|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
 |
|
|
ขอเล่าว่าวันนี้รีเบลไปบริจาคโลหิตกับพี่แอโร แต่จริงๆ แล้วรีเบลเรียกกิจกรรมนี้ว่า การเอาเลือดชั่วออกจากตัว (เก็บไว้กับตัว ตัวบางทีก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร เอาไปให้คนอื่น เผื่อเค้าจะได้ใช้)
ขอยกคำอธิบายที่พี่ป่ามืดมาช่วยตอบข้อสงสัยในบลอกก่อนหน้านี้มาใส่ไว้ด้วยนะคะ เห็นว่าได้ประโยชน์ดี
"ธรรมสวัสดี..ได้ยินว่าจะไปบริจาคโลหิต.. บุญ ..เกิดที่ใจ คืออาการของใจ..ใจอิ่ม..ใจยิ้ม.. เมื่อใจอยู่ในอาการ "บุญ" ย่อมสุขปราณีต..
การบริจาคทานเพื่อความสุข ของผู้อื่น ..(ทำทานด้วยสิ่งของ).. การบริจาคเพื่อช่วยชีวิต ..(ทำทานด้วยการบริจาคอวัยวะ โลหิต) ปราถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ..(ทำทานด้วยใจเมตตา ปราถนาดี)
..การบอกบุญ..ให้ผู้อื่นได้อนุโมทนา ให้ผู้อื่นเกิดบุญที่ใจ เป็นความเมตตา ..ได้บุญทั้งสองฝ่าย .. ..และทำให้เกิดบุญได้มาก ในการบอกบุญและร่วมอนุโมทนากันในหมู่คนจำนวนมาก.. ..การบอกบุญ ก็คือให้ผู้อื่นได้อนุโมทนา ได้เกิดบุญที่ใจของผู้อื่นด้วย เป็นการทำบุญเหมือนขยายพันธุ์พืช ให้แผ่ขยายออกไป ผู้บอกบุญก็ได้บุญอีก เพราะปิติในบุญที่เกิดในใจของผู้อื่น นอกจากบุญที่ตนเองได้ทำทานแล้ว .. ..บุญเกิดได้ไม่สิ้นสุด..ด้วยการระลึกถึงทานที่ตนได้ทำแล้ว..ระลึกเสมอๆ ..จิตใจย่อม อิ่ม ยิ้ม สุขปราณีตอยู่เช่นนั้น.."
แต่เด็กหญิงรีเบลเป็นคนชอบตั้งคำถามจึงไปกวนพี่ป่ามืดต่อ จนได้คำตอบมาเช่นนี้
"การกระทำแบบปิดทองหลังพระ..ก็เกิดบุญที่ใจเรา ส่วนผู้ที่ได้ประโยชน์จากทานที่เราทำเขาก็อนุโมทนาได้เช่นกัน ..เช่นเราไปวัดเห็นศาลามีรายชื่อผู้สร้าง และมีส่วนผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เราก็อนุโมทนาทั้งผู้ที่มีชื่อและผู้ที่เราไม่ทราบชื่อด้วยค่ะ ..และผู้ที่ได้รับโลหิตจากเราเขาไม่ทราบว่าเป็นของใคร เขาก็อนุโมทนาจากใจเขา เกิดบุญที่ใจเขา ..
..ความหมายของบุญนั้น ต้องทำที่ใจเจ้าของเองค่ะ ..ถ้าเราบอกบุญไปแล้วคนที่เราบอกก็อาจไม่เกิดบุญที่ใจเขาก็ได้ค่ะ ..ถ้าเขาทำใจบุญไม่เป็น การบอกบุญก็ไม่ใช่ว่า คนที่เราบอกไปจะได้บุญทุกคนค่ะ..
การทำบุญที่เปิดเผยหรือไม่เปิดเผยนั้นผลบุญเหมือนกันที่ เราทำด้วยใจบริสุทธิ์ไม่หวังชื่อเสียง การตอบแทนใดๆ..แม้การบอกบุญก็ไม่ได้หวังคำสรรเสริญ บอกบุญด้วยความเมตตาปราถนาให้เกิดบุญในจิตใจของเพื่อน ปราถนาให้เพื่อนเป็นสุขเช่นเรา ..
ความหมายสำคัญอยู่ที่ ใจของเราเกิดอาการบุญหรือไม่ ในการทำทานนั้น..ลองเปรียบเทียบดู การให้ด้วยหวังว่าจะได้อะไรตอบแทนนั้นจิตใจมีอาการอย่างไร และเมื่อเราให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน จิตใจมีอาการอย่างไร..
