ดินแดนแห่งจินตนาการ...
จินตนาการแห่งสายลม...
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 

เงารักซ่อนแค้น...ตอนที่ 14


14…เดียวดาย

การฝึกซ้อมการรำแก้วกินรีของนิรัชฌาผ่านพ้นไปได้ด้วยดีโดยได้รับการดูแลจากป้าบุญศรี ป้าแท้ๆ ของทัศทระนงช่างกล้องหนุ่ม หญิงสาวเรียนรู้มันได้อย่างรวดเร็วเพราะเธอมีพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว ศิลปะการฟ้อนรำแขนงนี้เป็นศิลปะที่อ่อนช้อยงดงามซึ่งนางเอกสาวก็สามารถทำมันได้ดีจนป้าบุญศรียกนิ้วเอ่ยชมไม่ขาดปาก

“คุณทำได้ดีมากเลยเน้อ แม่ป้าขอชมจากใจ๋จริง...เท่าที่ผ่านมาแม่ป้าก็เห็นคุณนี่ละที่ฟ้อนได้งามขนาด”

“มันไม่มากไปกว่านั้นหรอกค่ะป้า หนูก็ทำอย่างที่คุณป้าสอนตลอด ป้าชมอย่างนี้หนูก็ลอยสิคะ...”

หญิงสาวกล่าวเสียงใส ด้วยอาการเริงร่า

“แต้เจ้า...บาหยันว่าคุณนิฟ้อนได้งามแต้ๆ เจ้า”

บาหยันยกถาดอาหารว่างมาวางลงบนโต๊ะเห็นชอบตามที่ป้าบุญศรีได้พูดไว้

“บาหยันก็อีกคน พูดไปเรื่อยเปื่อย...” นิรัชฌากล่าวเสียงดุใส่สาวใช้

“แต้หนาเจ้า คุณหนูฟ้อนได้งามขนาด ขนาดคนเหนืออย่างบาหยันยังอายเลย แม่นก่อแม่ป้า...”

สาวใช้ยังคงประจบประแจง หันมาหากำลังเสริมจากป้าบุญศรี

“ไจ้เจ้า...บาหยันอู้ถูก งานก็จะเริ่มอีกบ่กี่วันแล้ว แม่ป้าเจื่อว่าคุณจะทำได้ดี วันพรุ่งก็เป็นวันเดินทางแล้ว แม่ป้าขอติดรถไปตวยคนเน้อ...”

“ได้สิคะ หนูคิดเอาไว้แล้วว่าจะให้คุณป้าตามไปดูแลเรื่องเสื้อผ้าชุดแสงด้วยคะ...”

เธอคิดไว้เช่นนั้นจริงๆ เพราะถ้าไม่มีป้าบุญศรีเธอคงไม่กล้าที่จะแต่งชุดที่ไม่ได้เห็นมาก่อนแน่ และเธอคงทำไม่ได้ดีถ้าไม่มีป้าบุญศรีเป็นคนที่คอยฝึกให้

“คุณหนูเจ้า...บาหยันขอไปตวยคนเน้อเจ้า บาหยันอยากเห็นคุณหนูสวมชุดช่างฟ้อน...คงจะงามขนาด”

บาหยันคุกเข่าลงกับพื้นร้องขอนายสาวอีกคน ทำหน้าไร้เดียงสาอย่างน่าสงสาร

“ได้สิ...ฉันจะทิ้งบาหยันอยู่บ้านคนเดียวได้ยังไง น่าสงสารออก”

หญิงสาวหัวเราะชอบใจที่ได้เห็นสีหน้า อันน่าสงสารของสาวใช้คนสนิท

ขณะที่ทั้งสามกำลังตกลงวางแผนกันอยู่นั้นก็มีเสียงรถเข้ามาจอดสนิทที่หน้าบ้าน สาวใช้ชาวเหนือรีบอาสาออกไปดู ไม่ถึงห้านาทีบาหยันก็เดินนำหน้าพาแขกของหญิงสาวเข้ามาในที่นั้น

“สวัสดีคะน้องนิ...สวัสดีคะป้าบุญศรี”

ดีไซเนอร์ร่างอ้อนแอ้นหิ้วตะกร้าใบใหญ่มาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าทุกคนแล้ววางก้นแปะลงที่เก้าอี้ข้างๆ กับผู้สูงอายุ

“สวัสดีคะพี่เจซี่...”

