เงารักซ่อนแค้น...ตอนที่ 8
|
|
8
.เงาอดีต
นพบูรีศรีนครพิงค์ไชยเชียงใหม่ นคราแห่งพ่อขุนเม็งราย ศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมล้านนาแต่ครั้งอดีต
...ตึง...ตึง...ตึง...ง ง ง
เสียงกลองปู่จาดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะจากวัดเก่าแก่ที่สุดในเวียง บอกเป็นสัญญาณว่าเวลานี้เข้าเวลาย่ำค่ำแล้ว แสงแดดอ่อนเจือจางลง ดวงตะวันลาลับขอบโลก ขณะที่เสียงพระสงฆ์องค์เจ้าสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสียงดังกระหึ่มขึ้นมาแทน ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันกลับบ้าน หลังจากที่ได้ทำไร่ทำนากันมาทั้งวัน
ณ.ลานวัดแห่งนั้น...
เสียงดนตรีที่ขับขานอย่างเป็นจังหวะเป็นเสียงจากวงสะล้อของชาวบ้าน ขณะที่นางรำก็ร่ายรำตามจังหวะอย่างแช่มช้อย ในเวลาเย็นเช่นนี้ไปจนถึงค่ำชาวบ้านที่ชอบความบันเทิงเมื่อว่างจากการงานที่บ้านก็จะมารวมตัวกันที่ลานวัดแห่งนี้เพื่อฝึกปรือศิลปะพื้นบ้านของตน
นักดนตรีก็จะบรรเลงฝีมือกันอย่างเต็มที่...ขณะที่ช่างฟ้อนสาวๆ ก็จะร่ายรำอย่างสวยงามไม่ไว้หน้า
...นางรำที่เด่นที่สุดในวันนี้เห็นจะเป็น รัสมีแข เธอคนนี้คือหลานสาวของนางข้าไทในเวียงนามนางอุ่นเฮือน...
...รัสมีแขร่ายรำอย่างอ่อนช้อยสวยงามที่สุดเพราะเธอได้ฝึกปรือมาดีจากผู้เป็นป้าที่เป็นนางรำในพระนครนั่นเอง รูปร่างที่สดสวยสะคราญเป็นเป้าสายตาให้กับเหล่าหนุ่มๆ ที่พากันมาเฝ้าคอยและดูเมื่อยามที่นางออกมาซ้อมฝีมือ ถึงจะรำได้สวยงามกว่าใครเพื่อนแต่รัสมีแขกลับเป็นคนเย้อหยิ่งในศักดิ์ศรีไม่สนใจใคร
และการมาฝึกปรือฝีมือในแต่ละครั้งมันหาใช่ความสมัครใจของเธอไม่...แต่มันเป็นการบังคับจากผู้เป็นป้าเสียมากกว่า รอบๆ ลานวัดแห่งนั้นเต็มไปด้วยแสงจากคบไฟและไต้ที่ถูกจุดขึ้นจากชาวบ้านที่มาชมการร่ายรำของสาวๆ
...จนลุล่วงเข้ายามสอง เห็นว่าดึกพอสมควรรัสมีแขจึงแยกตัวออกมาเพื่อกลับเรือน
ด้วยความเย้อหยิ่งในศักดิ์ศรีนั่นเองเธอจึงไม่ค่อยจะมีเพื่อนที่ไหนคบด้วย จะมีแต่แม่หญิงญาจันทร์ที่มักจะมาตอแยขอความเป็นเพื่อนจากเธอ...แต่รัสมีแขกลับไม่พอใจหาว่าแม่หญิงญาจันทร์เป็นพวกไพร่สถุลถ่อยและเข้ามาคบนางเพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง
...แม่หญิงคนงามถือคบไฟลัดเลาะมาตามเส้นทางที่นางเดินผ่านเช่นทุกวัน...ลมหนาวพัดต้องกายาอันสวยสะคราญจนต้องเอาผ้าสไบออกมาห่มทับอีกชั้นหนึ่ง
...กิริยาการเยื้องย่างของนางช่างงดงามไปทุกสัดส่วน...ยิ่งมาเดินท่ามกลางแสงจันทร์ที่นวลผ่อง ร่างของแม่หญิงผู้เย้อหยิ่งจึงงามดั่งเทพธิดาก็ไม่ปาน ผิวสีเหลืองนวลผ่องเมื่อต้องแสงจันทร์นั้นคล้ายกับว่าจะเปล่งประกายรัสมีออกมาอยู่กรายๆ
...แ แ แสก ก ก ก...
