"ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺโม จ..........อหึสา สญฺญโม ทโม..........ส เว วนฺตมโล ธีโร..........โส เถโรติ ปวุจฺจติ" ส่วนผู้ใดมีสัจจะ มีธรรม มีอหิงสา มีสัญญมะ มีทมะ ผู้นั้นแลเป็นปราชญ์สลัดมนทินได้แล้ว เรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่..พุทธศาสนสุภาษิต
ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกครับ...เปิดตัวเมื่อวันที่ 24/11/2552 ยังคงมีการปรับแต่งอยู่บ้างในบางจุด ดังนั้นหากเกิดความไม่สะดวกหรือเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยครับ และหากเป็นไปได้รบกวนแจ้งให้ผมทราบด้วย จะขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ หากพบข้อผิดพลาดกรุณา คลิกที่นี่.
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
3 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 

ตอบ - ทำไมกระดูกจึงเป็นพระธาตุได้?

ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจ และเป็นข้อสงสัยของหลายๆ ท่านไม่เฉพาะแต่ชาวพุทธเท่านั้น จึงได้ไปหาคำตอบมาให้อ่านกัน ดังนี้ครับ




พระอริยะหรืออริยบุคคลที่ปฏิบัติธรรมถูกหลักธรรมจักรฯ นั้น กายและ ใจของท่านจะได้รับการซักฟอก ชำระล้างด้วยวิมุตติธรรม (ธาตุธรรมอันบริสุทธิ์แท้อยู่ระหว่างรูปกับนาม อยู่เหนืออนิจจังแห่งภพสาม)

อนุสัย และ อาสวะกิเลสทั้งหลายค่อยๆ ถูกขจัดออกไปจากส่วนต่างๆทั้งกายและใจ (ทุกส่วนของขันธ์ 5) ส่วนต่างๆที่ลมปราณเคยผ่านไปถึงจึงค่อยๆกลายเป็นพระธ าตุไป กล่าวอย่างย่อก็คือว่า จิตอันบริสุทธิ์ของพระอรหันต์นั้น

มีอำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุอันบริสุทธิ์ จึงเกิดเป็นพระธาตุได้

หลวง ปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอรัญวิเวก ต.บ้านป่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม พระอริยะสำคัญสายพระอาจารย์มั่น และ เป็นสหายร่วมธุดงค์ของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ได้เคยกล่าวไว้ว่า

"อำนาจตบะที่อริยบุคคลได้ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรเพื่อขัด เกลากิเลสนั้น มิได้แผดเผาชำระล้างเฉพาะกิเลสเท่านั้น หากแต่ได้แผดเผา ชำระล้าง ซักฟอกกระดูกในร่างกายให้กลายเป็นพระธาตุไปด้วยในขณะ เดียวกัน"

จากหนังสือพระบรมธาตุ ของ อ.บริภัทร





กระดูกของปุถุชนผู้มีกิเลสหนา ตัณหาเหนียว ย่อมมีโครงสร้างสลับซับซ้อน ประกอบด้วยสารผสมเชิงซ้อนหลายชั้นจนมีสีดำ

กระดูกของผู้มีศีลธรรม ผู้มีกิเลสเบา ตัณหาบาง ย่อมมีโครงสร้างโปร่งประกอบด้วยสารประกอบที่มีความสับสนน้อย มักมีสีเทา

กระดูกของพระอรหันต์ ผู้หมดจดปราศจากกิเลศตัณหา เพราะตัดสายอุปทาน (อันเป็นแรงร้อยยึดเหนี่ยว) เสียได้ กระดูก ของท่านจึงสลายตัวกลายเป็นธาตุเดี่ยว กล่าวคือ ส่วนที่เป็นแคลเซียมก็รวมตัวกับแคลเซียม ส่วนที่เป็นซิลิคอนรวมกับซิลิคอน มีสีและคุณสมบัติเป็นธาตุอันอิสระตามเดิม ซึ่งเรียกว่า พระธาตุดังนี้

จากหนังสือ พระไตรปิฏกฉบับพิเศษ ธรรมธาตุ ธรรมชาติแห่งสรรพสิ่ง ของ ไชย ณ พล

(//hippsclub.com/forum/index.php?topic=186.0)





ซึ่งสาเหตุของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรนั้น ยากจะทราบได้ ต้องลองปฏิบัติธรรมเพื่อพิสูจน์กันดูครับ

หากท่านใดประสงค์จะดูรูปพระธาตุ หรือศึกษาข้อมูลรูปพระบรมสารีริกธาตุ แนะนำให้เข้าไปศึกษาในเว็ปนี้ครับ

www.relicsofbuddha.com

ตัวอย่างภาพพระบรมสารีริกธาตุ










 

Create Date : 03 ธันวาคม 2552
4 comments
Last Update : 3 ธันวาคม 2552 11:55:43 น.
Counter : 1638 Pageviews.

