I dont care who you are , where you're from , what you did, as long as we are friends forever
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2559
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
2829 
 
7 กุมภาพันธ์ 2559
 
All Blogs
 

148 นอกหน้าต่าง

ชวนมุง  "นอกหน้าต่าง"  วิทยาลัยของเราค่ะ  (ข้อมูลนี้รวบรวมมาตลอดทั้งปี   อยากเล่าในสิ่งเชิงลึก)


ระบบการสอบเข้า 
1. ข้อเขียน
2. สอบพูดปากเปล่ากับครูตัวต่อตัว

ซึ่งครั้งแรกที่เรียนที่นี่  ไม่ได้เข้าสอบ เพราะว่า .....( ขอย้อนเวลาเมื่อปีที่แล้วนะคะ  จะพาออกนอกหน้าต่างเดินเข้าไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ)

วันแรก ติดต่อเจ้าหน้าที่จุดประชาสัมพันธ์ ต้องการติดต่อห้องเบอร์ ...  พร้อมชื่อผู้ที่ต้องการติดต่อ  (ซึ่งรายละเอียดได้จากทางเมลที่ติดต่อไว้เรียบร้อยแล้ว)
เจ้าหน้าที่ที่วิทยาลัยน่ารักมากๆ   พาไปถึงที่หน้าห้องอย่างกระตือรือร้น  เป็นเด็กสาวหน้าตาสวยมากๆ  (หลังจากยื่นหนังสือเดินทางให้ รปภ. ลงประวัตินะคะ  เพราะที่นี่เข้มงวดมากๆ เนื่องจากทางเข้าออกเป็นทางเดียวกับหอพักนักเรียน ซึ่งเปิด 24 ชม. )

ประตูห้องที่วิทยาลัยเหมือนกันทุกบานเลย  มีเลขกำกับเอาไว้กันหลง (ตอนนี้วิ่งเล่นทั่วตึก สำรวจหมดทุกซอกเลยค่ะ  ฮา)
มีนักเรียนใหม่หลายคนยืนต่อคิว  ใครที่พูดภาษาแม่เหมือนกันก็ชวนคุยกัน  ส่วนเราเด็กไทย หัวเดียวกระเทียมลีบ  มองความสวยของสาวๆ ยุโรปที่แต่งตัวแฟชั่นได้จ๋ามากๆ  อยากพูด อยากคุย แต่ไม่รู้จะแทรกตรงไหน   ได้แต่ถามว่า  "เธอเป็นนักเรียนใหม่ รอสอบใช่ไหม"  แค่นั้น แล้วก็ไม่ได้รับความสนใจจากคนอื่นๆ เลย  (ที่ถาม  เพราะว่าเผื่อรอผิดที่  จะได้วิ่งหาที่รอค่ะ  แต่มั่นใจว่าเรามาถูกที่ล่ะ  เพราะเบอร์ห้องอยู่ตรงหน้าเราเอง  ชัวร์สุดๆ )  

เวลาสอบคือ 11.00  น.  เรามายืนรอเวลา 10.45 น. ตามที่เจ้าหน้าที่ห้องนี้ได้นัดไว้  แล้วก็เห็นเพื่อนนานาชาติร่วมชะตาเยอะมากๆ  
เมื่อใกล้ถึงเวลาสอบ เจ้าหน้าที่ออกมาจากห้อง พานักเรียนใหม่ในส่วนที่ติดต่อกับตัวเอง  (ก็ไปพร้อมๆ กันหมดนั่นล่ะค่ะ)

ภายในห้องสอบ  เลือกนั่งได้ตามใจชอบ ถูกชะตาโต๊ะ เก้าอี้ ริมหน้าต่าง หรือติดผนังก็ตามใจโจ๋ได้เลย

ครู(หลายๆ คน)มาตรงเวลาเป๊ะ  
คำถามแรกคือ
"ยกมือ หากใครเคยเรียนภาษานี้มาแล้ว 1 เดือน"  (ครูก็นับหัว จากนั้นก็แยกไปอีกห้อง)
"2 เดือน"  (ครูก็นับหัว แล้วพาแยกไป)
ครูจะถามจำนวนเดือน  และจำนวนปีค่ะ  มีตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 5 ปี  (เรียนมาแล้ว 5 ปี จะมาเรียนภาษาอีกทำไมเนี่ยะ  เคยถามนะคะ  คำตอบคือ  เขาต้องการฝึกทักษะการฟัง)

ส่วนคนที่ไม่ยกมือ  ครูก็ถาม   คือ   "ไม่ต้องการสอบนะคะ" (ต้องการเริ่มเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล) ครูก็พาเข้าห้องเรียนไปเลย  แล้วครูคนนี้คือครูผู้สอนเราค่ะ    เรากับเพื่อนอีก 5 คนเดินตามครูไปเลย (เพราะเราไม่มีพื้นฐานภาษานี้เลย ถ้าสอบบอกได้เลยคือ มั่วถูก มั่วผิดแน่ๆ  แล้วจะสอบให้ปวดหัวทำไม อีกอย่างไม่คิดว่าจะมีเพื่อนถึง 5 คนที่ไม่ต้องการสอบเหมือนกัน  ดีใจจริงๆ  )  ส่วนคนอื่นๆ ก็สอบกันไป  แล้วหลังเที่ยงจะมีเพื่อนใหม่เข้ามา  รวมๆ แล้วได้ 21 คน