“สวัสดีเจ้าคุณเจซี่ มาแต่เช้าเลยเน้อ...”

“ค่ะ...เจซี่ซื้อของมาฝากทุกๆ คนด้วยนะค่ะ นี่คะมีตั้งหลายอย่าง ทั้งของน้องนิและของคุณป้าบุญศรี...”

กระเทยสาวร่างอ้อนแอ้นช่วยรื้อของในตะกร้าออกมาให้ทุกคนดู มีทั้งผลไม้และอาหารใส่กล่องอีกหลายชนิด

“ขอบคุณเน้อเจ้า...” ป้าบุญศรีพูดขอบคุณเป็นการใหญ่

“เอน้องนิคะ...น้องนิจะเดินทางวันไหนค่ะ เมื่อกี้พี่เข้าไปที่สตูริโอคณะใหญ่เพิ่งออกเดินทางไปเมื่อกี้นี้ ส่วนคุณทัศทระนงและผู้กำกับสุรชัยได้ล่วงหน้าไปหลายวันแล้ว...”

กระเทยสาวเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจ หาได้ปนไปด้วยจริตมารยาสักน้อยนิด

“พรุ่งนี้คะ...พี่เจซี่ล่ะคะจะเดินทางเมื่อไหร่”

“พี่หรือคะ...” ดีไซเนอร์กระเทยสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจ

“...ที่พี่มาหาน้องนิในวันนี้ก็เรื่องนี้แหล่ะคะ พี่ขอติดรถไปด้วยคนนะคะ...คือพี่ไม่มีรถไปคะ”

หญิงสาวยิ้มแจ่มใส กล่าวเชิญตามมารยาท...ใช่เธอต้องการเพื่อนร่วมทางเหมือนกัน มีกระเทยสาวติดไปอีกคนการเดินทางครั้งนี้คงสนุก...

“ได้สิคะ นิก็ต้องการเพื่อนเหมือนกัน...นี่นิก็กำลังจะโทรไปชวนพี่อยู่นะค่ะ ทางเดียวกันไปรถคันเดียวกันประหยัดน้ำมันดีคะ”

กระเทยสาวยิ้มอย่างดีใจ... “พี่ต้องขอขอบคุณน้องนิมากๆ นะคะ ที่ให้พี่ติดรถไปด้วย”

“พี่คะ พี่ดีกับนิมาตลอด เรื่องแค่นี้ถ้านิไม่ช่วยแล้วนิจะไปช่วยใครคะ...”

หญิงสาวกล่าวจากใจจริง เจซี่เปิดยิ้มด้วยความปีติ

“...นิกำลังจะฝึกซ้อมรำ พี่เจซี่อย่าเพิ่งไปไหนนะคะ อยู่เป็นกำลังใจให้นิก่อน...”

นิรัชฌาลุกขึ้นชวนป้าบุญศรีออกมาซ้อมตรงลานหญ้าอ่อนนุ่ม เสียงเพลงดังขึ้นอย่างเชื่องช้า ประณีต เป็นจังหวะอันไพเราะ ที่ถูกขับกล่อมจากเครื่องดนตรีวงสะล้อ เครื่องดนตรีชื่อดังชิ้นหนึ่งของชาวภาคเหนือ นิรัชฌาตั้งท่าอย่างสวยงาม ป้าบุญศรีเดินเข้าไปจัดท่าให้หญิงสาวให้เข้าที่ ก่อนจะเริ่มร่ายรำนำไป... นิรัชฌาฟ้อนตามอย่างอ่อนช้อย

เจซี่นั่งดูอย่างตื่นตา ไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวตรงหน้าจะทำได้ดีขนาดนี้ คล้ายกับมีพื้นฐานมาก่อน...หรือไม่เช่นนั้นก็เคยรำมาก่อน หล่อนถึงได้ทำได้ดีขนาดนี้ ขนาดกระเทยอย่างเจซี่ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างมากมายยังอาย...

