วัดชลธาราสิงเห (วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย) และเกาะยาว @เจ๊ะเห ต่ากใบ เมืองเล็กๆ ที่อบอุ่น
สวัสดีค่ะ
วันนี้เป็นภาคจบที่นราธิวาสกันแล้ว สาวตั้งใจอัพบล็อกให้ห่างๆ เพราะนานๆ จะได้ไปนราธิวาสสักครั้ง อยากให้เพื่อนชมนานๆ ^^ วันนี้สาวจะพาทุกๆ คนไปตามรอยประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาสค่ะ เป็นอีกครั้งที่ได้รำลึกถึงความทรงจำในวันเยาว์กับพ่อภาคสอง แต่วันนี้ไม่มีรูปเรา ^^
ก่อนไปเที่ยว เรามาชมตอนเก่ากันได้ที่นี่
เปิดบันทึกวันเยาว์ในงานศพอาที่นราธิวาส หาดนราทัศน์ และวัดเขากงที่คิดถึง
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=skybeach&month=03-10-2015&group=17&gblog=28
สาวนั่งรถสองแถวจากนราธิวาส มาที่เจ๊ะเหใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษค่ารถ ๗๐ บาท บอกว่าเราจะลงวัดชลธาราสิงเห เมื่อถึงตลาดเค้าจะจอดให้ลง
ตำบลเจ๊ะเห เป็นตำบลหนึ่งของอำเภอตากใบ เป็นชุมชนเก่าแก่ตั้งแต่ต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประชาชนติดต่อไป มา ค้าขายกับประเทศมาเลเซีย มีภาษถิ่นเป็นของตนเอง มีความไพเราะแตกต่างจากภาษาถิ่นใต้ทั่วไป คือ ภาษาเจ๊ะเห เป็นเอกลักษณ์ของชาวตากใบ และจังหวัดนราธิวาสมาจนถึงปัจจุบันนี้
จุดที่เราเดินไปวัดจะอยู่ตรงนี้ค่ะ
เดินตรงมาเรื่อยๆ
ใกล้ถึงทางเข้าแล้วค่ะ
เดินไกลพอสมควร ก็ถึงทางเข้า วัดชลธาราสิงเห
วัดชลธาราสิงเห (วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย) เป็นวัดเก่าแก่ ตั้งอยู่หมู่ ๓ ตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ จาก สี่แยกตลาดอำเภอตากใบแยกซ้ายประมาณ ๑๐๐ เมตร
วัดชลธาราสิงเห (วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย) เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่ที่บ้านท่าพรุ หมู่ที่ ๓ ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย วัดตั้งอยู่บนเนินทรายระหว่างแม่น้ำตากใบและพรุบางน้อย
สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.๒๔๐๓ โดยพระครูโอภาสพุทธคุณ (พุด) ได้ขอที่ดินจากพระยาเดชานุชิตที่ทางกรุงเทพแต่งตั้งมาปกครองรัฐกลันตัน แต่เดิมเรียกวัดท่าพรุหรือวัดเจ๊ะเหตามชื่อหมู่บ้าน ต่อมาได้มาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดชลธาราสิงเหในปี พ.ศ.๒๔๕๒ โดยขุนสมานธาตุ วฤทธิ์ หรือ เปลี่ยน กาญจนรัตน์ นายอำเภอตากใบคนแรกเป็น วัดชลธาราสิงเห ที่มีความหมายว่าเป็นวัดริมน้ำที่สร้างด้วยพระภิกษุที่มีบุญฤทธิ์ประดุจราชสีห์ (พระครูโอภาสพุทธคุณ)