ทำไมถึงมีเพิ่ม ...  (เพราะก่อนสอบครูถามแล้วว่า แต่ละคนมีพื้นฐานมาแล้วกี่เดือน  เมื่อดูจากผลสอบข้อเขียนและการพูดโต้ตอบ  ครูถึงจะจัดระดับให้   แต่ครูบอกแค่ว่า  เราอยู่กลุ่มนี้นะ  ให้เดินไปที่ห้องเรียนเบอร์นี้  แต่ครูไม่บอกว่าเราอยู่ระดับไหน  จะมารู้ตอนที่ครูเริ่มจรดชอล์คบนกระดานสอนเนื้อหา  เรารู้เลยว่าอยู่ระดับนี้นี่เอง
ดังนั้นภาษานี้  เมื่อมีการวัดผลแล้ว ครูจะแนะนำว่าเราเหมาะสมที่จะอยู่กลุ่มนี้ (แต่ไม่บอกระดับ)  เมื่อเข้าไปเรียนแล้ว ปรากฎว่า  ง่ายไปก็ขอย้ายกลุ่ม   จำนวนเปอร์เซนต์ที่เข้าเรียนแล้ว  รู้สึกว่ายาก  ขอลดระดับตัวเองไม่เคยเจอค่ะ  เคยได้ยินครูแนะนำว่า  (หลังสอนและสังเกตการทำแบบฝึกหัดในห้อง หรือบทสนทนา  เมื่อครูเห็นว่า เราทำไม่ได้  ตอบไม่ได้  ครูจะแนะนำว่า  ให้ย้ายระดับที่ต่ำกว่า  ไม่เช่นนั้นคนเรียนจะเครียดแล้วจะพาลไม่มาเรียน เผลอๆ  พาลเกลียดภาษานี้  เกิดความท้อแท้ขึ้นไปอีก การเรียนการสอนไม่เกิดสัมฤทธิ์ผลแน่นอน) คนที่ยอมรับคำแนะนำจากครูอาจจะลองทำตามที่ครูแนะนำ  หรือจะลองพยายามใหม่ครูก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ  เพราะว่า การรับความรู้ หรือความเครียดจากการเรียนเกิดจากสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินใจทำ

ระดับของการเรียนตามมาตรฐาน
A0
A1
A2
B1
B2
C1
C2

แต่การสอนจะแบ่งย่อยจากมาตรฐานอีก  เป็น
A1+
A1++
A2+
A2++
B1+
B1++
B2+
B2++

แบ่งระดับแบบ +  คาดว่าเป็นเพราะให้นักเรียนได้มีโอกาสรื้อฟื้น (วอร์อัพ หรือทวน)ความรู้ก่อนจะเริ่มเรียนจริงจังภายในสัปดาห์ต่อไป  (ขนาดทวนแล้วบางทียังมีลืมเลย  ฮา)

ระยะเวลาเรียน  - แล้วแต่ผู้เรียนค่ะ ว่าต้องการเรียนกี่เดือน  
เปิดเทอมวันแรกพร้อมกันทั่วประเทศ คือ 1 กันยายน  (สอบวัดระดับที่วิทยาลัยก็แล้วแต่ผู้เรียนจะสะดวกมาสอบ มีช่วงดังนี้
1. ระหว่างวันที่ 31 สิงหา ถึง 3 กันยายน
2. ระหว่างวันที่ 11 ถึง 13 มกราคม  *ที่นี่จะมีเบรคช่วงปีใหม่ค่ะ  ส่วนมากจะเปิดจันทร์หลังวันเด็กบ้านเรา  วันที่จะอยู่ระหว่าง 10 หรือ 11 หรือ 12 หรือ 13 )
3. ระหว่างวันที่ 1 ถึง 2 กุมภาพันธ์

บางคนลงเรียนแค่ 1 เดือนก็ได้ค่ะ  ให้มาสัมผัสว่าชอบหรือไม่ชอบ  บางคนก็ลงเรียนเพราะสนใจภาษานี้
บางคนก็ลงเรียน 2 เดือน ก็มีค่ะ   
การเรียนสามารถเรียนได้ระหว่าง 1 กันยายน ถึง 30 มิถุนายน จะเรียนนานแค่ไหนแล้วแต่อำเภอใจ  หรือตามที่ตกลงกับวิทยาลัยต้นทาง

เด็กๆ ชาติไหนที่มาเรียนบ้าง
1. จีน   
2.ญี่ปุ่น    
3 คิวบา
4. เวียดนาม
( เด็ก 4 ชาตินี้มีการจัดห้องให้เฉพาะ คือชาติเดียวกันเรียนด้วยกัน  ไม่มีชาติอื่นปะปน เรียนระดับไหน  ไม่มีระบุเช่นกัน  ส่วนมากที่สังเกตได้คือ  เหมือนมหาวิทยาลัยจากประเทศต้นทาง ส่งเด็กมาเป็นทีมเลยค่ะ  เพราะเด็กๆ เหล่านี้สอบแล้วเอาเกรดไปเทียบกับสาขาที่ตัวเองเลือกมา   เพราะระหว่างพัก ท่องกันงึมงำตลอด แต่ละคนถือโพยกันติดมือ)

จะมีอีกกรณีคือ เช่นกลุ่มของเรา  มีเด็กจีนและญี่ปุ่นปะปนมาด้วย  แต่อายุ 22 ปี  มีพื้นฐานภาษามาแล้ว 2 ปีนิดๆ  มาเรียนตามระยะเวลา (ที่ตัวเองต้องการเรียน)