 

ขอบคุณในข้อมูลครับ เข้าใจง่าย และอ่านง่ายครับ

 

โดย: คนเมืองตำน้ำกิน (comnow1234 ) 3 ธันวาคม 2552 14:15:42 น.  

 

สืบต่อเนื่องไปจากเรื่องดังกล่าวข้างต้น ได้มีอรรถกถาบทหนึ่ง "อรรถกถาธาตุวิวัณณเปตวัตถุที่ ๑๐" ที่มีประโยชน์มาก เกี่ยวเนื่องกับคนๆ หนึ่งที่ตายกลายเป็นเปรตครับ นำมาฝาก ลองอ่านดูนะครับ แล้วคงจะได้ข้อคิดเรื่อง "ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่" ...


๑๐. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ

อรรถกถาธาตุวิวัณณเปตวัตถุที่ ๑๐
เรื่องแห่งเปรตผู้ติเตียนพระธาตุนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อนฺตลกฺขสฺมึ ติฏฺฐนฺโต ดังนี้.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพาน ในระหว่างนางรังทั้งคู่ ณ สาลวโนทยานแห่งมัลลกษัตริย์อันเป็นที่แวะเวียน ในกรุงกุสินารา และทำการจำแนกพระธาตุ พระเจ้าอชาตสัตตุทรงถือเอาการส่วนพระธาตุที่พระองค์ได้ ทรงระลึกถึงพระพุทธคุณ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วันแล้วให้การบูชาอันโอฬารเป็นไป.

พวกมนุษย์ในที่นั้นนับไม่ได้ประมาณไม่ได้ พากันทำจิตให้เลื่อมใส ได้เข้าถึงสวรรค์.

ก็บุรุษประมาณ ๘๖,๐๐๐ คนในที่นั้นมีจิตวิปปลาส เพราะความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา และเพราะความเห็นผิดที่ตนให้เกิดตลอดกาลนาน ประทุษร้ายจิตของตนแม้ในฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แล้วเกิดในหมู่เปรต.

ภรรยา ธิดา ลูกสะใภ้ของกุฏมพีผู้เพียบพร้อมด้วยสมบัติคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์นั้นนั่นเอง มีจิตเลื่อมใส พากันคิดว่าจักถวายบูชาพระธาตุ จึงถือเอาสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น เริ่มไปยังที่บรรจุพระธาตุ.

กฎุมพีนั้นคิดว่าจะประโยชน์อะไรด้วยการบูชากระดูก จึงดูหมิ่นพระธาตุเหล่านั้น ติเตียนการบูชาพระธาตุ. หญิงเหล่านั้นก็ไม่เชื่อคำของกฎุมพีนั้น พากันไปในที่นั้นกระทำการบูชาพระธาตุ. มายังเรือนถูกโรคเช่นนั้นครอบงำ ไม่นานนักก็ทำกาละไปบังเกิดในเทวโลก.

ส่วนกฎุมพีนั้นถูกความโกรธครอบงำ ไม่นานนักทำกาละแล้ว ไปบังเกิดในหมู่เปรตเพราะบาปกรรมนั้น.

ภายหลังวันหนึ่ง ท่านมหากัสสปะปรุงแต่งอิทธาภิสังขารโดยประการที่พวกมนุษย์เห็นเปรตเหล่านั้น และเทวดาเหล่านั้น ก็ครั้นกระทำอย่างนั้นแล้ว ยืนอยู่ที่ลานเจดีย์ ถามเปรตผู้ติเตียนพระธาตุนั้นด้วย ๓ คาถา เปรตนั้นได้พยากรณ์แก่ท่านแล้ว.