ในปี พ.ศ.๒๔๑๖ ท่านอาจารย์พุดได้สร้างพระอุโบสถโดยมอบให้พระไชยวัดเกาะสะท้อนเป็นช่างก่อสร้างและเขียนภาพในพระอุโบสถ พระธรรมวินัย (จุ้ย) และทิดมี ชาวสงขลาช่วยกันเขียนภาพในพระอุโบสถ ในกุฏิ สร้างพระประธานในพระอุโบสถและกำแพงแก้วล้อมรอบพระอุโบสถ เมื่อสร้างเสร็จจึงขอพระราชทานวิสุงคามสีมาในปี พ.ศ.๒๔๒๖ สมัยต่อมาวัดชลธาราสิงเห ได้รับการบูรณะ ปรับปรุง ซ่อมแซม และก่อสร้างอาคารเพิ่มขึ้น เช่น วิหาร กุฏิ ศาลา บ่อน้ำ หอระฆัง หอไตร ศาลาท่าน้ำ เป็นต้น มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมภาคใต้ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก คือ การประดับลวดลายไม้ฉลุ เรียกว่า ลวดลายขนมปังขิง
ความสำคัญของวัดชลธาราสิงเห นอกจากมีศิลปกรรมท้องถิ่นที่งดงามแล้ว ในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีการปักปันเขตแดนกับอังกฤษ อังกฤษได้ทำการปักปันเขตแดนเข้ามาถึงบ้านปลักเล็กเลยจากวัดชลธาราสิงเห ๒๕ กิโลเมตร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเจ้าอยู่หัวจึงทำการแย้ง โดยให้เหตุผลว่าวัดชลธาราสิงเหเป็นวัดไทยที่มีความสำคัญ เป็นมรดกทางพุทธศาสนา ฝ่ายอังกฤษยอมรับและเลื่อนการปักปันเขตแดนถอยลงไปทางใต้จนถึงลำน้ำโกลก ทำให้อำเภอตากใบ อำเภอแว้งและอำเภอสุไหงโกลกอยู่ในการปกครองของไทยจนถึงปัจจุบัน วัดชลธาราสิงเหจึงได้ชื่อว่า วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย
นอกจากนี้วัดชลธาราสิงเห ยังเป็นสนามสอบนักธรรมของอำเภอตากใบ เมื่อถึงกำหนดสอบจะมีประเพณีการ ทำบุญเลี้ยงพระสอบไล่ และถือเป็นศูนย์รวมทางด้านจิตใจของชาวพุทธทั้งทางฝั่งไทยและมาเลเซีย จากหลักฐานพบการเสด็จพระราชดำเนินเยือนของกษัตริย์ไทยมายังวัดชลธาราสิงเหหลายครั้ง ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จทางชลมารคถึงอำเภอตากใบในวันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๘ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดชลธาราสิงเหในวันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘ และในวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ sac.or.th
เมื่อเราเดินมาถึงภายในจะมีสถานที่สนใจให้เดินชมมากมาย น่าประทับใจมาก
พระอุโบสถ
พระอุโบสถ ตั้งอยู่ประมาณกึ่งกลางของวัด หันหน้าไปทางลำน้ำตากใบที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๖ แทนโบสถ์น้ำเดิมที่อยู่กลางแม่น้ำ พระอุโบสถมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นอาคารเครื่องก่อ หลังคาซ้อนชั้นทางด้านหน้าและหลังพระอุโบสถ มีชายคาปีกนกลดหลั่นลงมา ๓ ชั้น มีเสานางเรียงสี่เหลี่ยม ไม่มีบัวหัวเสารองรับเชิงชายเครื่องบน เครื่องลำยองมีช่อฟ้า ตัวลำยอง ใบระกา หางหงส์ อันเป็นการประดับตกแต่งแบบสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ภาพในพระอุโบสถมีการตกแต่งภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นรูปไตรภูมิ, เทพชุมนุมและพุทธประวัติตอนต่างๆ นอกจากนี้ภาพประติมากรรมยังสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนตากใบ เช่น ภาพชาวจีนกำลังแบกสินค้า, ภาพเรือนแพแบบต่างๆ,ภาพแพะซึ่งเป็นสัตว์ที่เลี้ยงในชุมชน เป็นต้น