แบ่งตามทวีป  
1. เอเชีย  เช่น  จีน   ญี่ปุ่น  เกาหลีใต้  ไต้หวัน  มาเลเซีย (เพิ่งมาเจอเทอมของเดือนกุมภาพันธ์ค่ะ  ก่อนหน้านี้ไม่เจอ)
2. ยุโรป   (เยอะมาก) เช่น ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม สเปน  เยอรมนี  อิตาลี เชคฯ ออสเตรีย  โปแลนด์  ฟินแลนด์  กรีซ  ไซปรุส  
3. ออสเตรเลีย  ก็มีเรียนค่ะ
4. ตะวันออกกลาง  เช่น  กาตาร์  อิหร่าน  ตุนีเซีย  ตุรกี  อียิปต์  ซีเรีย
5. มาดากัสการ์   
6. อเมริกา   แคนนาดา
7.  เม็กซิโก

เกรด       5   4   3   2   ตก
บ้านเรา    4   3   2   1    0

การที่จะได้ เกรด 5  นั้นคะแนนคือมากกว่า 90 ขึ้น  (เกณฑ์สูงจัง)  ไม่มีเกรด 4.5  แบบบ้านเรานะคะ

เกณฑ์คะแนนบ้านเราคือ
4       80 -   100
3.5    75  -  79
3       70  -  74
2.5     65  -  69
2       60 -   64
1.5    55  -  59
1       50  -  54
0         0  -  49

บ้านเขา  คะแนนแยกออกเป็น
1. สอบเขียน
2. สอบพูด 
เกรดที่ได้ก็จะต่างกันค่ะ  คือคะแนนพูดกับคะแนนเขียน

ลักษณะการสอน
ครูพูดภาษาแม่เท่านั้นค่ะ  ยอมรับว่า ช่วงเรียนแรกๆ  มกราคมปีที่แล้วร้องไห้ทุกวัน ไม่ก็น้ำตาซึมค่ะ  ร้องไห้จนกระทั่งสอบเสร็จถึงมิุนายน ฟ้าคงเห็นใจเด็กตาดำๆ เลยได้มาเจอกิจกรรมตะพาบที่ทำให้ได้เขียนอะไรก็ได้ตามที่ตัวเองจินตนาการ ได้ถ่ายทอดเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากบทเรียน  ได้เขียนสิ่งที่อยู่ในสมองของเราเอง  ตอนเริ่มเรียนเป็นเวลาเดียวกับที่เริ่มเขียนกับแก๊งตะพาบค่ะ  

วันแรกครูที่สอนอายุ 63 และจะเกษียณเดือนพฤษภาคม (ครูบอก 1 สัปดาห์ก่อนจะลาออก  เลยซื้อเค้กมากินกัน ลงขันเลี้ยงขอบคุณครู) ซึ่งเราคือกลุ่มสุดท้ายที่ครูสอน  ส่วนเดือนมิถุนาก็จับฉ่ายแล้วแต่ว่าครูคนไหนว่างก็เข้ามาสอน  ไม่มีครูว่างก็ย้ายห้องไปเรียนรวมกับครูคนอื่น  ตอนนั้นจับฉ่ายมาก เรียนแบบไม่มีหลักสูตร เพราะครูที่มาแทน  ผ่าตัดหัวใจ  ต้องไปหาหมอ  หากอาการไมดีต้องพักผ่อน  ทีนี้เลย....จับฉ่ายจริงๆ  เช่น
ครูเบอร์ 1 อยากจะสอนอะไร  ก็เอาชีทมาแจก   ครูเบอร์ 2 เอาภาพมาพูด  ครูเบอร์ 3 หรือไม่ก็เอาไปนั่งฟังห้องอื่นสอน  ก็นั่งงงค่ะ  เพราะฟังไม่เข้าใจ  รู้แต่ว่าครูเขียนบนกระดานจดอย่างเดียวเท่านั้น  จดให้หมด  จดไว้ก่อน  จะโดดก็ไม่ได้  เพราะวันที่ 18 กับ 22 มิถุนายนจะสอบ  

ครูทุกคน พูดภาษาอังกฤษได้บ้างค่ะ  แต่ครูจะพยายามหลีกเลี่ยง  ไม่อย่างนั้นแล้ว  นักเรียนจะกลายเป็นกูเกิ้ลแปลทันที