เสียงนกผีบินข้ามหัวของแม่หญิงผู้ทระนงตน มันร้องเสียงแหลมอย่างน่ากลัวก่อนจะบินหายไปท่ามกลางหมู่แมกไม้ รัสมีแขขวัญผวา อยากจะทรุดกายลงเสียตรงนั้นด้วยความกลัว
แอ๊ด...ด ด ด!!
ลมพัดจนกิ่งไม้เสียดสีกัน โบกไหวคล้ายหมู่ปีศาจกวักมือเรียก แม่หญิงคนงามกำคบไฟแน่น สาวเท้ารีบเร่งอย่างเร็วไวเพื่อจะหนีสถานที่แห่งนี้ออกไปให้เร็วที่สุด
น่าจะมีไผผ่านมาผ้อง ไยหมู่นั้นบ่ตวยเฮามานะ
นึกต่อว่าตัวเองอยู่ในใจที่ไม่คิดที่จะชวนใครออกมาเป็นเพื่อน ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ต้องกลัวอย่างที่เป็นนี้แน่
สังหรณ์ในใจเตือนให้แม่หญิงคนงามรีบเร่งเดินอย่าได้ช้า...แต่ขามันกลับไม่ช่วย มันยังคงก้าวเดินอย่างแช่มช้าอยู่เช่นเดิม
...ฟ่อ อ อ...
แม่หญิงคนงามมีอันต้องหยุดชะงักเมื่อสิ่งหนึ่งเลื้อยปราดขวางหน้าของนาง...นางหวีดร้องขึ้นสุดเสียง
ว้าย...ย ย ย
เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความขลาดกลัว...
ขณะที่อสรพิษร้ายสีดำมะเมื่อมผงกหัวชูคอขึ้นแผ่แม่เบี้ยอย่างน่ากลัว รัสมีแขทิ้งคบไฟไปข้างหน้า เอามือทั้งสองข้างปิดหูปิดตาถอยหลังกรูด
...ฟ่อ อ อ...
อสรพิษร้ายยังเลื้อยตาม ขณะที่แม่หญิงคนงามถอยหลังไปจนมุมที่ต้นไม้ใหญ่
ฟ่อ อ อ ...
หัวอันใหญ่แผ่ขยายเท่าฝ่ามือ ดวงตาอันเล็กหรี่สีแดงเจิดจ้ามองเห็นเปลวไฟลุกท่วมอยู่ในนั้น คล้ายจะสั่งสมความอาฆาตแค้นเอาไว้
จ้วยตวย...ไผก็ได้จ้วยเฮาตวย...
ร้องเสียงสั่น หวังเพื่อจะให้ใครผ่านมาเห็น
แต่อนิจจา...นาทีนั้นหามีใครได้ผ่านมาไม่
...ฟ่อ อ
เจ้าอสรพิษร้ายอันเปี่ยมไปด้วยพิษสงผงกหัวลง เป้าหมายอยู่ที่หน้าแข้งของแม่หญิงผู้ทระนงตน
ฉึก...ก...!!
เสียงนั้นดังอย่างชัดเจน รัสมีแขร้องลั่นด้วยความตกใจล้มตัวทรุดฮวบลงกับพื้น สะอื้นร่ำไห้อยู่ตรงนั้น
คิดว่าชีวิตนี้คงสิ้นแล้ว......
แล้วไยมันหาได้เจ็บปวดดั่งที่คิด หรือว่าวิญญาณจะหลุดออกจากร่างแล้ว...นางก้มลงดูร่างของตนอย่างขลาดๆ
...ไม่มีบาดแผล...
...ไม่มีความเจ็บปวด...ไม่มีรอยแผลหรือรอยเขี้ยว...
...ไม่มีงูตัวนั้น แล้วมันหายไปไหน...!
ยกมือขึ้นปาดน้ำตา นางยังไม่ตาย...
หันไปรอบๆ ตัว นาทีนั้นก็เจอคำตอบ...
งูตัวนั้น!!