มีพระประธานในพระอุโบสถชาวบ้านเรียก หลวงพ่อใหญ่ ด้านนอกพระอุโบสถประกอบด้วยใบเสมาและซุ้มเสมา กำแพงแก้วและซุ้มกำแพงแก้ว
ใกล้ๆ พระอุโบสถคือ อนุสาวรีย์พระครูโอภาสพุฒคุณ เป็นรูปหล่อโลหะเหมือนจริง ที่ฐานมีจารึกประวัติของท่าน
ศาลาธรรมรุ่นเก่าอีกหลังหนึ่ง เป็นศิลปะปักษ์ใต้ผสมอิทธิพลสถาปัตยกรรมจีนแปลกตา และในวิหาร เก่าด้านหลังวัด มีประติมากรรมปูนปั้น รูปพระนารายณ์ ๔ กร ที่บ่งถึงอิทธิพลศาสนาพราหมณ์อีก ๑ องค์ กับเครื่องถ้วยชาม ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเครื่องถ้วยชามสมัยราชวงศ์ซ้อง กับพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งพิทักษ์โดย พญานาค ๒ ตน ที่ยังกำหนดอายุและยุคสมัยของงานศิลปะไม่ได้แน่ชัด
ใกล้ๆ กันมีป้ายประวัติวัด
และป้ายนี้ค่ะ
เดินไปเรื่อยๆ จนเจอหอกลอง
หอระฆัง
ตรงนี้ไม่รู้เป็นอะไร คนงานกำลังปรับปรุง
กุฏิสิทธิสารประดิษฐ์หรือกุฏิพระครสิทธิสารวิหารวัตร (ปัจจุบันเป็นพิพธภัณฑ์)
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ โดยพระครูสิทธิสารวิหารวัตร ประวัติวัดชลธารกล่าวว่าแต่เดิมเป็นอาคารไม้ทั้งหลัง ต่อมากุฏิพังทลายลง ทางวัดจึงสร้างขึ้นใหม่แต่รูปแบบค่อนข้างต่างไปจากเดิม ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปากรให้เป็นพิพิธภัณฑสถานวัดชลธาราสิงเหเพื่อเก็บโบราณวัตถุชิ้นสำคัญของวัด จากภาพถ่ายเก่า พบว่ากุฏิสิทธิสารประดิษฐ์เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ยกพื้นสูง ขนาดกว้าง ๑๙.๓๕ เมตร ยาว ๒๒.๖๐ เมตร หลังคาเป็นทรงปั้นหยาซ้อนกันหลายชั้น มุงกระเบื้องดินเผา บันไดหน้าเป็นบันไดก่ออิฐถือปูน มีการทำพนักเป็นรูปตัวนาค ปลายหางโค้งงอนรับกับมุขหลังคา ยอดหลังคาตกแต่งด้วยปูนปั้นลายเครือเถา ส่วนมุมหลังคาทำรูปคล้ายหางหงส์หรือหัวนาค (วรรณิภา ณ สงขลา ๒๕๓๕ :๒๑)
ตอนนี้เรามาชมด้านในกัน เริ่มจากรูปเก่า
จัดเป็นสัดส่วนชัดเจน
อาสนะ
สวยค่ะ
หุ่นขี้ผึ้งจำลองช่วงเซ็นสัญญา
มุมนี้ก็ชอบ
พัดยศ
รายนามเจ้าอาวาส
ชอบภาพเขียน
ข้างในยังมีเรื่องราวให้ชมอีกเยอะ กลัวที่ไม่พอเดินต่อกันค่ะ
หอพระนารายณ์ เป็นอาคารเครื่องก่อ ขนาด ๕.๔๕ เมตร ยาว ๖.๓๐ เมตร มีมุขขนาดกว้าง ๓.๔๐ เมตร ยาว ๔.๐๖ เมตร มีหน้าต่างด้านๆละ ๑ ช่อง ส่วนทางด้านหน้าทางทิศตะวันออกมีประตู ๓ บาน หลังคาทรงมณฑป ๔ ชั้นยอดแหลม มุงกระเบื้องดินเผาเกาะยอ ส่วนยอดของหลังคาหล่อด้วยปูนซีเมนต์ ตรงหน้าบันมีจารึก ปฏิสังขรณ์ พ.ศ.๒๔๙๙ เพดานมุขมี ๒ ห้อง ตกแต่งลวดลายเป็นภาพดวงดารา ภายในมณฑปมีรูปพระนารายณ์ ๔ กร บนฐานชุกชีมีพระพุทธรูปปางมารวิชัย ๓ องค์ เพดานด้านในประธานตกแต่งลายดวงดารา พื้นหลังประดับด้วยภาพผีเสื้อ หงส์ ช่อดอกไม้และดาวดวงเล็กๆกระจายอยู่ทั่วไป พื้นหลังมีสีขาว ตกแต่งลวดลายดอกไม้ร่วง คอสองเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ คานตกแต่งลายก้านปู ด้านนอกมีการตกแต่งลายเขียนสีและประดับกระจก กรมศิลปากรได้เข้ามาบูรณะตัวหลังคาและโครงสร้างหอพระนารายณ์ในปี พ.ศ.๒๕๔๑