ในห้อง ครูสอนจากหนังสือ ให้ทำแบบฝึกหัด ด้นสดในห้อง ตอบผิดครูจะให้ลองอีกครั้ง ผิดอีกจะบอกคำตอบที่ถูก  หรือเพื่อนคนอื่นตอบแทนให้แล้วคำตอบนั้นถูก  ครูจะทวนคำตอบอีกครั้ง พร้อมบอกที่มาว่า  เพราะอะไรถึงตอบอย่างนี้  หากสงสัยถามครูได้เลย  มีคนแย้งนะคะ  ครูก็อธิบายใหม่อีกครั้ง ยกตัวอย่างบนกระดานให้ค่ะ
ถ้าตอบถูก  ครูจะถามว่า ทำไมถึงตอบอย่างนั้น  เราต้องอธิบายได้ค่ะ  เพราะบางทีก็มั่วถูก  ครูจะอธิบายให้ว่าจริงๆ แล้วเพราะคำๆ  นั้นต่างหาก  
ครูจะถามเรียงตัวเลยค่ะ  ทุกคนโดนหมด  ผิดถูกไม่ว่า  ขอให้ได้คิดแล้วพูดออกมา
ครูจะให้อ่านโจทย์เองด้วยนะคะ  อ่านช้าหรือเร็วไม่ว่า  เพราะพื้นฐานแต่ละคนต่างกัน  ออกเสียงผิดครูก็ทักตรงนั้นเลยค่ะ  เราต้องอ่านทวนซ้ำคำนั้นๆ  จากนั้นก็คิ้วขมวดคิดๆ  แล้วตอบ   ซึ่งคนที่ไม่มีพื้นฐานอย่างเรา พยายามคิดให้เร็วแล้วตัดสินใจตอบไปเลย  แรกๆ ก็อายที่ตอบผิด  ขากรรไกรค้าง  พูดตะกุกตะกัก  ครูจะยิ้มให้เสมอ  บางทีมีพรายกระซิบบอก  ครูก็จะทำเสียง ชี่ ชี่  แล้วรอคำตอบจากเราค่ะ  (มีแน่นอนที่บางคนใจไว อยากให้เราตอบเร็วๆ  แต่เมื่อได้มาอยู่กลุ่มเดียวกันแล้ว  พื้นฐานจะมามากจะน้อย ก็ต้องคอยเพื่อนร่วมห้องค่ะ  ไม่อย่างนั้นคนๆ นั้นก็ขอย้ายห้องไปเรียนห้องที่สูงกว่าได้เลย  ไม่มีใครว่าอะไร)
เมื่อตอบถูก  ครูจะชมว่า "เก่งมาก"  หรือ  "เยี่ยมมาก"   เราก็จะปลื้มเลย  เย้ๆ  ตอบถูกดีใจจัง   

กิจกรรมในห้อง  
1.ทำแบบฝึกหัดด้นสดในห้อง 
2.จับคู่สนทนาตามคำศัพท์ในบทเรียน  แต่เราต้องพูดโดยไม่มองหน้งสือ
3. บางครั้งอ่านบทความให้จำตามบรรทัดที่ครูกำหนด  เช่น คนแรก จำ 4 บรรทัด  คนที่ 2 ก็จำประโยคถัดมา 4 บรรทัดให้ครบระโยค  คนที่ 3 จำต่อๆ  กันไป  จนครบทุกคน
4.  บางครั้งทำแบบฝึกหัดในเศษกระดาษ เช่น ให้เติมคำในช่องว่าง
5. บางครั้งให้สร้างบทสนทนาเอง โดยยึดจากบทสนทนาแล้วเปลี่ยนสิ่งที่จะถาม และตอบ
6. เราชอบกิจกรรม คือ  โยนตุ๊กตาหมี (บางคนก็บอลเล็กๆ ค่ะ) โยนให้ใครคนนั้นต้องตอบโจทย์ค่ะ  บางทีก็เล่นคำ  เช่น
บอกคำคุณศัพท์
บอกคำศัพท์เพศชาย 
บอกคำศัพท์เพศหญิง
บอกคำศัพท์เพศกลาง
บางทีก็  บอกการเปลี่ยนรูปตามไวยากรณ์ที่ 6 ของเพศชาย
บอกสี
บอกชื่อเพื่อนในห้องเพศตรงข้าม  
เพราะในหัวต้องรีบคิด ไม่รู้จะแจ็คพ็อคที่เราไหม  ซึ่งเราสามารถโดนแจ็คพ็อตได้ตลอดเวลาค่ะ  ไม่ใช่ว่าตอบแล้วหมดกรรมนะคะ  ฮา  สนุกดีเราชอบ  ได้ตื่นตัวตลอดเวลา


ชั่วโมงในการเรียน  เรียน 4 วันต่อสัปดาห์ 
เรียนจันทร์ - พฤหัส  บางกลุ่มเรียน จันทร์ - พุธ  และศุกร์  (พฤหัสหยุด)
9.30 - 11.00  พัก  10 นาที
1.10  -  12.40  กินข้าว 40 นาที
13.20 - 14.50   กลับบ้านได้เลย

การบ้าน
ครูให้การบ้านเยอะพอสมควรค่ะ  แต่ละแบบฝึดหัดจะมีข้อย่อย  แต่ก็ไม่ได้เยอะจนเครียด   
ทุกคนต้องมีสมุดการบ้าน  แรกๆ ครูจะบังคับให้ส่ง หลังจากเฉลยการบ้านแล้ว  พอหลังพักกินข้าวครูจะเอามาคืนพร้อมแก้สิ่งที่เราสะกดผิดค่ะ   เรานี่แดงเถือกเลย  ต้องระวังในการเขียนอย่างสูง    ผิดแล้วต้องแก้คือเขียนใหม่นะคะ  เพื่อที่จะได้จำได้ค่ะ
การบ้านไม่บังคับใครจะทำหรือไม่ทำก็ได้  บางคนก็ด้นสดในห้อง  ครูไม่ว่าอะไร  เพราะผลที่ได้คือตัวของเราเอง  อีกอย่างเสียเงินเรียนแล้วมันคือสิทธิของเรา
แต่ใครส่งการบ้านครูจะจำแม่นเลย  เพราะครูจะรู้ว่าเราวิวัฒนาการอย่างไร ผิดส่วนไหนบ่อย  ครูจะแนะนำให้ค่ะ  แต่เราฟังครูไม่ออก  เสียใจจัง

เชคเวลาเรียน
มี 3 คาบก็เชคตามเวลาที่เข้าค่ะ  ใครมาสาย มาเร็วครูจำได้หมด
เวลาเรียนมีผลกับใบประกาศนียบัตรค่ะ  เพราะใบประกาศฯ จะระบุว่าเราเข้าเรียนมาแล้วกี่ชั่วโมงพร้อมผลสอบ  บางคนขาดเรียนบ่อย ไม่มีสิทธิสอบก็ไม่ได้ใบประกาศฯ  เสียดายเงินแทน  

