ทริปวังเวียงไม่วังเวง
มีโอกาสได้ไปเที่ยว "วังเวียง" เลยเก็บประสบการณ์มาเล่าให้ฟังกัน การเดิน ทางครั้งนี้พวกเราเดินทางด้วยรถตู้จาก กรุงเทพฯ ไปหนองคาย เพื่อไปข้ามแดนทีนั่น ถึงด่านจัดการกรอกเอกสารผ่านแดนทั้งขาเข้าและขาออก ของไทยให้เรียบร้อย จากนั้นเข้าแถวยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ได้เลย เรียบร้อยแล้ว ซื้อตั๋วรถบัสสำหรับ ข้ามสะพานคนละ 20 บาท รอรถออกจากฝั่งไทยได้เลย ถึงฝั่งลาวติดขอเอกสารผ่านแดน เอามากรอกให้เรียบร้อย เสร็จแล้วยื่นเอกสาร พร้อมพาสปอร์ตหรือบัตรผ่านแดนชั่วคราวโหลด พาสปอร์ต เสียค่าธรรมเนียม 50 บาท แต่ถ้าเป็นบัตรผ่านแดนชั่วคราวเสียคนละ 90 บาท ผ่านเข้ามาเรียบร้อยแล้ว จัดการแลกเงินลาวให้พอกับค่าใช้จ่าย พวกเราไปกัน 10 คนเลยเหมารถตู้จาก เวียงจันทร์ไปวังเวียง ค่าเช่ารถเหมาประมาณวันละ 4500 บาท
ระหว่างเดินทางไปวังเวียง แวะทานอาหารเช้าก่อนเพราะตั้งแต่เช้ามายังไม่ได้ทานอาหารเช้ากันเลย ขนมปังแบบนี้มีขายเป็นอาหารหลักของลาวเลย เรียกข้าวจี่ ราคาอยู่ที่ชิ้นละ 40 บาท
ระหว่างทางไปวังเวียง เส้นทางเป็นถนนลาดยาง สลับกับถนนลูกรัง กำลังปรับปรุงถนนเป็นระยะๆ ใช้เวลาเดินทางจากเวียงจันทร์มาถึงวังเวียงกินเวลาประมาณ 5 ชั่วโมง พวกเรา เลือกพักที่โรงแรมแกรนด์วิว เพราะสะดวกทั้งที่กินและที่เที่ยว อยู่ตรงถนนคนเดินของวังเวียง หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ให้รถตู้ที่เหมามาพาไปเที่ยวถ้ำจัง สะพานสีส้ม เสียค่าข้ามสะพานอีกคนละ 2,000 กีบ วิวแม่น้ำซองจากมุมมองบนสะพานสีส้ม สะพานสีส้ม หลังจากข้ามสะพานมาเพื่อไปชมถ้ำจัง เสียค่าเข้าถ้ำอีกคนละ 15,000 กีบ ทางเข้าถ้ำต้องขึ้นบันไดไป 147 ขั้น ภายในถ้ำไม่ได้มีอะไรเลยคะ เป็นแค่ทางเดิน สัมผัสอากาศเย็น ๆ ไม่มีหินงอกหินย้อยให้ดู (ส่วนตัวคิดว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ) วิวจากมุมมองถ้ำจัง ออกจากถ้ำจังมา ก็ชมบรรยากาศยามเย็น กลับจากถ้ำจังมา เราก็มาเดินเล่นชมบรรยากาศในเมืองวังเวียง เป็นการหาอาหารเย็นกินกันด้วย บรรยากาศยามเย็นริมแม่น้ำ มีร้านอาหารขาย เหมือน ๆ กับของที่ไทยเรา บรรยากาศร้านอาหารตอนกลางคืน
ซากุระบาร์ บาร์ยอดฮิตของวังเวียง พวกเราก็ไม่พลาดที่จะไปเที่ยวชม
