|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
การอนุรักษ์และใช้กวาวเครืออย่างปลอดภัย
กวาวเครือเป็นสมุนไพรที่ขึ้นชื่อว่ามีสรรพคุณสำคัญในการบำรุงร่างกาย ทำให้ผิวพรรณนุ่มนวลและเต่งตึง จากการศึกษาพบว่ามีการใช้กันมานานนับ 100 ปีตั้งแต่อดีตกาล
และใช้กันในหมู่พระสงฆ์ เจตจำนงเพื่อให้อายุยืน ความจำดี ท่องพระไตรปิฎกได้ดี จึงรู้จักนำกวาวเครือมาใช้โดยปรุงผสมกับน้ำผึ้งหรือน้ำนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมควาย หรือนมแพะ รวมทั้งผสมกับสมุนไพรตัวอื่นๆ เช่น สมอไทย, สมอพิเภก และมะขามป้อม ซึ่งสมุนไพรทั้ง 3 ตัวนี้ในทางโบราณถือว่าเป็นการปรับธาตุสี่และเป็นยาระบายถ่ายพิษ เมื่อผสมกับกวาวที่เชื่อว่ามีพิษด้วยก็จะช่วยล้างพิษส่วนเกินออก บางตำรับหมอโบราณยังใช้พืชรสร้อน เช่น พริกไทย, ขิง และดีปลีเป็นส่วนผสม นี่ก็เป็นข้อบ่งบอกอีกอันหนึ่งของโบราณ ว่าก่อนที่หมอจะให้ยาก็ต้องดูก่อนว่าคนไข้นั้นมีธาตุใดหย่อน ธาตุใดพิการ จึงจะหาส่วนผสมที่ช่วยปรับธาตุได้ถูกต้องและเหมาะสม ไม่ให้กินเป็นยาเชิงเดี่ยว ในส่วนของประชาชนทั่วไปก็เชื่อกันว่า กวาวเครือมีสรรพคุณช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย ผอมแห้งแรงน้อย กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นยาบำรุงสมอง บำรุงโลหิต บำรุงกำลัง รักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย บำรุงตา แก้ตาต้อ บำรุงเส้นผม และลดอาการกำหนัด ส่วนในกลุ่มผู้สูงอายุจะกินเพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ ยังมีหลักฐานยืนยันการใช้กวาวเครือในยุคนั้นว่า ผู้ใช้กวาวเครือต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี และให้กินครั้งละ 1 เม็ดก่อนนอน หากกินเกินจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย และยังมีการบอกถึงปริมาณส่วนผสม รวมทั้งข้อห้ามต่างๆ ในการใช้ไว้อย่างชัดเจน
การใช้กวาวเครือในปัจจุบันดูจะมีวัตถุประสงค์แตกต่างกับอดีตที่เคยใช้กันมา เนื่องจากมีการประโคมข่าวว่าการกินกวาวเครือทำให้หน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้น และเป็นยาช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ นักวิทยาศาสตร์เองก็ได้ออกมายืนยันผลการวิจัยนี้ ด้วยกระแสนี้เองผู้คนต่างก็แห่มากินกวาวเครือกันและกินอย่างผู้ที่ไม่รู้ ก็เป็นเหตุผลทำให้กวาวเครือก้าวสู่วงการธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และส่งเสริมให้คนกินกวาวเครือกันในปริมาณที่สูงมาก โดยให้กินกวาวเครือขาว 250-500 ม.ก. กวาวเครือแดง 500-1,000 ม.ก. กวาวเครือก็ขายดี ชาวบ้านก็ขุดกวาวเครือมาขายกันเป็นตันๆ จนแทบจะหมดป่า ในขณะที่สังคมส่วนหนึ่งก็ยังสับสนในเรื่องความชัดเจนของสรรพคุณ และมีความขัดแย้งทางความคิดกันอยู่
หลายๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาเตือนถึงอันตรายที่เกิดจากการใช้กวาวเครือ ตั้งแต่วงการหมอสูตินรีเวช ก็ออกมาบอกว่าการกินกวาวเครือจะทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอด ในที่สุดคณะกรรมการอาหารและยาจึงออกมาสั่งระงับการใช้ ก็ก่อให้เกิดปัญหาระหว่างทีมแพทย์กับทีมนักวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ตาม หลายๆ หน่วยงานก็ยังได้ให้ความสนใจที่จะพัฒนากวาวเครือ ทั้งมูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนาก็ได้พยายามวิจัยเพื่อให้มีการใช้กวาวเครือกันอย่างจริงจัง และได้สนับสนุนเงินทุนให้กับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อนำมาวิจัยกวาวเครือแบบครบวงจร เพราะในความเป็นจริงเรายังไม่รู้เลยว่าปริมาณกวาวเครือที่กินได้คือเท่าไร ก็ได้ผลวิจัยออกมาว่า การกินกวาวเครือขาวควรกิน 50-100 ม.ก. กวาวเครือแดง 25-50 ม.ก. ซึ่งเป็นปริมาณที่ปลอดภัยที่สุด
กวาวเครือมี 4 ชนิด ได้แก่ กวาวเครือแดง, กวาวเครือมุก, กวาวเครือดำ และกวาวเครือขาว แต่นำมาใช้มากที่สุดจะเป็นกวาวเครือขาว ซึ่งมีสารไฟโตเอสโตรเจน 5 ชนิด มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงที่อ่อนมาก การนำกวาวเครือขาวมาใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์แบบติดต่อกันในระยะยาว จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของฮอร์โมนเพศที่เกิดขึ้นตามปกติของร่างกาย โดยเฉพาะในเรื่องการมีประจำเดือน สำหรับสตรีที่มีประวัติการเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งมดลูกยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากไฟโตเอสโตรเจนความแรงสูง เช่น miroetrol และ deoxymiroestrol อาจไปกระตุ้นให้ก้อนเนื้องอกชนิดที่มีความไวต่อฮอร์โมนเอสโตเจนเจริญเติบโตขยายขนาดได้
การนำกวาวเครือมาใช้เป็นยา ในความเป็นจริงมีการวิจัยเพิ่มเติมทั้งในด้านเคมี เภสัชวิทยา พิษวิทยา และที่สำคํญต้องมีการทดลองในคน และผลการวิจัยต้องออกมาว่าไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษในระยะยาว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นใจการนำกวาวเครือมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อไป การนำกวาวเครือมาใช้ในปัจจุบันยังขาดการควบคุมมาตราน ที่จะทำให้ได้ผลิตภัณฑ์กวาวเครือขาวที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ ขาดข้อมูลความเป็นพิษระยะยาวและพิษเฉพาะระบบสืบพันธุ์ ที่สำคัญยังขาดการทดลองทางคลินิกเพื่อพิสูจน์ประสิทธิผลของกวาวเครือขาว
สำหรับข้อมูลหรือข้ออ้างอิงต่างๆ ที่ออกมาระบุในเรื่องสรรพคุณของกวาวเครือนั้น ก็ดูจะมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ในความเป็นจริงแล้วการนำเสนอสรรพคุณต่างๆ ที่กล่าวอ้างถึงกันนั้น ก็จำเป็นต้องมีข้ออ้างอิงหรือความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนด้วย มิเช่นนั้นแล้วอาจส่งผลเสียต่อกวาวเครือต่อไปในอนาคตได้
การคุ้มครองกวาวเครือต้องหาข้อมูลให้ชัดเจนว่า กวาวเครือมีอยู่ในธรรมชาติโดยประมาณเท่าใด จึงจะกำหนดได้ว่าอนุญาตให้เอาออกจากป่าได้เท่าใดต่อปี และผู้ที่ใช้กวาวเครือเป็นจำนวนมาก โดยหลังจากส่งออกต้องแสดงได้ว่าสามารถปลูกเองได้เท่าใด