การทำบุญนั้นได้ผลทันที ที่ใจ อานิสงส์ของการทำบุญทำทาน คือได้วิบากกรรมดี เป็นผลกรรมดีแก่เราในชาตินี้หรือชาติภพอื่นๆ.. บุญคืออะไร ..ต้องทำความเข้าใจก่อนค่ะ.."
ขอเอาบทความจากนสพ. คมชัดลึก มาแปะไว้ที่นี้ด้วย
อานิสงส์การบริจาคเลือด เสริมชีวิตให้เป็นแก่นสาร บังเกิดบุญมหาศาล ได้สร้างทานบารมี
ปัจจุบันมักมีการพูดถึงกันอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับการให้ การบริจาค ไม่ว่าจะเป็นการให้วัตถุหรือให้ธรรมเป็นทาน หรือให้อภัยเป็นทาน ก็ตาม
แต่มีทานที่สำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมักไม่มีใครนำมาพูดถึงกันเลย นั่นก็คือ การให้ชีวิตเป็นทาน
การให้ชีวิตเป็นทาน คนทั่วไปมักเข้าใจกันว่า ต้องสละชีวิตของตัวเอง และต้องตายเพื่อให้คนอื่นมีชีวิตอยู่เท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นทานข้อนี้ได้
แต่ในยุคปัจจุบัน คงจะหาคนที่มีความเสียสละมากมายถึงเพียงนั้นได้ยาก บางทีแม้ว่าจะต้องเสียสละเพื่อท่านผู้มีอุปการคุณ มีบุญคุณ เช่น พ่อ แม่ ที่กำลังป่วยหนักต้องการคนคอยปรนนิบัติดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะลูกๆ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรง ก็มักจะมีการเกี่ยงกันทำ มักอ้างความจำเป็นต่างๆ มากมาย มากีดกันตัวเองออกจากหน้าที่ที่ควรทำ
ถ้าเป็นไปได้ก็มักจะไม่ทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง แต่จะใช้วิธีจ้างคนอื่น จ้างพยาบาล ซึ่งทุกวันนี้จะมีหน่วยงานที่มีพนักงานสำหรับรับทำหน้าที่บริการด้านพยาบาล หรือดูแลคนป่วยคนชรา คอยสนองบรรดาลูกๆ ที่ต่างคนก็ต่างพยายามหลีกเลี่ยงหน้าที่สำคัญที่สุด ซึ่งลูกๆ ที่ดีจะพึงปฏิบัติพึงกระทำกัน
ลูกบางคนพอเห็นว่าได้จ้างพยาบาล หรือคนดูแลพ่อแม่ไว้แล้ว ก็คิดว่าตัวเองหมดหน้าที่แล้ว ไม่เคยสอดส่องดูแลให้ความสนใจ ที่จะมาคอยดูว่า พ่อแม่ต้องการอะไรบ้างด้วยตัวเองเลย นานๆ จะมาให้พ่อแม่เห็นหน้าสักครั้ง บางทีหายไปเป็นเดือน หลายเดือน ความจริงท่านเหล่านั้นคงไม่ต้องการสิ่งใดอื่น นอกจากได้เห็นหน้าลูกๆ บ้าง เห็นลูกๆ ประสบความสำเร็จ มีความสุขกัน พ่อแม่ก็แทบจะหายเจ็บหายป่วยแล้ว สิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดหดหู่ที่สุดในสังคมปัจจุบัน
การให้ชีวิตเป็นทาน ก็มีทางให้เลือกหลายทาง โดยไม่จำเป็นที่ตัวเองจะต้องตายเพื่อผู้อื่นเสมอไป การบริจาคโลหิต คือ การให้ชีวิตเป็นทานอย่างหนึ่ง จะเห็นว่าบางทีคนที่กำลังป่วย อาการทรุดหนัก ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือโรคร้ายใดๆ ก็ตาม ที่ทำให้เลือดในร่างกายเสียไป หรือทำให้เสียเลือดมาก ถ้าเขามีโอกาสที่จะได้รับโลหิตแม้เพียงหยดเดียว อาจช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพื่อทำความดีทำบุญสร้างกุศล ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมอีกต่อไปได้
โลหิต เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของมนุษย์และสัตว์โลกทั่วๆ ไป เพราะเป็นสิ่งที่มีส่วนในการช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยให้อยู่รอดปลอดภัย นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างก็ได้พยายามค้นคว้าวิจัยมาเป็นเวลานาน แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการหาสารประกอบอื่นๆ ที่จะนำมาใช้ทดแทนโลหิตในร่างกายได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดให้มีการบริจาคโลหิต เพื่อให้เกิดการถ่ายเท หรือให้โลหิตจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งได้