นี่นะหรือคือวัฒนธรรมไทยอีกแขนงหนึ่งที่ถูกลบออกจากหน้าประวัติศาสตร์ไทยเพราะไร้ผู้สืบทอด การร่ายรำที่ถูกห่างหายมานับร้อยปี เพราะไม่มีใครทำได้...ศิลปะที่ถูกลืมมานาน บัดนี้กำลังจะผลิบานขึ้นมาอีกครั้งแล้ว...ด้วยฝีมือของหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่เคยแม้กระทั่งจะเห็นศิลปะนี้มาก่อน หรือเคยมีพื้นฐานสักน้อยนิด...นิรัชฌา

******
ภายในห้องฉุกเฉินร่างไร้สติของเข้มนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง บนใบหน้าที่หล่อเข้มถูกเครื่องช่วยหายใจครอบอยู่ สายน้ำเกลือห้อยระโยงรยางค์จากแขนไปจนถึงแท่นคานห้อยถุงน้ำเกลือ...ตอนนี้เขาพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่อาการยังไม่ค่อยดีขึ้น ยังคงไร้สติอยู่เช่นนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นหรือฟื้นคืนสติจากอาการที่หลับใหล

ข้างๆ เตียงร่างของภิกษุชรายืนมองร่างที่อยู่บนเตียงด้วยอาการที่สำรวม ศิษย์รักของท่านตอนนี้ปลอดภัยแล้วท่านทราบดี แต่ดวงจิตนี่สิกลับหลุดลอยออกจากร่างท่องเที่ยวไปหลายภพภูมิเพื่อชดใช้หนี้กรรมที่เคยก่อมาทั้งในชาตินี้และชาติที่เคยผ่านมา ไม่รู้ว่าจะหลุดพ้นมาได้อย่างไร

...เมื่อหนี้กรรมไม่หมด ดวงจิตก็ยังไม่กลับสู่ร่าง...

“เจ้าเข้ม...ดวงเอ็งยังไม่ถึงฆาต เอ็งต้องเข้มแข็งไว้นะ...”

กระแสจิตของท่านส่งผ่านเข้าไปหาศิษย์รัก สายลมอันเย็นยะเยือกช่วยพัดพาไปหาผู้ที่ถูกกล่าวถึง...

******
เข้มนั่งพิงที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งที่แห้งจนตายซากไร้ใบบัง แสงแดดที่ร้อนระอุแผดเผาทุกสิ่งให้แห้งแล้ง มอดไหม้ไปกับพระเพลิงจากดวงสุริยัน มองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้ที่ไร้ซึ่งกิ่งก้าน ยืนตายซากเรียงกันไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา

...หิว เหนื่อย อ่อน อ้างว้างและว้าเหว่ สิ่งเหล่านี้คงจะเป็นสิ่งเดียวที่มีอยู่ในตัวของเขาในขณะนี้...

ที่นี่มันที่ไนกันแน่...นี่มันนรก หรือที่ไหน ทำไมถึงไร้ผู้คน ไร้สิ่งมีชีวิตทุกชนิด แม้กระทั่งต้นไม้ที่ยังยืนตายซากอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากแห้งผาก ในปากไร้น้ำลายที่จะกลืน เส้นเลือดเต้นตุบๆ หัวสมองคล้ายจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ นี่มันยิ่งกว่ากลางทะเลทรายที่ร้อนระอุชะอีก

“เอ็งต้องเข้มแข็งไว้นะ...ไอ้เข้ม”

สรรพสำเนียงชัดเจนลอยมาตามลม เขารู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อลมเย็นปะทะหน้า...เสียงหลวงตา เสียงของหลวงตาบุญจริงๆ ด้วย...เขาได้เพียงแค่นึกทางมโนจิตเท่านั้น ไม่มีแรงแม้กระทั่งที่จะขยับปากพูด เริ่มปลื้มปีติ เมื่อกระแสเสียงจากคนที่คุ้นเคยลอยเข้าสู่โสตหูชัดเจน...ชื่นเย็น

ด้วยความรู้ตื่นจากสันดาน เข้มจึงเริ่มขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งมาเป็นท่านั่งขัดสมาธิ สองมือประสานอยู่บนตัก ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง สูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายเข้าเต็มปอด แล้วค่อยๆ ผ่อนคลายมันออกมาอย่างเป็นจังหวะ ดวงจิตหลุดสู่ห้วงสมาธิ...สงบนิ่ง...