ปัจจุบันเรามีกฎหมายออกมาเพื่อใช้คุ้มครองกวาวเครือ คือ "พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย" ซึ่งกฎหมายฉบับนี้เราไม่ต้องการให้เป็นไปในลักษณะควบคุมจนทำอะไรมิได้ หรือส่งเสริมให้เก็บกันจนหมดป่า เจตนารมณ์ของกฎหมายที่แท้จริงของ พ.ร.บ.ฉบับนี้คือการคุ้มครองและส่งเสริม มาตราที่ใช้คุ้มครองและส่งเสริมกวาวเครือ เป็นมาตราที่ 44 ที่ว่าด้วยการคุ้มครองสมุนไพรที่จะสูญพันธุ์ สมุนไพรที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ หรือสมุนไพรที่มีคุณค่าต่อการวิจัย ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกที่เรามีไว้เพื่อทำให้เกิดความชัดเจนในการคงสภาพสมุนไพรให้มีอยู่ต่อไป เพราะเหตุจำเป็นที่เรานำเอาสมุนไพรมาจากป่า ทำให้เกิดความเสี่ยง ถ้าสมุนไพรชนิดไหนดีคนก็จะเอาออกมาจากป่าจนหมด ด้วยเหตุผลนี้เองจึงต้องมีการดูแล โดยไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนในแง่ของการใช้เพื่อการยังชีพของหมอพื้นบ้าน ขณะเดียวกันก็ต้องเอื้อต่อนักวิจัยที่จะไปเอามาวิจัยหรือใช้อย่างรอบคอบ ในส่วนของสมุนไพรที่ใกล้สูญพันธุ์และมีคุณค่าทางการวิจัย ในความเป็นจริงแล้วเราต้องหาข้อมูลว่าจะคุ้มครองประเด็นใดก่อนและทำไมถึงต้องเข้าไปอยู่ในข้อนั้นๆ
สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จะต้องออกมาชัดเจนว่า จะมีวิธีการดูแลกวาวเครืออย่างไรไม่ให้สูญพันธุ์ เพราะการมาบอกว่าอะไรจะสูญพันธุ์หรือไม่ต้องมีข้อมูลที่ชัดเจน ไม่ใช่จะพูดกันง่ายๆ จำเป็นต้องมีการสำรวจในป่าว่ามีกวาวเครือเหลืออยู่กี่ต้น แต่ละปีจะออกจากป่ากี่ต้นโดยประมาณ ถ้าจะมีการขออนุญาตให้คนขุดออกมาก็ต้องเป็นการขุดที่ไม่มีวันหมด เนื่องจากต้องกำหนดปริมาณว่าเท่าไร สำหรับผู้ที่จะขายกันเป็นจำนวนมากๆ ก็อาจแก้ปัญหาดวยการปลูกเอง
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนในสรรพคุณการใช้กวาวเครือ หมดขอแนะนำผู้ที่จะกินให้กินแบบโบราณไปก่อน และต้องกินอย่างระมัดระวัง เนื่องจากกวาวเครือเป็นพืชที่มีฤทธิ์แรง ไม่ใช่กินตามกระแสเพราะอาจส่งผลเสียทั้งกับตัวเองและกวาวเครือได้.
ขุนข่าว จาก หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ...
Create Date : 01 กรกฎาคม 2548 |
|
4 comments |
Last Update : 1 กรกฎาคม 2548 15:45:36 น. |
Counter : 1284 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: wbj 28 กรกฎาคม 2548 18:59:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: nat IP: 124.120.78.52 9 กันยายน 2549 22:17:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: นานา IP: 203.170.228.168 12 กรกฎาคม 2551 9:08:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: พัน IP: 119.42.71.211 5 สิงหาคม 2551 13:55:16 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|