การบริจาคโลหิตคือ การสละโลหิตส่วนเกินที่ร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้ เพื่อให้กับผู้ป่วยที่มีความต้องการ เป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเลย
ผู้บริจาคโลหิต สามารถบริจาคได้ในทุกๆ ๓ เดือน เพราะเมื่อบริจาคออกไปแล้ว ภายในระยะเวลาที่กำหนด ไขกระดูกจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดโลหิต ขึ้นมาทดแทนส่วนที่ขาดหายไป ให้โลหิตในร่างกายมีปริมาณเท่าเดิม ถ้าไม่ได้บริจาคหรือถ่ายเทออกไป ร่างกายก็จะขับเม็ดโลหิตที่สลายตัว ซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้วเพราะหมดอายุ ออกมาในรูปของปัสสาวะ อุจจาระ หรือเหงื่อ อยู่เป็นประจำทุกวัน
เมื่อโลหิตมีความสำคัญยิ่งสำหรับชีวิตคนและสัตว์ เมื่อขาดโลหิตทุกชีวิตต้องตาย ให้ความหมายคล้ายต้นไม้ขาดน้ำ มีแต่จะช้ำเหี่ยวเฉาและแห้งตายไปในที่สุด
ผู้ป่วยที่มีอาการทรุดหนัก สามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้เมื่อได้รับโลหิตทันต่อเวลา จากชีวิตสู่ชีวิต มอบโลหิตช่วยผู้ป่วย ให้เลือดให้ชีวิต บริจาคโลหิตเสริมชีวิตให้เป็นบุญ
การบริจาคโลหิตจึงถือว่าได้เสียสละสิ่งที่มีค่าที่สุดในร่างกาย ในชีวิตของคนเรา นอกจากจะทำให้เกิดความภาคภูมิใจ ที่ได้เสียสละโลหิตในร่างกายของตัวเอง ช่วยต่ออายุให้ชีวิตแก่คนป่วยที่กำลังจะตาย เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลแก่ผู้อื่นที่ได้รับโลหิตจากผู้บริจาคไปแล้ว สิ่งที่จะเกิดตามมาคือ ผู้บริจาคได้ทราบหมู่โลหิต และได้ตรวจคุณภาพโลหิตของตัวเอง ได้รับการตรวจสุขภาพในทุกๆ ๓ เดือน
กรณีผู้บริจาคโลหิตตามกำหนด นอกจากจะได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบ ซี เชื้อไวรัสเอดส์ และเชื้อซิฟิลิส (กามโรค) แล้ว ยังเป็นการช่วยสร้างเสริมเพิ่มพูนทานบารมีที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งยากที่ใครจะทำให้เกิดให้มีขึ้นได้ ย่อมได้รับอานิสงส์ส่งผลตามมาภายหลัง ดังคำที่ว่า ผู้ให้ย่อมได้รับการให้ตอบ ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ เช่นเดียวกับการให้ทานที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ
การให้ทานโดยทั่วไปมี ๑๘ ประการ ดังที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถามโนรถปูรณี สีหนาทสูตร อังคุตตรนิกาย ๓/๒๓๕-๒๓๖ ดังนี้ คือ
๑.ทำให้ชีวิตมีความสุข ๒.เป็นรากฐานของสมบัติ ๓.เป็นบ่อเกิดแห่งโภคทรัพย์ ๔.ช่วยต้านภัยให้ชีวิตได้ ๕.ช่วยคุ้มครองป้องกันอันตราย ๖.ช่วยปูทางไปสู่สุคติ ๗.เป็นที่อาศัยได้ ๘.เป็นที่พึ่งพิงได้ ๙.ช่วยเสริมพลังใจให้เข้มแข็งได้ ๑๐.เป็นทางเดินของบัณฑิต ๑๑.ได้เป็นเชื้อสายของพระพุทธเจ้า ๑๒.ทำให้ได้สมบัติในสวรรค์ ๑๓.ทำให้ได้สมบัติพญามาร ๑๔.ทำให้ได้สมบัติพระพรหม ๑๕.ทำให้ได้สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๖.ทำให้ได้สาวกบารมีญาณ ๑๗.ทำให้สำเร็จปัจเจกโพธิญาณ ๑๘.ทำให้สำเร็จอภิสัมโพธิญาณ
การบริจาคโลหิต เป็นปรมัตถทานบารมีสูงสุดที่มนุษย์สามัญทั่วๆ ไปพึงทำได้ เพราะเป็นการให้ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตตนเพื่อนำไปช่วยต่อชีวิตให้ผู้อื่น ผู้ให้ย่อมเกิดความปีติ ความสุขทางใจ จากผลบุญของการให้ไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน
ขณะนี้โลหิตที่ได้รับการบริจาคยังขาดแคลน ไม่เพียงพอ ท่านผู้บริจาคโลหิตจึงนับว่าเป็นส่วนสำคัญในการบริจาคโลหิต เพื่อสำรองไว้ใช้กับเพื่อนมนุษย์ผู้เจ็บป่วยที่ยัง รอรับการต่ออายุจากแรงศรัทธาของทุกท่าน