เราชอบเด็กจีนมากค่ะ  ส่วนมากมาเรียนกันแต่เช้าเลย มาแล้วก็อ่านหนังสือ ทวนการบ้าน  เด็กจีนแทบจะไม่โดดเรียน เหมือนมีเป้าหมายว่าต้องเรียนให้ได้ในระดับ ที่ดี  ไม่ใช่แค่ผ่าน

พักกลางวัน  เด็กที่นี่ 95%  คือเด็กหอ  ส่วนมากจะกลับไปกินข้าวที่หอพักซึ่งติดกับตึกเรียนเลย  ไม่ไกล  (ไม่ต้องฝ่าลมหนาวด้วย) โรงอาหารที่นี่มีห้องเดียว ขายเหมือนไลน์อาหาร คือ ชี้ว่าต้องการเมนูไหน พนักงานจะตักให้ค่ะ  ปีนี้ไม่มีน้ำร้อนฟรี  ขายพร้อมชาและกาแฟเท่านั้น

เด็กนักเรียนที่นี่ส่วนมากจะพกกระบอกน้ำร้อนกันค่ะ  ระหว่างเบรค 10 นาทีก็จิบชา  เรียนๆ กระหายน้ำก็จิบชาไป



พามามุงนอกหน้าต่างครึ่งปีแรกค่ะ  สอบเสร็จแล้วหัวโล่งมาก  เราจดสิ่งที่ไม่เข้าใจค้นหาทางอินเตอร์เน็ต  ซึ่งเจอการสอนของ ม.รามฯ ตามยูทูปค่ะ  ถึงได้มีโอกาสมาทวนอีกครั้งด้วยภาษาไทย  ดีใจสุดบรรยาย หาฟังไปเรื่อยๆ   แต่มาเจอหลังเรียนเสร็จแล้ว  เลยได้ทวนสิ่งที่ไม่เข้าใจแทน

อุปสรรคของเราคือ  พจนานุกรมค่ะ  เราใช้พจนานุกรม รัสเซีย - อังกฤษ  ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ  ดังนั้นเมื่อเปิดพจนานุกรมแล้วไม่เข้าใจความหมาย ต้องเปิดกูเกิ้ลจากภาษาอังกฤษ เป็นไทยอีกรอบ  มันทำให้เราใช้เวลามากกว่าคนอื่น  กว่าจะเข้าใจโจทย์ครูก็พาไปข้อต่อไปแล้ว  เพราะเพื่อนๆ เขามีพจนานุกรม  รัสเซีย - ภาษาแม่ของเขาเอง (จีนมีทอร์ดกิ้งดิกฯ อิจฉามาก แต่เราก็ฮึด  ในเมือมีอย่างนี้ ก็ต้องอาศัยความพยายาม(ลูกบ้า)มากกว่าคนอื่นหลายเท่า  และหนักด้วย  กว่าจะเปิดหาหรือเทียบคำศัพท์แต่ละตัวที  ปาดหน้าผากทุกทีค่ะ  แล้วพจนานุกรมก็มีไม่ครบทุกคำอีกด้วย  เราต้องเปิดเว็ปแปลของรัสเซียอีกทีหนึ่ง  คือ  yandex.ru  เข้า  yandex translater  ถึงจะเข้าหาคำศัพท์ได้ค่ะ)
เราเห็นพจนานุกรมของเพื่อนๆ ร่วมห้อง  รวมทั้งเตร่ไปห้องอื่นๆ  ตอนพัก เห็นแล้วรู้สึกอิจฉา  เพราะไม่ต้องมาปวดหัวแบบเรา (มีโอกาสได้คุยกับเด็กชาติอื่น ภาษาใบ้ก็เอาค่ะ  เราจะได้มีเพื่อน สนุกกับการเรียน  พักก็คือพัก)

การหาเพื่อนที่วิทยาลัย  เมื่อเราพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง  เพื่อนก็ไม่ได้  แต่เราเรียนภาษานี้ด้วยกัน  ดังนั้นเราจึงพยายามหัดพูด  ต่างคนต่างหัด พูดผิด พูดถูก  มารู้ตัวว่าพูดผิดก็เมื่อเรียนในห้อง  ทำให้จำแม่นขึ้นไปอีก  บางทีจะพูดคำๆ นี้ก็เปิดพจนานุกรมเลย  สนุกดีค่ะ  แม้จะเครียดมาก (เกินบรรยาย) การบ้านทำถูก ทำผิดก็ตาม  แต่ได้มีโอกาสลุยลมหนาวไปเรียน  (ไปช่วงหน้าหนาวพอดีค่ะ  ป้องกันตัวเองเต็มทีไม่ให้ป่วย  ถ้าป่วยแล้วขาดเรียน  ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก)  แล้วยิ่งมารู้ว่า หัวเดียวกระเทียมลีบ   เอาล่ะ  สู้อย่างเดียว....