ภาพนั้นมันชัดตา...งูตัวนั้นดิ้นขดอยู่ห่างออกไป ที่หัวมีลูกหน้าไม้ปักติดอยู่กับพื้นดิน
นางรอดตายอย่างน่าอัศจรรย์...
ยันตัวลุกขึ้น...พลันเสียงสวบสาบก็ดังขึ้นทางหลังพุ่มไม้ แล้วเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวออกมา
ญาจันทร์...!
เจ้าของร่างนั้นนางจำได้...นั่นคือผู้ที่นางรังเกียจที่สุดในชีวิต แต่บัดนี้กลับเป็นผู้ช่วยชีวิตของนางเอาไว้...
ร่างในชุดดำโผล่พรวดออกมายืนเต็มตัว ท่ามกลางแสงจันทร์สีนวลและสายลมที่พัดแผ่วเบาแต่เย็นเยือก
ญาจันทร์...!
ร้องขึ้นอีกครั้งไม่เชื่อว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าจะเป็นแม่หญิงผู้นี้
ไจ้...เฮาเอง...แม่หญิงรัสมีแข
ร่างในชุดดำเผยยิ้มกว้าง ในมือมีหน้าไม้อาวุธประจำตัว
สูนึกว่าไผฮึ... ญาจันทร์เอ่ยขึ้น
...ถ้าบ่ไจ้เฮา จักมีไผอีก...แม่หญิงรัสมีแข
นัยน์ตานั้นส่อแววหยามเหยียด แต่แฝงไว้ด้วยความหวังดีอยู่กรายๆ
บ่ไจ้...เป็นไปบ่ได้...เจ้ารึจักหวังดีกับเฮาขนาดนี้...
รัสมีแขไม่ยอมรับความจริงเพราะนางเชื่อว่าญาจันทร์มีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่
...ถึงแม้ว่าเจ้าจักเกลียดชังเฮาขนาดไหน...แต่ฮื้อเจ้าฮู้ไว้ว่าเฮาหวังดีกับเจ้าเสมอนะ...รัสมีแข
ร่างนั้นลาลับไปด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย ขณะที่แม่หญิงคนงามยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่...
...รัสมีแข เฮาหวังดีกับเจ้าเสมอ...เฮาหวังดีกับเจ้าเสมอนะ...รัสมีแข
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในโสตประสาทของแม่นางแบบสาวสุดเซ็กซี่ มันชัดเหลือเกิน...ชัดยิ่งกว่าสิ่งใด...ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป
ดารารัตน์หลุดออกจากภวังค์ พร้อมกับภาพที่ฉายอยู่นั้นได้ดับวูบไป มองไปรอบตัว เธอยังอยู่ในรถเช่นเดิม พิมพ์จันทร์ยังหลับอยู่กับที่ตรงเบาะข้างๆ
...ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...
...แต่สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปคือเวลา...
มันมืดมันค่ำแล้ว...เป็นไปไม่ได้ที่เวลาจะผ่านไปเร็วเช่นนี้...นี่หล่อนอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้วนี่
...ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อพิมพ์จันทร์จะหลับไปนานขนาดนี้...
...เสียงแมลงกลางคืนกรีดปีกประสานเสียงกัน บนถนนไร้ยวดยาน สองข้างทางมืดสนิทไร้บ้านผู้คนมีแต่สุมทุมพุ่มไม้เป็นหย่อมๆ สลับกับหญ้าที่ขึ้นสูงท่วมหัว
หล่อนอยู่ที่ไหนกันแน่...!
สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ลางสังหรณ์เตือนสติให้หล่อนรีบออกจากที่ตรงนั้น
ไม่ต้องให้เตือนซ้ำสองจากใคร ดารารัตน์เอื้อมมือไปที่กุญแจรถ...พยายามบิดกุญแจอยู่หลายครั้งแต่รถก็ยังสตาร์ทไม่ติดสักที
เป็นอะไรอีกเนี้ย...
นึกเอ็ดด่าไปต่างๆ นานา ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสาวที่หลับอยู่
พิมพ์...พิมพ์จันทร์ ตื่นสิ
ผู้ถูกเรียกยังไม่รู้สึกตัว จนดารารัตน์ต้องเรียกเสียงดังขึ้น
ยัยพิมพ์...ตื่นสิย่ะ จะหลับกินบ้านกินเมืองอยู่ยังไง...