...ขณะที่ดวงจิตของเขาหลุดลงสู่ห้วงสมาธินั้น พลันก็บังเกิดลมพายุกระหน่ำแรง ฝุ่นผงสาดซัดสู่ร่างของเขาที่สงบนิ่งไม่ไหวติง ลมร้อนลอยวนพัดพาเศษกิ่งไม้ใบหญ้าผสมปนไปกับฝุ่นผงต่างๆ พัดกระหน่ำเข้าสู่ร่างของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่นานลมพายุทั้งหมดก็สงบลง...สภาวะรอบด้านแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวขจี แผ่นดินชุ่มชื้น พืชสีเขียว ต้นแล้วต้นเล่า เถาแล้วเถาเล่าสะบัดไหวตามแรงลมอยู่น้อยๆ ตามกิ่งใบเกาะพร่างพรายไปด้วยหยาดน้ำค้าง

เสียงนกวิหคกาต่างร้องก้องไปทั่วขุนเขาพนาไพร สายลมพัดเอื่อย ชุ่มเย็น ชุ่มชื่น ดั่งใจของเขาที่เป็นอยู่ในขณะนี้...เสียงน้ำตกธารใสไหลกระทบซอกหินผาอยู่เป็นระยะ เข้มลืมตาขึ้น รู้ตื่น หลุดออกจากห้วงสมาธิด้วยความหิวกระหายในน้ำ

ไม่ต้องรอให้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขารีบลุกออกจากที่มุ่งตรงไปที่เสียงน้ำกระทบหินผาทันที...เสียงน้ำมันช่างระรื่นหูเสียนี่กระไร ละอองไอเย็นไหลมากระทบหน้าเขาให้ต้องขนลุกซู่ นึกถึงนิมิตเมื่อหลายชั่วโมงก่อนที่ผ่านมา ตอนที่เขาอยู่กลางลำน้ำอันไหลเชี่ยว ปีศาจจากนรกคอยรบกวน รุมทึ่งหมายจะฉีกร่างของเขาให้ออกจากกัน

เขานึกถึงสิ่งเหล่านั้นได้ไม่นานเพราะความหิวกระหายจึงรีบลงไปที่ฝั่งลำธารที่เต็มไปด้วยน้ำใสจนเห็นก้อนกรวดที่วางอยู่ในน้ำชัดตา เข้มวักน้ำกินอย่างไม่รอช้า...น้ำที่ชุ่มเย็นผ่านลงไปที่คอของเขาได้ไม่นานมันก็กลับกลายเป็นก้อนกรวดเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ติดเต็มคอและปากของเขา เข้มรีบคายมันทิ้งแต่ก็ไม่ทัน บางส่วนมันติดไปที่คอที่แห้งผากของเขาเสียแล้ว เขาไอมันแรงๆ เพื่อจะให้มันออกมา จนกลายเป็นสำลักจนหน้าแดงก่ำดั่งขาดใจ

...โอ้อนิจจา...เขาไม่รู้เลยว่าภาพทั้งหมดเป็นแค่ภาพลวงตา บัดนี้ผืนป่าที่เขียวชอุ่มได้กลับกลายสภาพเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งดังเดิม

“เฮอะ...เฮอะ...เฮอะ...”

เสียงหัวเราะเย้ยหยันจากใครบางคนดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณนั้น ชายหนุ่มเหลียวมองเลิ่กลั่กหาเจ้าของเสียง...แต่ก็ไม่พบ

ในเวลานั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้งที่ผืนทรายเบื้องล่าง แผ่นดินแผ่นทรายสะเทือนเลือนลั่น จู่ๆ ผืนทรายที่เรียบสนิทก็มีอันแตกร้าวเป็นรอยแยก ก่อนที่มือจากนรกที่เต็มไปด้วยความสยดสยองจะโผล่ขึ้นมาหมายตรงจับที่ข้อเท้าของชายหนุ่ม เข้มเบิกตาค้างกับมือที่เต็มไปด้วยความน่าขยะแขยงมันเน่าเละจนไม่หลงเหลือสภาพของคำว่ามือ กลิ่นมันเหม็นเน่าฟุ้งกระจายจนทำให้เขาเกือบคลื่นเหียน