รุ่งเช้าพวกเราใช้บริการเหมารถตู้คันเดิมเพื่อพาเที่ยว จุดแรกที่จะไปถึงบลูลากูน ระหว่างทางผ่านรีสอร์ทที่ขึ้นชื่อของวังเวียง เลยแวะลงไปแอบถ่ายภาพบรรยากาศกันนิดนึง เค้าไม่ให้คนนอกถ่ายภาพนะค่ะ สำหรับที่นี่ เผอิญว่าตอนเดินไปติดต่อหน้าฟร้อนท์ ถ่ายรูปไปก่อนแล้ว เพราะไม่ทราบเลยได้รูปมา อีกภาพของโรงแรมนี้ บลูลากูนแห่งบ่อน้ำเล็ก ๆ น้ำใสมากๆ ใครมาเที่ยววังเวียงต้องแวะมาที่นี่ แปลตรงนี้ใครลงเล่นน้ำต้องไปถ่ายรูป ลืมบอกไปว่าการเข้ามาชมบลูลากูนนี้ เสียค่าเข้าชมคนละ 10,000 กีบ นอกจากเล่นน้ำแล้วยังมี Zipline ให้เล่นราคาประมาณ 700 บาทต่อคน นอกจากนั้นมีถ้ำให้ชม เสียค่าเข้าชมอีกแล้วคนละ 10,000 กีบ ออกจากบลูลากูน พวกเราก็กลับมาที่พักเตรียมตัวจะไปเที่ยวกันต่อ สำหรับวันนี้เลือก คำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ กันแล้ว ตัดสินใจที่จะใช้บริการทัวร์ one day trip ของที่วังเวียง เพราะถูกกว่าการไปเที่ยวกันเองประมาณ 40,000 กีบ ค่าทริปตกประมาณคนละ 120,000 กีบ นั่งรถสองแถวที่ทางทัวร์เค้าจัดให้ออก จากตัวเมืองวังเวียงมาสักประมาณ 30 นาทีก็จะถึงที่เที่ยวแรกนั่นคือการล่องห่วงยางลอดถ้ำ ลงจากรถ ก็ข้ามสะพานเพื่อไปอีกฝั่ง ที่ลาวเสียค่าใช้จ่ายทุกจุด ก็ว่าได้ แม้แต่การข้าม สะพานก็มีการเก็บเงิน แต่อันนี้รวมอยุ่ในทริปอยู่แล้ว ข้ามสะพานมาแล้วก็ยังไม่ถึงที่หมายนะค่ะ ต้องใช้เวลาเดินไปอีกประมาณ 15-20 นาที ระหว่างทางก็เก็บภาพไปเรื่อยเปื่อย ทางเดิน เป็นการเดินบนคันนาไปเรื่อย ๆ ยังเป็นวิถีชุมชนเหมือนต่างจังหวัดของไทยเรา เราวัวมาปล่อยเลี้ยงไว้ในทุ่ง หลังจากเดินกันมาประมาณ 15-20 นาที ก็ถึงที่หมาย บริเวณหน้าถ้ำ ก็จะมีห่วงยางลอยอยู่เต็มไปหมดแต่กว่าพวกเราจะมาถึงจุดนี้กันกินเวลา ประมาณบ่าย 2 โมงกว่าๆ กันแล้ว เลยนั่งทางอาหารกันก่อน ก่อนที่จะไปลอดถ้ำ อาหารที่ทางทัวร์จัดให้ก็จะมี ข้าวจี่ บาร์บีคิว ข้าวผัดแล้วก็ผลไม้ หลังจากที่กินข้าวกันอิ่มแล้วถึงเวลาไปล่องห่วงยางลอดถ้ำกันต่อ เลือกห่วงยางกันตามสะดวกของแต่ละคนเลยคะ หัวหน้าทริปเค้าจะแจกชูชีพให้กับลูกทัวร์ แต่กลุ่มของพวกเราเค้าไม่ได้เอาเสื้อชูชีพไว้ให้ 10 คนที่ไปกันมีคนว่ายน้ำเป็นแค่ 2 คนเท่านั้นเอง ภายในถ้ำ ผ่านปากถ้ำไปด้านในจะเป็นอุโมงค์ใหญ่ๆ จะมีเชือก 1 เส้น ใช้ดึงเพื่อเข้าไปด้านใน ภายในถ้ำมืดมาก น้ำก็เย็นมากเช่นกัน ตื่นเต้นว่าเข้าไปด้านในจะมีอะไรให้ดู แอบคิดว่าจะคล้ายๆ ถ้ำที่ลำคลองงูของเมืองกาญ แต่พอเข้าไปสักประมาณ 500 เมตร เค้าก็บอกให้เราหยุดฟังเสียง สักพักก็โดนพวกคนนำทัวร์แกล้งส่งเสียงให้น่ากลัว ด้วยความเงียบ ความเย็นของน้ำ เวลาแขนขาเราโดนกันเอง ก็กรีดกร๊าดกันไปบ้าง แต่หลังจากนั้น