พระเถระถามว่า :-

ท่านยืนอยู่ในอากาศ มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป และหมู่หนอนพากันบ่อนฟอนกินปากอันมีกลิ่นเหม็นเน่าของท่าน เมื่อก่อนทำอะไรไว้ เพราะการฟุ้งไปแห่งกลิ่นเหม็นนั้น นายนิรยบาลถือเอาศาตรามาเฉือนปากของท่านเนืองๆ รดท่านด้วยน้ำแสบด้วยเชือดเนื้อไปพลาง ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ ด้วยกาย วาจา ใจ หรือเพราะวิบากแห่งกรรมอะไร ท่านจึงได้ประสบความทุกข์อย่างนี้.

เปรตนั้นตอบว่า :-

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ เมื่อก่อนกระผมเป็นอิสรชนอยู่ที่กรุงราชคฤห์อันน่ารื่นรมย์มีภูเขาล้อมรอบ (เบญจคีรีนคร) เป็นผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย แต่กระผมได้ห้ามปรามภรรยา ธิดาและลูกสะใภ้ของกระผม ซึ่งพากันนำพวงมาลาดอกอุบลและเครื่องลูบไล้อันหาค่ามิได้ ไปสู่สถูปเพื่อบูชา บาปนั้นกระผมได้ทำไว้แล้ว จึงได้เสวยทุกขเวทนาเห็นประจักษ์ และจักหมกไหม้อยู่ในนรกอันหยาบช้าทารุณ ๘๖,๐๐๐ ปี เพราะติเตียนการบูชาพระสถูป

ก็เมื่อการบูชาและการฉลองพระสถูปของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอันมหาชนให้เป็นไปอยู่ ชนเหล่าใดมาประกาศโทษแห่งการบูชาพระสถูปนั้นเหมือนกระผม ชนเหล่านั้นพึงห่างเหินจากบุญ

ขอท่านจงดูชนทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งทัดทรงดอกไม้ตบแต่งร่างกาย เหาะมาทางอากาศเหล่านี้ เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส เป็นผู้มั่งคั่งมียศ เสวยอยู่ซึ่งวิบากแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ชนทั้งหลายผู้มีปัญญาได้เห็นผลอันน่าอัศจรรย์ น่าขนพองสยองเกล้าอันไม่เคยมีนั้นแล้ว ย่อมทำการนอบน้อม วันทาพระมหามุนีนั้น

กระผมไปจากเปตโลกนี้แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์จักเป็นผู้ไม่ประมาท ทำการบูชาพระสถูปเนืองนิตย์เป็นแน่แท้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุคฺคนฺโธ ได้แก่ ผู้มีกลิ่นไม่น่าปรารถนา. อธิบายว่า มีกลิ่นเหมือนกลิ่นซากศพ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไป.

บทว่า ตโต ความว่า นอกเหนือจากกลิ่นเหม็นฟุ้งไปและถูกหมู่หนอนพากันบ่อนฟอนกิน.

บทว่า สตฺถํ คเหตฺวาน โอกฺกนฺตนฺติ ปุนปฺปุนํ ความว่า สัตว์ทั้งหลายถูกกรรมตักเตือน จึงเอาศาตราอันลับคม ผ่าปากแผลนั้นบ่อยๆ.

บทว่า ขาเรน ปริปฺโผสิตฺวา โอกฺกนฺตนฺติ ปุนปฺปุนํ ความว่า ถูกรดด้วยน้ำแสบในที่ที่ถูกผ่าแล้วก็เชือดเนื้อไปพลาง.

อิสฺสโร ธนธญฺญสฺส สุปหูตสฺส ความว่า เป็นใหญ่ คือเป็นเจ้าของทรัพย์และธัญญาหารมากมายยิ่ง. อธิบายว่า เป็นคนมั่งคั่งมีทรัพย์มาก.

บทว่า ตสฺสายํ เม ภริยา จ ธีตา จ สุณิสา จ ความว่า ในอัตภาพก่อน ผู้นี้เป็นภรรยา เป็นธิดา เป็นลูกสะใภ้ของกระผมนั้น.

เปรตกล่าวแสดงว่า หญิงเหล่านั้นเป็นเทวดายืนอยู่ในอากาศ.

บทว่า ปจฺจคฺฆํ แปลว่า ใหม่.

บทว่า ถูปํ หรนฺติโย วาเรสึ ความว่า ข้าพเจ้าติเตียนพระธาตุห้ามหญิงเหล่านั้นผู้น้อมเข้าไปเพื่อบูชาพระสถูป.