เจดีย์
เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงระฆังบนฐานสี่เหลี่ยม ขนาด ๔.๕๕ เมตร ยาว ๕.๕๐ เมตร ทรงฐานสูงมีลานประทักษิณรอบเจดีย์ มีพนักกั้นเป็นขอบลายประทักษิณ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยครูจันทร์เป็นเจ้าอาวาส (ครองวัดระหว่างปี พ.ศ.๒๔๕๖ - ๒๔๖๒) แต่สร้างไม่เสร็จ จากนั้นมาสร้างอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ลักษณะตัวเจดีย์เป็นทรงระฆังสูง ต่อขึ้นไปเป็นบัลลังก์ ก้านฉัตร ไม่มีเสาหาน แล้วเป็นแผ่นปล้องไฉนลดหลันกันไปเป็นรูปทรงกรวยจนถึงปลียอดและลูกแก้ว
วิหารพระพุทธไสยาสน์
ตั้งอยู่บริเวณหน้าเจดีย์ เป็นวิหารคลุมพระไสยาสน์มีขนาดกว้าง ๕.๙๐ เมตร ยาว ๙.๙๐ เมตร สร้างโดยพระครูสิทธิสารวิหารวัตรเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๔ ภายในวิหารมีพระพุทธไสยาสน์ประดิษฐานอยู่ตอนท้ายของวิหารโถงและติดกับฐานเจดีย์เป็นอาคารเครื่องก่อ มีฝาผนังทั้งสี่ด้าน มีประตูทางเข้าทางทิศตะวันตก (สันนิษฐานว่าอาคารโถงน่าจะเป็นการต่อเติมในสมัยหลัง) องค์พระพุทธไสยาสน์เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น พระพักต์ลงรักปิดทอง พระองค์ประดับกระจก ฐานและฝาผนังประดับเครื่องถ้วย องค์พระมีขนาดยาว ๗.๔๐ เมตร กว้าง ๒ เมตร มีตัวอักษรจารึก พระครู สิททิสารวิหาร....พ.ศ.๒๔๘๔ ม...รัตม พริขวัต
พระพุทธไสยาสน์
เห็นองค์เจ้าแม่กวนอิมไกลๆ แต่เดินไม่ถึง
จุดสุดท้ายในวัด ซึ่งเป็นจุดสำคัญคือ พลับพลาที่ประทับในรัชกาลที่ ๖
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้เสด็จประพาสวัดชลธาราสิงเห และได้มีการสร้างพลับพลาริมแม่น้ำตากใบเป็นที่ประทับ ซึ่งทางวัดยังรักษาไว้ในสภาพที่สมบูรณ์
ไม่ไกลจาก วัดชลธาราสิงเหมีที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ คือ เกาะยาว ตั้ง จากสี่แยกตลาดอำเภอตากใบเลยไปยังแม่น้ำตากใบ มีสะพานไม้ชื่อ สะพานคอย ๑๐๐ ปี ยาว ๓๔๕ เมตร ทอดข้ามแม่น้ำตากใบไปยังเกาะยาว ซึ่งทางด้านตะวันออกของเกาะจะติดกับทะเล มีหาดทรายละเอียดสีน้ำตาล บรรยากาศสงบงาม ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นมุสลิมประกอบอาชีพประมงและสวนมะพร้าว
สะพานเดิมเป็นสะพานไม้ แม้ทำใหม่ก็ยังเก็บของเดิมไว้ ดีจัง
บรรยากาศ อากาศร้อนดีมาก ^^
อีกฝั่ง
เดินมาเรื่อยๆ จนถึง
วันนี้ไม่ค่อยมีแรง
ได้รูปมาได้นิดหน่อย
ถ้ามีแรงคงเดินลงไป
ได้เวลาอำลา
โชคดีมาก ระหว่างที่สาวกำลังหมดแรง มีพี่ผู้หญิงขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาชวนขึ้นเลยสบาย รู้สึกดีมากๆ
หวังว่าทุกคนคงชอบ ขอบคุณที่แวะมาค่ะ
Create Date : 09 ตุลาคม 2558 |
|
29 comments |
Last Update : 9 ตุลาคม 2558 19:29:03 น. |
Counter : 6814 Pageviews. |
|
|
|
บรรยากาศดี๊ดีนะครับน้องสาว
วัดก็สวยเชียวครับ