เค้าก็ให้เรากลับ เพราะจุดนั้นสิ้นสุดการล่องห่วงยางแล้ว สรุปแล้วเข้าไปไม่มีอะไรให้ดูเลย ขากลับ ด้วยที่เชือกมีเส้นเดียว เราก็จะสวนกับกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ กลายเป็นว่าเชือกเค้ามีไว้ให้สำหรับนักท่องเที่ยวขาเข้า ขาออกพวกเราเค้า ให้ว่ายน้ำกลับกันออกมาเอง เพื่อนคนอื่น ๆ มีปัญหาบ้างเพราะว่ายน้ำและพายห่วงยางกันไม่เป็น ต้องคอยพยายามไปดึงเชือก ก็โดนนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น หยิกแขน ปลดมือ ออกบ้าง บางรายถึงขนาดคว่ำห่วงยางเห็่นเป็นเรื่องสนุกกันไปแต่เพื่อนเราเค้าไม่สนุกด้วยเพราะทำให้สำลักน้ำกันไปหลายอึก ตัวเราเองกับเพื่อนที่ว่ายน้ำเป็น ก็ต้องคอยช่วยลาก ๆ ช่วยพยุงกันออกมาจากถ้ำกันมา มาถึงหน้าถ้ำก็ปลอบใจกันไป เพราะบางคนยังไม่หายจากอาการตกใจเพราะความกลัวจะจมน้ำ
กลับจากล่องห่วงยาง เราจะไปพายเรือคายัคกันต่อ นั่งรถไปอีกประมาณ 40 นาที กว่าจะไปถึงที่ล่องเรือ ก็เกือบ ๆ จะ 5 โมงเย็นกันแล้ว ด้วยแต่ละคนเข็ดกับการล่องห่วงยาง ตอนจะพายเรือคายัค เซฟตี้ตัวเองกันเต็มที่ ว่ายน้ำไม่เป็น พายเรือไม่เป็น คราวนี้เจอน้ำเชี่ยวอีก ตั้งใจฟังเค้าสอนการพายเรือกันตั้งใจมากแย่งจะนั่งเรือลำที่คนนำทริปเป็นคนพายกันใหญ่ เราก็ขำ ๆ เพราะตกไปเป็นอีกคนที่ใครๆก็อยากแย่งตัวไปนั่งเรือลำเดียวกัน ก็เราเป็นคนเดียวที่เคยพายเรือคายัค แต่พอพายเรือกันไปสักพัก เริ่มผ่อนคลาย เริ่มคล่อง ก็สนุกกับการพายเรือกันไป ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งในการพายเรือ ถึงที่หายมืดพอดี จบทริปกันแล้ว กลับไปอาบน้ำอาบท่า ไปหาข้าวกิน ไปกินเหล้าเข้าผับกันเหมือนคืนแรก รุ่งเช้าต้องกลับกันแล้ว ตื่นมาตอนเช้าเดินถ่ายรูปอีกนิดหน่อย หาของกินก่อนเดินทางกลับ ออกจากวังเวียงตอนประมาณ 8 โมง ถึงเวียงจันทร์ประมาณ บ่ายโมง แวะเที่ยวในตัวเมืองเวียงจันทร์นิดหน่อย แวะไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคล โบสถ์เค้าสวยดี พระธาตุประจำเมืองของเวียงจันทร์ ภายในของประตูชัย จบทริปวังเวียง เวียงจันทร์ ด้วยภาพประตูชัยของลาว แลนด์มาร์คของเวียงจันทร์
| Create Date : 20 มิถุนายน 2559 |
| Last Update : 21 มิถุนายน 2559 11:46:12 น. |
|
7 comments
|
| Counter : 2978 Pageviews. |
 |
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [
จากรูปวังเวียงเปลี่ยนไปมากเลย
แต่บรรยากาศโดยรวมคงยังน่าเที่ยวอยู่ใช่มั้ยคะ
เห็นแล้วอยากกลับไปเที่ยวอีกจังเลย