ด้วยคำว่า ตํ ปาปํ ปกตํ มยา นี้ เปรตถึงความเดือดร้อน กล่าวว่า ความชั่วในการติเตียนพระธาตุนั้น ข้าพเจ้าได้กระทำ คือประพฤติอยู่เสมอ.

บทว่า ฉฬาสีติสหสฺสานิ ได้แก่ ประมาณ ๘๖,๐๐๐ คน. เปรตกล่าวร่วมเปรตเหล่านั้นกับตนว่า มยํ แปลว่า พวกเรา.

บทว่า ปจฺจตฺตเวทนา ได้แก่ ทุกขเวทนาที่กำลังครอบงำอยู่เป็นแผนกๆ.

ด้วยบทว่า นิรเย เปรตกล่าวเปตวิสัยให้เหมือนกับนรก เพราะมีทุกข์หนัก.

บทว่า เย จ โข ถูปปูชาย วตฺตนฺเต อรหโต มเห ความว่า เมื่อการฉลอง การบูชา อุทิศสถูปของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไปอยู่ ชนเหล่าใดประกาศอาทีนพคือโทษในการบูชาพระสถูป เหมือนข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายพึงเลือกเฟ้นบุคคลเหล่านั้นจากบุญนั้น.

เปรตประกาศความที่ตนเป็นผู้เสื่อมใหญ่ โดยอ้างผู้อื่นว่าพึงยังบุคคลผู้เหินห่างจากบุญให้เกิด.

บทว่า อายนฺติโย แปลว่า ผู้มาทางอากาศ.

บทว่า มาลาวิปากํ ได้แก่ วิบาก คือผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ที่ทำไว้ในพระสถูป.

บทว่า สมิทฺธา ได้แก่ สำเร็จด้วยทิพยสมบัติ.

บทว่า ตา ยสสฺสิโน ได้แก่ หญิงเหล่านั้นมีบริวาร.

บทว่า ตญฺจ ทิสฺวาน ความว่า เห็นผลพิเศษอันโอฬารยิ่งอันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมี ให้เกิดขนพองสยองเกล้า ของบุญอันเกิดจากการบูชาอันนิดหน่อยยิ่งนักนั้น.

บทว่า นโม กโรนฺติ สปฺปญฺญา วนฺทนฺติ ตํ มหามุนึ ความว่า ข้าแต่ท่านกัสสปะผู้เจริญ หญิงเหล่านี้ย่อมไหว้ย่อมอภิวาท. อธิบายว่า กระทำการนอบน้อม และกระทำนมัสการท่านผู้เป็นบุญเขตอันสูงสุด.

ลำดับนั้น เปรตนั้นมีใจสลด เมื่อจะแสดงกรรมที่ตนพึงกระทำต่อไป อันควรแก่ความสลดใจ จึงกล่าวคาถาว่า โสหํ นูน ดังนี้เป็นต้น.

คำนั้นมีอรรถง่ายทั้งนั้น.

ท่านพระมหากัสสปะผู้อันเปรตกล่าวอย่างนี้ จึงกระทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ แสดงธรรมแก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว.


จบอรรถกถาธาตุวิวัณณเปตวัตถุที่ ๑๐
-----------------------------------------------------

ที่มา : //84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=120

 

โดย: ศิรัสพล 4 ธันวาคม 2552 13:37:32 น.  

 

จากอรรถกถาที่นำมาลงไว้ข้างต้น มาจากในพระไตรปิฏกต่อไปนี้ครับ

๑๐. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ

ว่าด้วยบุพกรรมของธาตุวิวัณณเปรต

พระมหากัสสปเถระถามเปรตตนหนึ่งว่า

[๑๒๐] ท่านยืนอยู่ในอากาศ มีกลิ่นเน่าเหม็นฟุ้งไปและหมู่หนอนพากันบ่อน
ฟอนกินปาก อันมีกลิ่นเหม็นเน่าของท่าน เมื่อก่อนท่านทำกรรมอะไร
ไว้ เพราะการฟุ้งไปแห่งกลิ่นเหม็นนั้นนายนิรยบาลถือเอาศาตรามาเฉือน
ปากของท่านเนืองๆ รดท่านด้วยน้ำแสบแล้วเชื่อดเนื้อไปพลาง ท่านทำ
กรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจหรือ เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร
ท่านจึงได้ประสบความทุกข์อย่างนี้?