เพื่อนสาวยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม แต่กลับมีเสียงหัวเราะเย้ยหยันจากใครบางคนดังขึ้นมาแทนจากเบาะหลัง
เห่อๆ ๆๆ ๆ
ใคร...
แม่นางแบบสาวหันขวับไปทางด้านหลัง...ว่างเปล่าไม่มีแม้เงาของใครนั่งอยู่เลย
ดารารัตน์ขนลุกซู่เมื่อเสียงนั้นยังคงอยู่ แต่กลับไร้เงาของเจ้าของเสียง...
เหอะๆ ๆๆ ๆ
เสียงอันเย็นยะเยือกจนเข้าไปเกาะกุมหัวใจให้หญิงสาวกลั่นความกลัวออกมา ไรขนเส้นเล็กๆ ตามแขนทั้งสองข้างตั้งชูชัน เหงื่อกาฬแตกทะลักทะลายออกมาคล้ายได้วิ่งมาหลายกิโลเมตร...เธอรวบรวมสติทั้งหมดที่มีอยู่หันกลับไปเผชิญสิ่งที่น่ากลัวอีกครั้ง
...ว่างเปล่า ไม่มีอะไร แม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต!
แล้วเสียงนั้นมันดังมาจากไหน...
หึๆ ๆๆ ๆ ๆ
เสียงนั้นยังดังอยู่เช่นเดิม ดารารัตน์พยายามข่มอารมณ์และสติไม่ให้กระเจิง แต่เป็นผู้หญิงยังไงหัวใจก็สั่นไหวได้ง่ายไม่ว่าใครก็ตามที่เจออย่างเธอในตอนนี้ย่อมจะครองสติตัวเองไว้ไม่อยู่
...ในเมื่อมีแต่เสียง แต่ไร้เงาของเจ้าของเสียง...
คราวนี้หญิงสาวเปลี่ยนวิธีใหม่ โดยมองจากกระจกมองหลัง...
...คราวนั้นชัดเลย หล่อนเห็นมันชัดตา...
เหอๆ ๆๆ ๆ หึๆ ๆ ๆ
แม่นางแบบสาวแทบช็อกเมื่อเจอเข้ากับภาพที่สาวสมัยใหม่อย่างหล่อนไม่เชื่อมาก่อน ร่างของเจ้าของเสียงปรากฏชัดเจนในกระจกเงาใบนั้น แถมยังยิ้มเยาะเย้ยหล่อนอีกต่างหาก
ผี!!!
ดารารัตน์จำได้ว่าได้ร้องขึ้นอย่างสุดเสียง แต่กระนั้นเสียงของหล่อนหาได้เล็ดลอดจากลำคอได้ไม่
เสียงหัวเราะอันเยือกเย็นยังคงดังอยู่เช่นเดิม...ดารารัตน์เอามือขยี้ดวงตาแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น พยายามรวบรวมสติแล้วเพ่งมองอีกครั้ง
ผลที่ออกมาก็คือ...ภาพที่สยดสยองและน่ากลัวนั้นยังคงปรากฏอยู่ที่เดิม แถมยังแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างน่ากลัวเสียอีก
สิ่งที่น่ากลัวนั้นจ้องตาถลนมาที่ดารารัตน์ ประกายสีแดงที่เปล่งออกมาจากดวงตานั้นสะกดตรึงให้เธอนั่งนิ่งไม่สามารถที่จะขยับไปไหนได้ แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างไรก็ตาม
รัสมีแข...หึๆ ๆ ๆ...รัสมีแข...
ดวงวิญญาณดวงนั้นแสยะยิ้ม แต่ดารารัตน์กลับกลัวลนลานพยายามเบือนหน้าหนี เมื่อภาพที่หล่อนเห็นนั้นหลุดลอยออกมาจากในกระจก
กรี๊ด...ด ด ด ด ด
นางแบบสาวสุดเซ็กซี่กรี๊ดร้องลั่นออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่สติสัมปชัญญะทั้งหมดจะดับวูบไป ขณะที่ดวงหน้าที่สยดสยองนั้นลอยออกมาปะทะหน้าของหญิงสาวแล้วแตกสลายไปคล้ายอากาศธาตุที่พัดผ่านไป...
