Group Blog All Blog
|
Rogue Trader วันนี้ของประเดิมด้วยภาพยนต์ฝรั่งที่ผมคิดว่านักลงทุนควรจะต้องดู เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนในในการลงทุน เรื่องที่ผมกล่าวถึงคือ "Rogue Trader" ภาพยนต์อิงจากชีวิตจริงของคุณ นิค ลีสัน (Nick Leeson) เป็นภาพยนต์เก่าในปี 1999 อาจจะหาได้ยากสักหน่อยแต่มีนำมาขายในบ้านเราโดยค่าย CVD International (ถ้าผมจำไม่ผิด) ผมเคยดูนานมากแล้วผ่านร้านเช่าหนัง หน้าปกชื่อ "นิก ลีสัน ค้าหุ้นลวงโลก" (ใน Youtube ก็มีเป็นของแท้ ลองค้นคำว่า Rogue Trader )
ความน่าสนใจมันมาบังเกิดตรงที่ การเก็งกำไรในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงดัชนี Nikkei225 ในช่วงตลาดขาขึ้น ทำกำไรให้ นิค มากมาย แม้มีบางครั้งที่ผิดพลาดแต่นิค ก็ยังสามารถทำกำไรกลับมาได้ เหตุการสำคัญของเรื่องคือ การตัดสินใจเริ่มต้นการฉ้อโกง เมื่อ ลูกทีมสาวของนิคพลาดขาดทุน 20000 ปอนด์ และการขาดทุนรุกราม ขึ้นมากเป็นหลายล้าน(ตามสไตล์ future พวกที่มี leverage สูง) แต่นิค ซึ่งเป็นหัวหน้าและเป็นผู้มีอำนาจดูแลบัญชีลูกค้า จึงสร้างบัญชีลูกค้าปลอม88888 ขึ้น เพื่อนำเงินธนาคารไปลงทุนแก้ไขในส่วนที่ขาดทุน (ออกแนว Gamble เสียและอยากเอาคืน) แต่แล้วโชคก็เข้าข้างเพราะปีนั้นดัชนี Nikkei ยังคงวิ่งขึ้นต่อได้ ทำให้นิคสามารถลบส่วนที่ขาดทุน และมีกำไรเพิ่มจากการเทรดในครั้งนั้นได้ และตลาดกลับมาได้ ทะลุ 19000 โดยในปี 1993 เป็นปีทองของตลาดและปีทองของ นิคเขาทำกำไรในตราสารอนุพันธ์ถึง 10 ล้านปอนด์ คิดเป็น 10% ของกำไรทั้งธนาคารแบริ่ง งานนั้น นิค ลีสันได้โบนัสถึง 130,000 ปอนด์หรือประมาณ 31 เดือน ในหนังจะเห็นว่า ความโลภไม่ได้มีแต่ นิค แม้แต่ผู้บริหารที่ อังกฤษยังคิดว่านิค คือเทพเจ้าเทรดเดอร์ ยังอยากจะขนเงินมาให้นิค ทำกำไรในโลกตะวันออกเพิ่ม (จุดเริ่มต้นของหายนะ เพราะความเชื่อใจใน นิค มากไป)
หลังจากนั้นปี 1994 นิค ก็ลุ่มๆดอนๆและเมื่อตลาดไม่เป็นใจ ถ้าสังเกตดีๆสไตล์ของนิคในหนังคือการเทรดสั้น จากการรีบาวนด์ แน่นอนว่ามันค่อนข้างเสี่ยงในกรณีที่ตลาดเด้งแล้วลงต่อแรง เมื่อนิคเริ่มขาดทุน แต่คิดว่าเอาอยู่ จึงเกิดการทุจริต โดยการดึงเงินธนาคารมาเข้าบัญชีปลอมแบบเดิมเพื่อหวัง ถอนทุนคืน เพื่อแก้มือที่ขาดทุน แน่นอนว่าเมื่อถึงช่วงการปรับตัวลงของตลาดหุ้นอะไรก็ไม่เป็นใจ นิค ยังคงขาดทุน แต่ด้วยความบ้าและความเชื่อมั่นที่จะกลับมาได้ นิค ใช้การตกแต่งบัญชี เพื่อไม่แสดงส่วนที่ขาดทุน ทำให้ผู้บริหารของแบริ่ง ที่อังกฤษไม่ทราบถึงการขาดทุนและหายนะที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ นิคยังหว่านล้อมเพื่อขอวงเงินในการลงทุนเพิ่มอีก รวมถึงการทำเอกสารปลอม เพื่อขออนุมัติเงิน นิคยังใช้เทคนิคการซื้อเพิ่ม ซื้อถั่วเฉลี่ยโดยหวังการดีดรีบาวดน์จากการลงต่อเนื่องของ Nikkei แต่แล้ว ก็มาถึงจุดจบ ขนมคลายเครียดของ นิค
