|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ตอบ - ภาพในสมาธิ และร่างกายเคลื่อนไหวไปเองขณะจิตเข้าภวังค์
เรื่อง ขอคำแนะนำ+แนะแนวทางด้วยค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่าน้องนั่งสมาธิ แล้วน้องได้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งยังเด็ก เล่าให้พี่ ๆ เค้าฟัง บ้างคนก้อว่า น้องจิตนิ่งดีแล้วที่ได้เห็น แต่มีบ้างคนว่า สิ่งที่น้องเห็นเป็นเพียงภาพลวงตา เป็นการหลอกจากจิตของเรา
*** ท่านเจ้าอาวาส บอกน้องว่า "นั่งได้เดี๋ยวเดียว ก้อลงไปกลิ้งแล้ว ท่านว่า น้องนั่งไม่ทน" ซึ่งในขณะนั้น น้องไม่รู้ตัวและบังคับตัวเองไม่อยู่แล้ว ถือศีลอุโบสถ น้องจะไปนั่งสมาธิที่วัดค่ะ ได้ไปปฏิบัติจริง
*** พี่ ๆ คะ จริงหรือคะที่จิตหลอก ให้เห็นภาพ และ สิ่งที่เห็นนั้น เป็น ภาพลวงตา
*** กรุณาไขปัญหานี้ให้น้องด้วยนะคะ พี่ ๆ กราบขอบคุณมากค่ะ รู้สึกว่า เราหลงทางหรือเปล่าที่กำลังปฏิบัติ ตอนนี้น้องปฏิบัติ คนเดียวแล้ว ไม่กล้าไปร่วมกลุ่ม เหมือนเราเป็นแกะดำไงไม่รู้ เจอในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เจอ เขามอง เราเป็นตัวประหลาดดดดด แต่น้องก็ไม่ท้อ ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงให้ได้ ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็น อะไรกันแน่ น้องฟังหลวงพ่อปราโมทย์ ให้ตามรู้กายรู้ใจ ให้มีสติ พี่ ๆ คะ ปฏิบัติคนเดียว โดยไม่มีอาจารย์อยู่ด้วย มีอันตรายไหมคะ? แล้วพี่ ๆ ทุกท่าน เคยเจออย่างน้องไหม มาแชร์ความรู้สึกกันดีกว่านะ ให้น้อง ได้ศึกษา สิ่งที่พี่ ๆ ได้เจอบ้างนะคะ
** อย่าลืมนะคะพี่ ๆ นักปฏิบติแรกเปลี่ยนประสบการณ์กันค่ะ ให้พี่ ๆ ที่ยังไม่เคยรู้ได้รู้ด้วย ก้อดีนะคะน้องว่า กราบขอบคุณมากค่ะ พี่ ๆ ที่กรุณามาช่วยชี้นำทาง น้องเพิ่งหัดปฏิบัติ เจออะไรที่ไม่มีใครเขาเจอเขาเคยพบ น้องเลยกลายเป็นตัวตลกในสายตา คนหลาย ๆ คู่ ...