“เฮ้ย ย ย ย ย”

ชายหนุ่มร้องตกใจได้แค่นั้นเมื่อมันกระชากร่างของเขาให้ตามลงไปที่พื้นทราย แล้วจมหายลงไปพร้อมๆ กับเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ ทับถมให้บริเวณนั้นเป็นเช่นเดิม...ไม่มีรอยแตกแยก...ไม่มีหลุมพราง...ไม่มีร่างของเขาอีกต่อไป...บริเวณนั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน ไร้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดแม้กระทั่งสัตว์เล็กๆ หรือต้นไม้ที่คอยให้ร่มเงา...

...เนิ่นนาน...นานจนเขาไม่รู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาเท่าไหร่ และมาอยู่ตรงจุดนี้ได้อย่างไร เข้มลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก มันปวดหนึบ หนักอึ้งจนไม่อยากจะลืมมันขึ้น แขนทั้งสองข้างปวดร้าวระบมไปหมด...

เข้มก้มลงมองตัวเอง ตอนนี้เขากำลังนั่งพิงผนังห้องๆ หนึ่ง...เงียบ ไร้ผู้คน

...อีกแล้ว...บรรยากาศแบบนี้อีกแล้ว เขาไม่ชอบเอาเสียเลย มันวังเวงยังไงชอบกล ยังดีที่เขาเงยหน้าขึ้นไปเห็นแสงไฟจากหลอดนีออน นั่นมันแสดงว่าขณะนี้เขาได้อยู่บนโลกปัจจุบันแล้ว แต่จะเป็นโลกที่เงียบเหงาหรือโลก ณ ห้วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ก็สุดจะหยั่งรู้...

หลอดไฟสีขาวนวลสว่างจ้า ส่องแสงสว่างขาวโพลนไปทั่วทั้งบริเวณห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นั้น เข้มลุกขึ้นยืนแล้วเดินสำรวจไปรอบๆ ห้องนั้นทันทีอย่างไม่รอช้า มันเป็นแค่ห้องเล็กๆ เขาแค่เดินไม่กี่ก้าวก็สามารถเดินได้ทั่วแล้ว...

พลันนั้นสายตาของเขาก็ไปสะดุดเอากับประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่ เขาเดินเข้าไปหมุนลูกบิดช้าๆ...สัมผัสแรกที่มือของเขาแตะลูกบิดรู้สึกถึงกระแสแห่งความเย็น...มันเย็นเฉียบเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งจากขั้วโลก จนทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปกับความหนาวเย็นนั้น...ขนลุกซู่

...ประตูไม่ได้ล็อค เข้าจึงค่อยๆหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตู....

“เฮอะๆ ๆๆ ๆๆๆ”

อีกแล้ว...เสียงนั่นอีกแล้ว เขาไม่ค่อยชอบเลย ใครกันแน่ที่เล่นตลกกับเขาได้เช่นนี้ อยากรู้จังเลยว่าเป็นใครกันแน่...

...ในหัวสมองของเข้มในขณะนี้เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องผีสางนางไม้อะไรทั้งนั้นเพราะเขาไม่เคยคิดเชื่อในเรื่องนี้ แต่ที่คิดในตอนนี้น่าจะเป็นคนมากกว่า...แล้วใครกันล่ะ...

ประตูเปิดออกเข้มเยี่ยมหน้าออกไปมองก็เห็นเป็นทางเดินโล่งๆ ไร้ผู้คน ทางเดินทั้งซ้ายและขวามืดสนิท กระแสเย็นเฉียบลอยมากระทบหน้าของเขาที่ร้อนวูบ สำนึกคุ้นเคยบอกว่าเขาเคยมาที่นี่มาก่อน...