ฉากไคล์แมก เป็นในตอน 17 มกราคม 1995 เกิดแผ่นดินไหวที่โกเบ ขนาด 7.2 ริกเตอร์ สร้างความเสียหายให้แก่ญี่ปุ่น จนตลาดหุ้น Nikkei ตอบรับทางลบลดลงทันที เกือบ 10% ในอาทิตย์นั้นและหลุด 19000 จุด ทำให้พอร์ตของบริษัทที่นิค เทรดขาดทุนทันที 500 กว่าล้านปอน นิคยังคงคิดว่าตลาดจะรีบาวนด์กลับมาได้หลังจากรับข่าวร้าย ทำให้เขาใช้เงินเข้าซื้อสัญญาล่วงหน้าเพิ่มอีก 20000 สัญญา เพื่อหวังดึงดัชนีให้เพิ่มขึ้น แต่นิคก็ล้มเหลว ทำให้ความเสียหายเกิดขึ้นมหาศาล เมื่อฝ่ายบัญชีของธนาคารแบริ่งส์ (Barings) ตรวจพบความผิดปกติทางบัญชีที่ นิคปกปิดไว้ ทำให้ทราบยอดขาดทุนทั้งหมดเกือบ 850 ล้านปอนด์แล้ว นอกจากนี้เขาก็ต้องรับกรรมด้วยการป่วยโรคมะเร็งลำไส้ ผลจากการดื่มหนัก การเป็นนักปาร์ตี้และความเครียด จะเห็นว่าเมื่อ นิคเครียดเขาจะกินขนมหรือ ช็อคแล็ตเป็นประจำ ซึ่งนิควัย 32 ปีต้องทำคีโมและเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งเป็นช่วงที่เลวร้ายในชีวิตของเขา
ข้อคิดที่ได้ 1. ไม่ควรโลภจนเกินตัว อย่าเสี่ยงแบบบ้าคลั่งเพียงเพราะอยากได้ผลตอบแทนที่สูง 2. ผิดทางไม่ควรฝืน ต้องรู้จัก Cut loss ไม่ควรถั่วเฉลี่ย โดยเฉพาะตลาด Future 3. ไม่ควรลงทุนแบบนักพนัน ไม่ควรเสี่ยงเพิ่มหรือเกทับ เพื่อจะได้ทอนทุนคืน ยิ่งเสียยิ่งเล่นจะมีแต่ขาดทุน ควรหยุดดูสภาพตลาด ทบทวนทิศทางลมและความผิดพลาด หรือลดขนาดการลงทุนลง จนกว่าผลการเทรดของเราจะคงที่และออกมาเป็นบวก 4. การลงทุนไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ไม่ควรประมาทหรือหลงระเริงกับผลตอบแทนมหาศาลที่ได้มา ควรรู้จักเดินทางสายกลาง บริหารชีวิต ดูแลคนรอบข้างให้ดี ที่สำคัญควรหมั่นรักษาสุขภาพ เพราะการได้กำไรจากตลาดหุ้น แต่ขาดทุนสุขภาพ ย่อมไม่มีผลดีในระยะยาวแน่นอน 5. รู้จักจัดการกับอารมณ์ ความโลภ ความกลัว เป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน 6. เล่นกับความเสี่ยงควรต้องรู้จักความเสี่ยง และหาเครื่องมือบริหารจัดการเงิน เพื่อควบคุมความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 7. โลกเราไม่มีอะไรแน่นอน อย่าไปคิดว่าต้องเป็นแบบที่เราหวังเสมอ ในหนังตอนตลาด Nikkei ทะลุ 19000 เป็นวันที่หลายคนมองว่าญี่ปุ่นกลับมาส่องแสงสว่างทั่วเอเซีย ตลาดหุ้นบูม แต่แล้วเหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ในปี 1995 สร้างความเสียหายให้ญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก มันก็เหมือนฉากการเดาตลาดเมื่อ 2 ปีก่อนหลัง subprime ที่บางคนคิดว่า เอเซียจะมาในไม่กี่ปี ยังไงก็บูม สุดท้าย ญี่ปุ่น ก็โดนซึนามิ ไทยโดนน้ำท่วมเล่นเอา แย่ไปตามๆกัน ประวัติศาสตร์มันสอนเราเสมอครับ ว่าไม่มีใครเดาอนาคตได้หรอกครับ
Free TextEditor |
coffee4you
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?] Free Ebook |