ห้องเรียน 
ใช้ชอล์ค  กับผ้าเปียกหมาดๆ ที่แม่บ้านเตรียมให้ทุกเช้าค่ะ  ไม่ใช้แปรงลบกระดานเพราะฝุ่นฟุ้ง

การจัดโต๊ะ  (ดูตามรูปนะคะ)
แถวริมผนัง  แถวกลาง และริมหน้าต่าง แถวละ 4 ตัว  นั่งคู่ค่ะ
ฉะนั้น 1 ห้องรองรับนักเรียนได้  24  คน  

ช่วงเปิดเทอมแรกๆ  ปีที่แล้ว จะมีคนย้ายเข้า ย้ายออกวุ่นวาย จนต้องเล่นเก้าอี้ดนตรี  หรือยกเก้าอี้จากห้องอื่นมาเรียน  ใครมาช้าก็ต้องแบ่งโต๊ะกัน    
ยิ่งห้องเรียนระดับกลาง - สูงๆ  มีแต่คนย้ายเข้ามาค่ะ  บางครั้งหายใจแทบจะรดแก้มกันเลย  เพราะต้องนั่นเบียดกัน  จนครูต้องบอกว่าห้องเต็มแล้ว กลับไปเรียนกลุ่มเดิมก่อน   เด็กยุโรปเป็นคนประเภทที่ "ไม่ยอม"  หรือจะพูดให้ถูกคือ "อีโก้สูง"  จะอ้างว่า  ได้บอกครูที่สอนแล้วว่าขอย้ายห้อง  (แต่มาสาย คนอื่นก็จับจองกันแล้ว)  ซึ่งครูก็บอกว่า  หาที่ว่างนั่งได้เลย และหนังสือก็ใช้ไม่เหมือนกัน   (เพราะคนที่เขาอยากจะย้ายก็แบ่งกันคนที่เรียนเดิมอยู่แล้ว)  นี่คือการปราบเด็กยุโรป  คือให้เขาจำนนด้วยตนเอง  

เมื่อย้ายห้อง ชื่อของเราได้ถูกเขียนในห้องนั้นแล้ว  หากย้ายห้องโดยไม่ติดต่อครูที่ทำใบย้ายชื่อ  ห้องใหม่ไม่มีชื่อแน่นอนค่ะ  ต้องทำเรื่องย้ายชื่อถึงจะย้ายตาม  แล้วครูจะบังคับให้ไปติดต่อ  ไม่อย่างนั้นเท่ากับว่าเวลาเรียนไม่พอ ไม่มีสิทธิสอบ
เคยเจอกรณีแบบนี้มาแล้วค่ะ  คือ  ชื่่ออยู่ห้องที่ 1  แต่ตัวเองไม่ถูกใจ ย้ายห้องไปห้อง 2 ที่ยากกว่านี้  ไม่ทำเรื่องย้าย  จนกระทั่งครูบอกว่า ใครไม่สิทธิสอบเลื่อนระดับ ถึงได้เด้ง  เพราะบางวันที่เด็กไม่มาเรียน ครูไม่มีสิทธิคิดเองว่า  เด็กคงไปเรียนห้องเดิม  คือเรื่องของตัวเองต้องใส่ใจ  จะให้ครูมาตามให้  ก็ใช่เรื่อง

การสอบ

มกราคม - กลางกุมภาพันธ์  เรียน  A0   แล้วสอบเลื่อนระดับเป็น   A1  
(จำได้แม่น  สอบวันจันทร์ที่ 16  กุมภาพันธ์  วันนั้นกลุ้มมาก กลัวสอบไม่ผ่าน ได้ซ้ำชั้นแน่ๆ ) เมื่อสอบแล้วครูจะทวนให้อีกรอบ หากมีคนทำคะแนนได้น้อย
จากนั้นสอบเลื่อนระดับอีกครั้ง เป็น  A2  สอบต้นพฤษภาคม
และสอบปลายภาค คือวันพฤหัสที่ 18 และจันทร์ที่ 22  มิถุนายน  เป็นการสอบระดับ  A2  ปิดเทอมกลับบ้าน (เหลือเพื่อนแค่ 8 คน จาก 21 คน) ซาโยนาระ  เอ๊ย ...  ดา สวิดะเนี่ยะ

---------------------------------------------------------------

เราเรียนต่อ  ก็มาสอบวัดระดับวันที่ 31 สิงหาคมปีที่แล้วค่ะ  ความรู้ที่เรียนลืมหมด  มาทวนก่อนสอบแค่อาทิตย์เดียว 
เราได้เรียนพร้อมเพื่อนจากกลุ่มเดิม  (รวมเราด้วย  4  คน)  เลยเหมือนกับว่า  เรา 4 คนเรียนมาด้วยกันครบปีพอดี (สนิทกันมากๆ อายุก็ไล่เลี่ย) พอมาปีใหม่  เหลือแค่เรากับเพื่อนจีน แค่ 2 คน  เพราะตามความสะดวกและจุดมุ่งหมายของแต่ละคนค่ะ

ภาพห้องเรียน ถ่ายเก็บไว้  หลังตกแต่งวันคริสต์มาส สัปดาห์ที่ 14 - 17 ธันวาค่ะ  ก่อนหน้านั้นตกแต่งไปแล้ว  ไม่รู้ใครมือดี โดนขโมยสายรุ้ง ขโมยแบบกระฉากให้เห็นที่ขาดให้ดูไว้ต่างหน้าค่ะ  (ครูซื้อมาเองทั้งหมด)  จากนั้นครูเลยให้พวกเราทำกันเอง  โดยสอนศัพท์พวกนี้ไปด้วย  การตัดกระดาษ  การแปะ  การดึง  กระดาษสี  กรรไกร  กาว ขยะ  ฯลฯ