***************************
ขอตอบเจ้าของกระทู้ดังนี้ครับ
จากเนื้อหาที่ถามมาสามารถแยกออกเป็นคำถามได้หลายข้อ ดังนั้นจึงขอแบ่งออกเป็นข้อๆ และจะตอบไปทีละข้อดังนี้ครับ
ถาม/ปัญหา ๑ : เรื่องมีอยู่ว่าน้องนั่งสมาธิ แล้วน้องได้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งยังเด็ก เล่าให้พี่ ๆ เค้าฟัง บ้างคนก้อว่า น้องจิตนิ่งดีแล้วที่ได้เห็น แต่มีบ้างคนว่าสิ่งที่น้องเห็นเป็นเพียงภาพลวงตา เป็นการหลอกจากจิตของเรา
ตอบ/เสนอแนะ : เรื่องนี้ต้องดูว่าน้องเห็นภาพตอนจิตสงบลงไปแค่ไหนครับ เพราะหากการเห็นภาพเกิดจากตอนที่จิตยังไม่สงบลงเป็นฌาน ภาพที่เห็นนั้นจะจัดเป็นนิวรณ์ คือ เครื่องกั้นที่มารบกวนจิตใจให้เสียสมาธิไป ไม่ให้จิตเป็นสมาธิตั้งมั่นแน่วแน่ครับ เหมือนกับเวลาที่เรามีเรื่องอะไรกังวลใจหรือติดใจมากๆ พอเวลาเรานั่งสมาธิกำหนดอยู่ที่คำบริกรรม แล้วอยู่ดีๆ ภาพหรือความคิดต่างๆ ก็จะปรากฏขึ้น ฟุ้งขึ้นแทรกเข้ามาครับ พอเราไม่มีสติระลึกรู้เท่าทัน จิตเราก็จะไหลไปอยู่กับความคิดอยู่กับภาพนั้น ตอนนั้นจิตเราก็เสียสมาธิวอกแวกไปแล้ว สิ่งเหล่านี้จัดว่าเป็นความทรงจำ(สัญญา)ที่มันคลายตัวออกมาเองก็ได้ครับ ดังนั้นหากความคิดหรือความทรงจำต่างๆ เกิดขึ้นมาเองอย่างนี้ ให้จัดการละเสีย คือ ไม่ต้องไปสนใจ ให้กลับมาจดจ่ออยู่กับอารมณ์กรรมฐานของเราต่อไปครับ เพราะอย่าลืมว่ากิจของเราที่มานั่งสมาธิไม่ใช่มาเห็นภาพความทรงจำอะไร แต่ให้มาอยู่แต่คำบริกรรมหรืออารมณ์กรรมฐานแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับ
ทีนี้ในทางตรงกันข้าม หากภาพต่างๆ ความคิดต่างๆ เกิดขึ้นจากจิตที่สงบลงไปเป็นฌานแล้ว ตรงนี้เรียกว่าเป็นการฝึกวิชชา หรือเป็นวิชชา หรือเป็นโลกียญาณที่เกิดขึ้น ซึ่งจะไม่ใช่นิวรณ์แต่อย่างไร วิชชาต่างๆ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เกิดจากการเกิดขึ้นมาเอง แต่จะเกิดจากการฝึก ด้วยการน้อมจิตไป หรือตั้งเจตนาไปคิดหรือไปเห็นครับ ผู้ที่จะเป็นอย่างนี้ได้จิตจะต้องสงบลงเป็นฌานเสียก่อน ซึ่งจะเป็นฌานได้ต้องมีสภาวะขององค์ฌานต่างๆ ปรากฏออกมา ไม่ว่าจะเป็น วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ผู้ปฏิบัติหากไม่เข้าใจตรงนี้ ไม่สามารถแยกออก ก็จะสับสนกับความคิดความทรงจำที่เป็นนิวรณ์ได้ครับ
ถาม/ปัญหา ๒ : ท่านเจ้าอาวาส บอกน้องว่า "นั่งได้เดี๋ยวเดียว ก้อลงไปกลิ้งแล้ว ท่านว่าน้องนั่งไม่ทน" ซึ่งในขณะนั้น น้องไม่รู้ตัวและบังคับตัวเองไม่อยู่แล้วถือศีลอุโบสถ น้องจะไปนั่งสมาธิที่วัดค่ะ ได้ไปปฏิบัติจริง