เปรตนั้นตอบว่า

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ เมื่อก่อน กระผมเป็นอิสรชนอยู่ที่ภูเขาวงกตอัน
เป็นที่รื่นรมย์ ใกล้กรุงราชคฤห์ เป็นผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์และข้าวเปลือก
มากมาย แต่กระผมได้ห้ามปรามภรรยาธิดา และลูกสะใภ้ของกระผม
ซึ่งพากันนำพวงมาลาดอกอุบลและเครื่องลูบไล้อันหาค่ามิได้ ไปสู่สถูป
เพื่อบูชา บาปนั้นกระผมได้ทำไว้แล้ว จึงได้เสวยทุกขเวทนาเห็นประจักษ์
และจักหมกไหม้อยู่ในนรกอันหยาบช้าทารุณ ๘๖,๐๐๐ ปี เพราะติเตียน
การบูชาพระสถูป ก็เมื่อการบูชาและการฉลองพระสถูปของพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้า อันมหาชนให้เป็นไปอยู่ ชนเหล่าใดมาประกาศโทษ
แห่งการบูชาพระสถูปนั้น เหมือนกระผม ชนเหล่านั้นพึงห่างเหินจากบุญ
ขอท่านจงดู ชนทั้งหลายซึ่งทัดทรงดอกไม้ตบแต่งร่างกายเหาะมาทาง
อากาศเหล่านี้เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส เป็นผู้มั่งคั่งมียศเสวยอยู่ซึ่งวิบาก
แห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ชนทั้งหลายผู้มีปัญญา ได้เห็นผลอันน่าอัศจรรย์
น่าขนพองสยองเกล้าอันไม่เคยมีนั้นแล้ว ย่อมทำการนอบน้อมวันทาพระ
มหามุนีนั้น กระผมไปจากเปตโลกนี้แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์จักเป็นผู้
ไม่ประมาท ทำการบูชาพระสถูปเนืองๆ เป็นแน่แท้.

จบ ธาตุวิวัณณเปตวัตถุที่ ๑๐.
-----------------------------------------------------

ที่มา : //84000.org/tipitaka/attha/v.php?B ... 290&Z=4322

 

โดย: ศิรัสพล 4 ธันวาคม 2552 13:57:45 น.  

 

คุณศิรัสพล ผมเห็นพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้าคงสภาพเป็นกระดูกธรรมดานี่เองครับ
เรื่องพระธาตุนี้ เป็นเรื่องหมิ่นเหม่ ผมจึงไม่ให้ความสำคัญใดๆ เพราะมีพระเถระบางรูป อ้างว่าชาติสิ้นแล้ว โลกธาตุสิ้นแล้ว พร้อมกับพูดถึงเสมอๆในทำนองว่าตนเองบรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว ผมไำด้ยินพระรูปหนึ่งที่มาเก็บอารมณ์ด้วยกันเล่าว่า ในตอนเผาสรีระของท่าน มีคนโยนเศษแก้งลงไปด้วย นัยว่าจะให้มีคนพบเห็นพระธาตุ เรื่องนี้จริงเท็จประการใดไม่ทราบได้ แต่ด้วยบริบทแวดล้อม ก็น่าเชื่อว่าจะจริงเสียมาก เพราะท่านเองไม่เคยสอนให้ใครละสิ่งเหลวไหลแบบนี้ ซ้ำยังโหมพูดเรื่องทำนองนี้มาตลอด
ผมจึงคิดว่า เป็นเรื่องที่ชาวพุทธแท้ไม่ควรใส่ใจให้มาก เพราะจะเป็นผลให้ผู้คนงมงาย ดังตัวอย่างในกระทู้นี้
//www.antiwimutti.net/forum/index.php?PHPSESSID=8r48f662821tnllknmd3snng30&topic=1782.msg29784#msg29784

แต่ขออนุโมทนาสาธุนะครับ อยากได้มีโอกาสพูดคุยด้วย เผื่อสนใจปฏิบัติด้วยกัน เพราะแนวทางเดียวกันนี่เอง

 

โดย: kom IP: 171.98.127.67 24 มกราคม 2555 11:50:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ศิรัสพล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จำนวนผู้เข้าชมบล็อก : คน
จำนวนผู้เข้าชมทั้งหมด : คน
Friends' blogs
[Add ศิรัสพล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.