาคม 2560 เวลา:16:31:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 2273544
Location :
เชียงราย  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



เชิญติดตามผลงานของบล็อกได้ครับ

.........................



แคนโต้:เรื่องราวในช่องว่าง
แจกฟรี
โดย...กลิ้งโคลงแก้มขาว

ช่องว่าง คือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในทุกที่หน
บางครั้งช่องว่างก็นำพา
เอาความหมองหม่นมาให้
แต่บางคราวช่องว่างก็กลายเป็นสิ่งสำคัญ
ที่ช่วยผลักดันให้หัวใจเติบโต

.........................

***หมายเหตุตัวโตโต***

ขอความกรุณาอย่าลอกหรือนำผลงานใดๆ
ในบล็อกนี้ไปดัดแปลงเลยนะครับ
สงสารนักเขียนตาดำๆ นะค้าบบบ

^o^
กลิ้งโคลงแก้มขาว