ตอบ/เสนอแนะ : ข้อนี้เป็นที่น่าสนใจมากๆ รวมทั้งเป็นเรื่องที่ควรระมัดระวังมากๆ ปัญหาของเรื่องนี้เท่าที่อ่าน คือ น้องจะมีอาการเกลือกกลิ้ง คล้ายคนทรงเจ้า หรือร่างทรงเวลาองค์ลง ที่เขาแห่งานกินเจ หรือสำนักทรงต่างๆ ปัญหาตรงนี้มีสาเหตุมาได้หลายอย่าง ซึ่งในที่นี้จะขอแนะนำให้ตรวจสอบ ๒ ประการ คือ
ประการที่ ๑ ตรวจสอบดูวิธีการเจริญกรรมฐาน ว่าที่ทำอยู่เป็นอย่างไร เพราะจะมีกรรมฐานบางอย่างที่เวลาฝึกจะมีวิธีการคล้ายสะกดจิต หรือปลูกฝังจิตใต้สำนึกของผู้ฝึกให้น้อมไปในทางที่จะให้แสดงท่าทางแปลกๆ หรือเหมือนกับให้มีร่างทรงประทับ ซึ่งตรงนี้พอสั่งจิตไปเรื่อยๆ พอจิตเข้าภวังค์จิตจะทำตามที่เราตั้งเจตนาเอาไว้ ท่าทางต่างๆ ก็จะออกมาได้เองครับ หากเป็นกรรมฐานที่ฝึกอย่างดังกล่าวที่เน้นอิทธิฤิทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือให้ไปเห็นนู่นเห็นนี่ นรกสวรรค์ แดนนิพพานก็ให้ถอยออกมาก่อนก็แล้วกันครับ เพราะจุดมุ่งหมายของการฝึกไม่ใช่เพื่อสิ่งเหล่านั้นครับ แต่เพื่อเป็นฐานของการเจริญปัญญากำจัดกิเลสครับ
ประการที่ ๒ ตรวจสอบจิตใจขณะฝึกสมาธิ คือ ดูว่าสติของเราน้อยเกินไป หรือปัญญาของเราน้อยเกินไปหรือเปล่า ให้สังเกตจิตตัวเองให้ดี ว่าเผลอสติออกไปนอกคำบริกรรมหรืออารมณ์กรรมฐานไปหรือเปล่า รวมทั้งดักรู้ทันจิตใจว่ามันกำลังจะสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหวหรือเปล่า เพราะตรงนี้จิตใจจะควบคุมร่างกาย บางทีมันก็มีที่จิตมันอยากจะเคลื่อนไหว อยากจะยกมือ แล้วผู้ปฏิบัติรู้ไม่ทันจิต ทีนี้ก็เลยเคลื่อนไหวร่างกายตามจิตไปอย่างไม่รู้ตัว เหมือนกับคนเมานั่นเอง อาการนี้หาใช่อาการของคนมีสติสัมปชัญญะไม่ เพราะผู้ที่ฝึกสมาธิประกอบด้วยสติสัมปชัญญะจริงๆ หรือได้ฌานแล้วจะไม่เป็นเช่นนั้น เขาจะมีสติสัปชัญญะอยู่ตลอดเวลา กับอารมณ์กรรมฐานอย่างแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียวแนบแน่น แม้จิตจะเข้าภวังค์ไปแล้วก็ตาม ร่างกายไม่รับรู้ภายนอกก็จริง แต่จิตภายในยังตื่นอยู่ไม่ใช่ไม่รับรู้อะไร แต่จิตจะสว่างรับรู้หนึ่งเดียวอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน
ถาม/ปัญหา ๓ : พี่ ๆ คะ จริงหรือคะที่จิตหลอก ให้เห็นภาพ และ สิ่งที่เห็นนั้น เป็นภาพลวงตา
ตอบ/เสนอแนะ : คำถามนี้จะคล้ายข้อที่ ๑ ครับ ตอบไปแล้ว