สนใจติดต่อขอบริจาคโลหิต หรือขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ โทร.๐-๒๒๕๑-๓๑๑ ต่อ ๑๑๓, ๑๖๑, ๑๖๒
และปิดท้ายด้วย fwd mail นะคะ เนื่องจากเป็น fwd mail จึงต้องเผื่อใจไว้ด้วยว่าอาจจะจริงหรือไม่ก็ได้
ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการบริจาคโลหิต
คือเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นจริง ๆ เป็นผลมาจากการบริจาคโลหิตโดยแท้ !!! รุ่นพี่ของเราคนหนึ่ง อายุประมาณ 35 ปี ทำงานอยู่ที่ ทีพีไอสำนักงานใหญ่ ซึ่งบริษัทมีสวัสดิการให้พนักงานตรวจสุขภาพประจำปีทุกปีผลการตรวจล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้วปรากฎว่าพี่เค้าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วซึ่งคุณหมอก็งงเหมือนกัน เพราะเกือบทั้งหมดของคนที่เป็นโรคนี้มักเป็นมาแต่กำเนิด หลังทราบผล พี่เค้าก็ไปปรึกษาคุณหมอ สรุปว่าทางเดียวที่จะรอดได้ก็ต้องผ่าตัด เพื่อดูว่าสามารถซ่อมลิ้นหัวใจได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ หลังจากปรึกษาที่รพ.เซ็นหลุยส์ ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดประมาณ 3 - 4 แสนบาท จึงลองไปปรึกษาที่รพ.จุฬาฯ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 1แสนกว่า ๆ จึงตัดสินใจไปผ่าตัดที่รพ.จุฬา ฯ แต่ก่อนหน้านี้ พี่เค้าบริจาคเลือดทุก ๆ 3 เดือนมาโดยตลอด รวมทั้งหมดที่บริจาคก็ 49 ครั้ง และพี่เค้าก็ได้รับคำแนะนำมาว่า ทางสภากาชาดจะช่วยเหลือในส่วนของค่าห้องในการพักรักษาตัวได้จึงได้ไปขอจดหมายรับรองจากสภากาชาดไว้ว่าได้บริจาคเลือดจำนวนครั้งเท่านี้จริง อย่างน้อยก็จะได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้บ้าง พี่เค้าเพิ่งได้รับการผ่าตัดเรียบร้อย เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 48 นี้เอง
วันที่ออกจากรพ. ก็ต้องไปเคลียร์ค่าใช้จ่าย ซึ่งทั้งหมดเป็นเงิน110,000 บาท แต่พี่เค้าต้องจ่ายจริง คือค่ายาเพียง 9,800 บาทเท่านั้น เพราะสรุปว่า สภากาชาดออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ เจ้าหน้าที่ของรพ.แจ้งว่า ได้รับสิทธิ์เหมือนกับข้าราชการคนหนึ่ง ส่วนของค่ายาที่ต้องจ่ายเองนั้น เพราะเป็นยาบัญชีประเภทสอง ซึ่งถึงจะเป็นข้าราชการก็ต้องจ่ายส่วนนี้เองเหมือนกัน เจ้าหน้าที่ยังแนะนำอีกว่า เพียงแค่คุณบริจาคเลือดกับสภากาชาดอย่างน้อย 24 ครั้ง คุณก็จะได้รับสิทธิประโยชน์นี้เหมือนที่รุ่นพี่เราได้รับไปแล้ว นี่ถือเป็นโชค 2 ชั้นเลยนะ ได้บุญจากการบริจาคเลือดแล้ว ยังเหมือนได้ประกันแถมมาอีก ถ้าใครมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี ก็พยายามไปบริจาคเลือดไว้นะ
แต่ขอย้ำว่านับเฉพาะที่บริจาคไว้กับ สภากาชาดเท่านั้นนะ
อย่าลืมว่านี่เป็น fwd mail อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้
Create Date : 27 กันยายน 2548 |
Last Update : 27 กันยายน 2548 21:14:37 น. |
|
39 comments
|
Counter : 2230 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: noom_no1 IP: 61.91.216.16 วันที่: 27 กันยายน 2548 เวลา:21:42:33 น. |
|
|
|
โดย: keyzer วันที่: 27 กันยายน 2548 เวลา:22:08:24 น. |
|
|
|
โดย: Black Tulip วันที่: 27 กันยายน 2548 เวลา:22:25:10 น. |
|
|
|
โดย: nuyo (CooKiiE ) วันที่: 27 กันยายน 2548 เวลา:22:38:16 น. |
|
|
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 27 กันยายน 2548 เวลา:22:42:22 น. |
|
|
|
โดย: Trillionaire (Trillionaire ) วันที่: 27 กันยายน 2548 เวลา:23:27:04 น. |
|
|
|