เหนือกระดานดำ  คือฝีมือของพวกเราเองค่ะ มองไม่ค่อยชัดเนอะ

C новым годом
เซอะ  โน๊วึ่ม  โกดั่ม
สวัสดีปีใหม่
(เราตัดกระดาษ ตัว โอ  อักษรที่ 4 นับจากข้างหลังค่ะ)




กระดานพับได้นะคะ  ด้านหลังก็เขียนได้ค่ะ  เขียน 5 ด้านเลย

หน้าต่าง   พับกระดาษทิชชู่ทบๆ  แล้วตัด  พอกางออกเลยได้ลายแปลกๆ    ของเราติดกับตุ้มสีชมพูค่ะ  (แต่ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว  เขาเปลี่ยนกระจก)



ในห้องมีฮีทเตอร์ 2 ตัว  สีขาวๆ  (ถ่ายไม่ติดโต๊ะตัวที่ 4 หลังห้องสุด)

ตอนนี้หน้าต่างได้ถูกเปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นสมัยใหม่แล้วค่ะ  กำลังย้ายห้องเรียนจ้าละหวั่น  ต้องดูประกาศที่บอร์ดว่ากลุ่มเราจะได้เรียนชั้นไหน 1 ใน 4 ชั้น  ถ้าได้กลับไปห้องเดิมจะถ่ายรูปมาให้ดูความแตกต่างหน้าต่างสมัยเก่า กับใหม่ว่าต่างกันอย่างไร

*นอกหน้าต่างมืดค่ะ  เพราะตะวันยังไม่โผล่

ฝั่งทางเข้าค่ะ  แรกๆ เล่นเอามาพันหัว ถ่ายรูปกับสนุก บางคนก็เอาเส้นทองๆ มาพันเป็นนางงามจักรวาลเล่นกันไป เล่นกันมา สนุกดีค่ะ  




หลักกิโลเมตรนี้  เขียนยาวเลย  
ตกหล่นส่วนไหนที่ชาวตะพาบอยากรู้  ถามได้นะคะ  จะไปค้นมาให้







 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2559
16 comments
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2559 23:22:14 น.
Counter : 1292 Pageviews.

 

อ่านแล้วทำให้ผมได้ยิ้มเลยครับ รู้สึกเหมือนได้มองและได้คิดถึงตัวเองในอดีต ตอนไปเรียนที่จีน ซึ่งมีบางจุดคล้ายๆ กัน ของผมไปตอนที่มีความรู้ระดับหนึ่งแล้ว ถือเป็นหนึ่งในคนไทยไม่กี่คนที่ไปแล้วเริ่มเรียนระดับกลางเลย ส่วนใหญ่คนไทยไปเรียนระดับต้นแทบทั้งนั้น

ตอนผมอยู่จีนครูเคี้ยวเหมือนกันนะ โทรศัพท์ตามตัวถึงบ้านเลย ถ้าไม่เข้าเรียนแล้วไม่โทรศัพท์แจ้งก่อนเข้าเรียน แกโทรศัพท์ตามตอนช่วงพักเลยนะ

เอาเข้าจริงๆ ไม่ดีเลยที่เจอแบบจับฉ่ายแบบนั้น มันไม่มีครูที่แน่นอนแล้วไม่รู้เอาไงดีเลย

รู้สึกไม่ค่อยเกี่ยวกะบล็อกนี้เท่าไหร่แต่อยากแชร์น่ะ


+

 

โดย: คุณต่อ (toor36 ) 9 กุมภาพันธ์ 2559 0:28:24 น.  

 

มาทักทายและอ่านงานตะพาบค่ะ

 

โดย: sawkitty 10 กุมภาพันธ์ 2559 7:04:54 น.  

 

แวะมาทักทายชาวตะพาบค่ะ

 

โดย: kai (aitai ) 10 กุมภาพันธ์ 2559 17:49:36 น.  

 

บรรยายได้ดีเห็นภาพเลยค่ะ ภาษารัสเซีย? ถูกไหมคะเดาว่าคงจะยากน่าดู แต่ไม่น่าจะยากมากไปกว่าเยอรมัน ฝรั่งเศส และภาษาอิตาลี รึเปล่า ? ฮ่าๆๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ ภาษาเป็นเรื่องสนุกค่ะ เพราะมันเหมือนกับเราได้เปิดโลกอีกใบให้ตัวเอง ได้มีเพื่อนมากขึ้น สื่อสารได้มากขึ้น เผลอๆได้งานที่ดีกว่าคนอื่นๆด้วย เพราะภาษานี่ล่ะค่ะ ให้แต่คุณ ล้วนๆเลย สู้ๆนะคะ

 

โดย: Max Bulliboo 10 กุมภาพันธ์ 2559 18:29:15 น.  

 

ตื่นเช้ามา แปะหัวใจให้ก่อนเลยค่ะ

 

โดย: sawkitty 13 กุมภาพันธ์ 2559 6:24:40 น.  

 

คุณได้ทำการแปะ ให้กับคุณ SeaSnow เรียบร้อยแล้วนะคะ

ค่อย ๆ อ่าน กว่าจะรู้ว่าเรียนภาษาอะไร... ดูแล้วชีวิตต้อง
สู้มาก ๆ เลยครับ ยกนิ้วให้เลย

 

โดย: ไวน์กับสายน้ำ 13 กุมภาพันธ์ 2559 12:51:41 น.  