ถาม/ปัญหา ๔ : กรุณาไขปัญหานี้ให้น้องด้วยนะคะ พี่ ๆ กราบขอบคุณมากค่ะรู้สึกว่า เราหลงทางหรือเปล่าที่กำลังปฏิบัติ ตอนนี้น้องปฏิบัติคนเดียวแล้ว ไม่กล้าไปร่วมกลุ่ม เหมือนเราเป็นแกะดำไงไม่รู้เจอในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เจอ เขามอง เราเป็นตัวประหลาดดดดด แต่น้องก็ไม่ท้อ ทำให้รู้แจ้งเห็นจริงให้ได้ ว่าสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นอะไรกันแน่ น้องฟังหลวงพ่อปราโมทย์ ให้ตามรู้กายรู้ใจ ให้มีสติ
ตอบ/เสนอแนะ : เท่าที่ให้ข้อมูลมา ยังไม่จัดว่าหลงทาง แต่เริ่มเอนๆ ออกไปจากทางนิดหน่อยนะครับ ตรงนี้หากจะปฏิบัติคนเดียว หรือจะปฏิบัติเป็นหมู่คณะก็ตามที สำคัญ คือ จะต้องมีสัมมาทิฐิ คือ ความเห็นชอบ รู้ว่าเรากำลังฝึกเผื่ออะไร เราฝึกเพื่อละกิเลส ฝึกเพื่อรู้อริยสัจจ์ หรือรู้จุดมุ่งหมายว่าเวลานั่งสมาธิก็เพื่อให้จิตนิ่ง-กายนิ่งเป็นฐานในการเจริญปัญญาต่อไปไม่ใช่ฝึกเพื่อไปเห็น หรือเป็นร่างทรงอะไร (การเห็นอะไรจะมาจากฝึกเองอีกทีหลังจากจิตสงบ ตอนแรกจิตยังไม่สงบยังไม่ต้องไปสนใจสิ่งที่เห็นว่าจะเห็นอะไรให้กลับมาสนใจกับอารมณ์กรรมฐานที่ฝึกอยู่ก็พอ) เพราะหากเราเริ่มด้วยสัมมาทิฐิอย่างนี้แล้ว เราก็เป็นอันหันหน้าไปถูกทิศทาง เวลาเราเริ่มก้าวเดินไปเราก็เดินไปถูกทิศทาง ไม่หลงทางครับ แต่หากไม่ประกอบด้วยสัมมาทิฐิ ก็เหมือนกับเราหันหน้าไปคนละทิศ ถึงแม้เราจะเพียรพยามยามเดินทางไปอย่างไร เราก็ไปคนละทางไปคนละทิศ ไม่มีทางที่จะไปถึงได้ หากจะไปถึงก็ต้องวกกลับมาคงจะเสียเวลาไปมาก หรืออาจจะไม่ถึงได้เลย
ถาม/ปัญหา ๕ : พี่ ๆ คะ ปฏิบัติคนเดียว โดยไม่มีอาจารย์อยู่ด้วย มีอันตรายไหมคะ? แล้วพี่ ๆ ทุกท่าน เคยเจออย่างน้องไหม มาแชร์ความรู้สึกกันดีกว่านะให้น้อง ได้ศึกษา สิ่งที่พี่ ๆ ได้เจอบ้างนะคะ
ตอบ/เสนอแนะ : ตรงนี้ แนะนำว่าไปหาครูอาจารย์ที่เชื่อถือได้ ผมแนะนำสายวัดป่านะครับ ไปหาครูอาจารย์สายนั้น อย่างคุณคงจะไม่เหมาะกับการปฏิบัติคนเดียว การฝึกคนเดียวนั้นจะเป็นอันตรายได้ แต่ไม่ใช่ว่าการฝึกคนเดียวจะเป็นอันตรายเสมอ บางคนก็ฝึกคนเดียวได้ครับ โดยไม่เป็นอันตรายครับ
ขอให้เจริญในธรรม
Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552 |
|
1 comments |
Last Update : 3 ธันวาคม 2552 11:34:15 น. |
Counter : 1053 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: day IP: 110.171.31.182 23 ตุลาคม 2554 15:54:41 น. |
|
|
|
|
|
|
จำนวนผู้เข้าชมบล็อก : คน
จำนวนผู้เข้าชมทั้งหมด :
คน
|
|
|
|
|
|
|