โดย: ยัยบี๋ วันที่: 27 กันยายน 2548 เวลา:23:35:50 น. |
|
|
|
โดย: erol วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:0:16:15 น. |
|
|
|
โดย: ป่ามืด วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:2:10:23 น. |
|
|
|
โดย: yadegari วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:2:35:34 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:6:17:47 น. |
|
|
|
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:6:47:48 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:7:14:23 น. |
|
|
|
โดย: Bluejade วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:7:29:19 น. |
|
|
|
โดย: prncess วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:7:53:47 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:8:43:36 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:8:49:06 น. |
|
|
|
โดย: erol วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:8:59:08 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:9:29:02 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:9:38:23 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:9:54:10 น. |
|
|
|
โดย: grappa วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:10:00:58 น. |
|
|
|
โดย: rebel วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:10:18:52 น. |
|
|
|
โดย: Black Tulip วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:10:52:56 น. |
|
|
|
โดย: ดา ดา วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:11:43:01 น. |
|
|
|
โดย: ดา ดา วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:11:49:18 น. |
|
|
|
โดย: ยัยบี๋ วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:12:02:42 น. |
|
|
|
โดย: hunjang วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:12:34:21 น. |
|
|
|
โดย: merf1970 วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:13:32:03 น. |
|
|
|
โดย: biggg วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:13:42:52 น. |
|
|
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:17:01:28 น. |
|
|
|
โดย: yadegari วันที่: 28 กันยายน 2548 เวลา:17:50:37 น. |
|
|
|
โดย: สายพิณ IP: 58.147.44.90 วันที่: 2 กรกฎาคม 2549 เวลา:15:03:00 น. |
|
|
|
โดย: แอร์กี่ IP: 203.150.104.74 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2549 เวลา:14:39:53 น. |
|
|
|
โดย: สุภาพร IP: 203.172.158.131 วันที่: 7 ธันวาคม 2549 เวลา:10:49:52 น. |
|
|
|
|
|
 |
|
|
|
 |
ฝากข้อความหลังไมค์ |
 |
Rss Feed |
 | Smember |  | ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
|
|
 |
|
เราเคยไปบริจาคมาเหมือนกัน แค่ครั้งเดียวในชีวิตแล้วก้ไม่ได้ไปอีกเลย
เรื่องของเรื่องเกิดที่ รพ.แห่งหนึ่ง ขออภัยไม่เอ่ยนามว่าศิริราช...นัดกันไปบริจ๊าก เอ๊ย ! บริจาคกัน 3 คน (3ผู้เฒ่าที่จอยล้วนรู้จัก) ปรากฎว่าผู้อื่นไม่มีปัยหา ทว่าข้าพเจ้า เส้นเลือดหลบใน นอกจากจะหาไม่เจอแล้ว ยังหลั่ง (เลือด) ยากอีก
เวลาผ่านไป จนคนอื่นไหลเลือดจนเต็ม ข้าพเจ้าได้แค่ 1/5 แล้วจ้ำเขียวๆ ก้เริ่มปรากฎบนรอยแทง พี่พยาบาลจึงยุติการบริจ๊ากเพียงเท่านั้น ด้วยว่ากัวเส้นเลือดแตก...
ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยบริจ๊ากอีกเลย ...ไม่ได้กลัวเข็มน่อ
ปล.ขอบอกว่า ศิริราชเลี้ยงขนมอร่อย