 

มาแปะหัวใจให้แล้วค่ะ

คิดถึงลูกสาวแม่ซองฯ แต่งงานไปอยู่เยอรมัน
เขาบังคับต้องเรียน
ก็เริ่มต้นแบบไม่มีพื้นฐานเหมือนกัน
แต่เขาสอบได้เกรดเยี่ยม เลยจบเร็วกว่าเพื่อนต่างชาติคนอื่นๆ
ตอนนี้เริ่มพูดเก่งแต่ ยังเขียนไม่เก่งค่ะ

 

โดย: ซองขาวเบอร์ 9 13 กุมภาพันธ์ 2559 20:59:36 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่ต่อ ตอนนี้ก็ยังมึนๆ อยู่ค่ะ ศัพท์เข้ามาจนจะลืมศัพท์เก่า ต้องหมั่นทวน แต่บางเวลาก็อยากอ่านหนังสือการ์ตูนค่ะ ปีที่แล้วเครียดมาก ปีนี้ปล่อยวางค่ะ ไหลไปเรื่อยๆ

สวัสดีค่ะพี่สาว เมื่อวานเข้าไปอ่านงานของตะพาบช่วงดึกๆ แปลกตรงที่แปะหัวใจ แต่เม้นไม่ได้ คือแปะแล้วต้องปิดหน้าต่าง ถึงจะเม้นท์ได้ ไม่รู้ว่าหัวใจจะแปะได้ไหม แต่จำนวนมันก็ลดนะคะ (หรือเป็นเฉพาะ IP ของทางนี้) ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมค่ะพี่สาว

สวัสดีค่ะคุณ kai แค่เข้ามาอ่านก็ดีใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณ Max Bulliboo กับคุณ ไวน์กับสายน้ำ
้ถูกต้องค่ะ หนูเรียนภาษารัสเซียนค่ะ ขอบคุณมากๆ ที่อ่านจนจบ ดีใจจัง (เพราะพอดี๊ พอดีเขียนไปป๊ะกับกระทู้แนะนำในพันทิป แล้วก็...ตามนั้นเลยค่ะ)

 

โดย: SeaSnow 13 กุมภาพันธ์ 2559 22:31:28 น.  

 

มาเยี่ยมเยียน หลังอัพบล็อกใหม่ค่ะ

 

โดย: sawkitty 15 กุมภาพันธ์ 2559 17:38:24 น.  

 

สุดยอดมากเลยค่ะ ละเอียดดีเลยนะคะ

+ส่วนอันนี้ https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=seatalay&month=09-02-2016&group=117&gblog=67

นอกหน้าต่างของบ้านซีทะเลค่ะ เกี่ยวกับการเรียนเหมือนกันเลยค่ะ

 

โดย: kae+aoe 17 กุมภาพันธ์ 2559 15:50:28 น.  

 

แปะใจค่ะ

อัมพวาไปเองไม่ยากค่ะ
มีรถตู้ออกที่อนุเสาวรีย์ด้วยค่ะ

 

โดย: newyorknurse 20 กุมภาพันธ์ 2559 5:01:12 น.  

 

โหวดสาขา Education Blog

 

โดย: newyorknurse 20 กุมภาพันธ์ 2559 5:28:39 น.  

 

แปะใจให้ค่ะ แต่ก็อบวางไม่ได้ค่ะ

ขอบคุณที่ไปทักทายพร้อมแปะใจให้นะคะ

สุขสันต์วนเสาร์ค่ะ

 

โดย: กิ่งฟ้า 20 กุมภาพันธ์ 2559 14:19:48 น.  

 

มาแปะหัวใจจ้า

การเรียนภาษานี่ ถ้าเราเป็น Beginner เลยนี่ก็ตื่นเต้นมากเลยนะคะ ยังจำได้ตอนที่ไปเรียนญี่ปุ่น ตอนนั้นจะพูดจะทำอะไรก็กล้าๆกลัวๆ

แต่ตอนนี้อยากหักพูดภาาาอังกฤษให้คล่อง ยังกล้าๆ กลัวๆเลย

 

โดย: ชลบุรีมามี่คลับ 20 กุมภาพันธ์ 2559 15:57:27 น.  

 

สวัสดีค่ะ..

ยินดีที่ได้รับหนังสือแล้ว...

แม้ว่าจะยังไม่ได้อ่านก็เถอะ..

ถ้ากลับมาเมืองไทย ค่อยนัดเจอกันสักครั้งก็ดีนะค่ะ

รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ

 

โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) 21 กุมภาพันธ์ 2559 18:47:41 น.  

 

จูลาสิค พาร์ค ภาค 1 เป็นเรื่องที่มี้เก๋ดูตอนจบ ม.3 จะเรียน ม.4 จำได้เลยค่ะ เป็นหนังเรื่องแรกที่ไปป่าป๊าของน้องซี ไม่ใช่ 2 ต่อ 2 นะคะ เป้นแบบเพื่อนๆ ไปดูกันเป็นกลุ่ม แต่แอบเก็บความประทับใจไว้ว่าเป็นหนังเรื่องแรกของเรา หุหุ

ท้องฟ้าจำลอง อยากพาซีไปมากค่ะ ซียังไม่เคยไปเลย จะไป จะไป แต่ก็ไม่ได้ไปสักที ต้องรีบไปตัดหน้าเอารูปมาอวดซะแร้ววววว

ดีใจที่แวะไปบล็อกนะคะ เม้นน่ารักๆ อ่านแล้วยิ้มตามค่ะ

 

โดย: kae+aoe 22 กุมภาพันธ์ 2559 15:36:10 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


SeaSnow
Location :
ชลบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




คิดในแง่ดีๆ ดีกว่ามานั่งจำสิ่งที่พลาดไป
Friends' blogs
[Add SeaSnow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.