******** พระจันทร์ดวงกลมโตลอยเด่นเหนือเงาไม้ รัสมีที่เปล่งออกมานั้นเป็นสีแดงฉานปานแสงแรกของพระอาทิตย์มันหาได้เป็นสีเหลืองเช่นทุกครั้งไม่ เมฆดำก้อนใหญ่รวมตัวกันมาจากทิศใต้หมายจะบดบังรัสมีของดวงจันทร์ ลมนิ่งสงบ ใบไม้ทุกใบ ต้นไม้ทุกต้นนิ่งเป็นเงาตะคุ่มอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ดวงดาราน้อยใหญ่ที่เคยพร่างพรายเต็มท้องฟ้าบัดนี้ถูกบดบังจากหมู่เมฆเหล่านั้นเสียสิ้น...
...คุ้มเรือนแก้ว เรือนไทยร้างหลังใหญ่บัดนี้ดูสวยงามยิ่งเมื่อแสงจันทร์ทอกระทบมาที่เรือน
ไม่มีเสียงดนตรีเหมือนเช่นทุกครั้ง...
...ไม่มีภาพนางฟ้อนที่ออกมาร่ายรำอย่างแช่มช้อย
เพราะบัดนี้ดวงวิญญาณทุกตนกำลังต่อสู้กับอาถรรพณ์จากมนุษย์ที่มีใจอสัตย์เหมือนเช่นพระจันทร์ที่กำลังต่อสู้กับเหล่าเมฆดำที่พยายามเข้าข่มและบดบังแสงจันทรา
ทั่วบริเวณป่าลำไยเงียบสงัด จะมีเสียงตึงตังดังมาจากโลกวิญญาณเป็นระยะเท่านั้น ซึ่งยากนักที่มนุษย์อย่างเราท่านจะได้ยิน
...ดวงวิญญาณที่บำเพ็ญบารมีมานับร้อยปีจนมีญาณแก่กล้าสามารถที่จะปรากฏร่างต่อสายตามนุษย์ได้ ขณะนี้กำลังต่อสู้กับวิญญาณอาคมของหมอผีเฒ่าอย่างดุเดือด
ไม่มีฝ่ายไหนยอมแพ้ ไม่มีฝ่ายไหนรามือ...
เพราะอีกฝ่ายหนึ่งพยายามปกป้องถิ่นที่อยู่ของตน แต่อีกฝ่ายกลับจำใจเป็นฝ่ายรุกรานตามคำบงการ...
เปรี๊ยะ....!!
ตึง ง ง ง.....
เคร้ง...ง ง ง ง!!!!!
เสียงต่อสู้กันอย่างดุเดือดจากโลกวิญญาณ ประสมกับเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดของฝ่ายรุกราน เสียงโลหะกระทบกันดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณนั้น...แต่หาได้มีภาพของดวงวิญญาณเหล่านั้นไม่
เนิ่นนาน...ชั่วอึดใจการต่อสู้จึงได้สงบเงียบลง ฝ่ายรุกรานถูกปราบเสียสิ้น หวีดร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดก่อนจะไปปรากฏตัวอย่างรางๆ ตรงหน้าของหมอผีเฒ่าที่กำลังท่องมนต์อยู่
เฒ่าทองมีเบิกเปลือกตาขึ้นอย่างไม่เชื่อในสายตาของตน เหล่าดวงวิญญาณน้อยใหญ่จะพ่ายแพ้ต่อผีที่สิงในเรือนแห่งนั้นได้
เป็นไปไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าวิญญาณตนนั้นจะแก่กล้าเช่นนี้...
รำพึงขึ้นเบาๆ วงหน้าอันเหี่ยวย่นบอกความปริวิตกขึ้นมา
...หรือว่าดวงชะตาของเขาไม่ถึง ดวงวิญญาณบริวารของเขาถึงพ่ายแพ้เช่นนี้...
เปลวเทียนเอนไหวระริก เมื่อสายลมโบกสะบัด หัวกะโหลกสีขาวโพลนตั้งเด่นเหนือโต๊ะหมู่บูชาสั่นกุกกักคล้ายว่าจะมีชีวิตขึ้นมาเมื่อหมอผีเฒ่าเริ่มบริกรรมคาถาอีกครั้ง
ควันธูปจางๆ จากธูปสีดำที่ปักอยู่ตรงหน้าโต๊ะพิธีลอยคละคลุ้งเต็มห้องแห่งนั้น ขณะที่เสียงบริกรรมคาถาของหมอผีเฒ่าเริ่มเข้มขลังขึ้นทุกขณะ...
******* ที่เรือนร้างเหล่าข้าไททาสรับใช้ในคุ้มเรือนแก้วตอนนี้ร้อนรุ่มดั่งไฟจากโลกันต์เข้ามาแผดเผาเมื่อเสียงสาธยายมนต์ของหมอผีเฒ่าดังมาถึง
โอ๊ย....ย ย ย ย ย ย
เจ้านาง....โอ๊ย ย ย จ้วยข้าเจ้าตวย...
...จ้วยตวย เจ้านาง ข้าเจ้าฮ้อนเหลือเกิ๋น
เสียงข้าทาสนางไททั้งชายและหญิงต่างร้องระงม ดิ้นทุรนทุรายอาการคล้ายประหนึ่งถูกไฟโหมไหม้
ดวงจิตของเจ้านางเอื้องแก้วปรากฏขึ้นตรงหน้าชานเรือน นางเบิกตาถลนอย่างน่ากลัว
...ไอ้มนุษย์ใจ๋ชั่ว มันบังอาจทำร้ายบริวารของกู มันจักได้เห็นดีกั๋น...
ดวงเนตรที่เบิกถลนนั้นมีประกายแสงเจิดจ้าเกิดขึ้นด้วยไฟอาฆาต นางร่ายมนตราก่อนจะผายมือไปที่ร่างของเหล่าข้าทาสนางไททั้งหลาย
ดั่งสายน้ำที่ชโลมดับไฟ เหล่าข้าทาสรับใช้เหมือนหลุดพ้นออกจากขุมนรกอเวจี...
จักได้เห็นดีกั๋น กูจักบ่หื้ออภัยมึงเด็ดขาด ไอ้เฒ่าทองมี...
อารมณ์เกรี้ยวกราดเพิ่มสะพัดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เจ้านางผู้ที่ฝังใจแต่ความแค้น ขยับใบหน้าอันสวยงามชดช้อยมองออกไปสู่เงามืดเบื้องหน้า
...กูอยู่ของกูดีๆ แต้ๆ ไอ้มนุษย์ใจ๋ชั่วเสือ...ก เข้ามายุ่งกับกู...ดี...กูจักหื้อมันได้ฮับโทษอย่างสาสม
ลมเริ่มพัดกรรโชก ตามแรงโกรธาที่เพิ่มมากขึ้น กิ่งลำไยสะบัดโบกกวัดไกว เหล่าข้าทาสนางไทพากันลุกพรวดเข้ามายืนเรียงกันอยู่เบื้องหลังของเจ้านางผู้เลอโฉม
เจ้านางจักทำอย่างใดต่อดีเจ้า... นางจันทร์เอ่ยถามเสียงร้อนรน
เจ้านางเอื้องแก้วฉายแววตามาดหมาย ก่อนที่ร่างจะอันตธานหายไปจากตรงนั้น...
..โปรดอ่านต่อในตอนต่อไป.....
Create Date : 16 กรกฎาคม 2553 |
Last Update : 16 กรกฎาคม 2553 8:47:45 น. |
|
0 comments
|
Counter : 426 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
พะเยา Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
ข้อตกลง 1. กรณีที่ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานที่แต่งโดยผู้ลงผลงานเอง ลิขสิทธิ์ของผลงานนี้จะเป็นของผู้ลงผลงานโดยตรง ห้ามมิให้คัดลอก ทำซ้ำ เผยแพร่ ก่อนได้รับอนุญาตจากผู้ลงผลงาน
2. กรณีที่ผลงานชิ้นนี้กระทำการคัดลอก ทำซ้ำ มาจากผลงานของบุคคลอื่นๆ ผู้ลงผลงานจะต้องทำการอ้างอิงอย่างเหมาะสม และต้องรับผิดชอบเรื่องการจัดการลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว
3. ผู้ใดพบเห็นการลงผลงานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ โปรดแจ้งเจ้าของบล็อกทันที
|
|
|
|
|
|
|