โรงพยาบาล แต่จะเป็นชั้นไหนหรือตึกไหนเขาก็สุดจะรู้ได้...ดังนั้นสิ่งแรกที่จะต้องพิสูจน์ในตอนนี้คือตรงจุดที่เขายืนในขณะนี้มันที่ไหนกันแน่ เข้มก้าวขาออกจากห้องไปยืนอยู่ตรงกลางทางเดินเพื่อมองหาจุดยืนหรือจุดสังเกตในขณะนี้

นาทีนั้น...ทางเดินที่มืดสนิทก็พลันสว่างโร่ขึ้นตรงจุดที่เขายืนอยู่...มีสิ่งหนึ่งที่บังคับกำหนดให้ดวงจิตของเขาให้วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

ปัง...ปัง...ปัง...!!!

เมื่อเขายิ่งวิ่งแสงสว่างจากดวงไฟก็สว่างขึ้นตรงจุดที่เขาวิ่งผ่าน พร้อมกับบานประตูจากห้องข้างๆ ทั้งสองด้านก็กระชากเปิดผางขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครเปิด เสียงดังลั่นจากประตูพวกนั้นยิ่งทำให้เข้มเร่งฝีเท้ามากขึ้น

“เฮอะๆ ๆๆ ๆๆๆ”

นั่นเสียงหัวเราะนั่นอีกแล้ว โสตประสาทหูของเขาได้ยินมันอย่างชัดเจน มันดังตามเขามาทางด้านหลังเข้มหยุด...แล้วหันไปมอง แต่ไม่...ทุกสิ่งข้างหลังว่างเปล่าไร้ผู้คนหรือวิญญาณ บานประตูทุกบานที่เขาเพิ่งผ่านมาปิดสนิท หาได้มีร่องรอยแห่งการเปิดอยู่ไม่...เงียบสนิท ชายหนุ่มหายใจโล่งอก ยืนสงบเพื่อให้หายเหนื่อย...แล้วทำไมเขาจะต้องวิ่งด้วย...แล้วทำไมเขาจะต้องกลัว...เขาไม่เข้าใจเลย

เข้มเงยหน้าขึ้นมองบนเพดานเพราะในโสตประสาทแว่วได้ยินเสียงกุกกักอยู่บนนั้นมันเป็นเสียงที่สั่นประสาทหูเอามากๆ

...กุกกัก...กุกกัก...คล้ายสิ่งมีชีวิตกำลังเดินอยู่บนนั้น

พระเจ้า...เขาตะลึงตาค้างเมื่อเห็นเจ้าของเสียงนั้นเต็มๆ ตาเพราะมันได้ห้อยหัวมาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว แถมยังแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างน่าสยดสยอง...ตุ๊กแกผี...เขาจำได้ว่าเคยเห็นในหนังและอุทานคำนั้นออกมาจริงๆ แล้วไยถึงไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากสักน้อยนิด...ลำคอแห้งผาก น้ำลายเหนียวหนืดยากจะกลืน

“แฮ่ะๆ ๆๆ ๆๆๆ”

เจ้าสิ่งอันน่าเกียจนั้นแลบลิ้นสองแฉกมาตรงหน้าของเขาเผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคมวาววับสะท้อนแสงไฟ มันหัวเราะเสียงแหบพร่า...ดวงตาแดงก่ำจ้องมองมาที่เขาอย่างกระหายเลือด

“เฮ้ย...ย ย ย”

เข้มหลุดเสียงดังลั่น หันหลังแล้ววิ่งไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ความกลัว...เพราะเขาไม่เคยกลัวผีและเชื่อในเรื่องนี้ แต่มันเป็นความตกใจมากกว่าบวกกับมีสิ่งหนึ่งคอยบังคับจิตใจเขาอยู่ในขณะนี้

“เฮอะๆ ๆๆ ๆๆ”

เมื่อร่างของชายหนุ่มวิ่งหายออกไป เจ้าสิ่งที่น่าอัปลักษณ์ก็ค่อยๆ เลือนหายไปในพริบตา...

******
คุ้มเรือนแก้วอาณาจักรเรือนไทยของเจ้านางผู้ผูกจิตพยาบาท...เจ้านางเอื้องแก้ว...มืดสนิทไร้สรรพสำเนียงใดๆ มีแต่เสียงหวีดหวิวกรีดกรายของเหล่าแมลงกลางคืนและสายลมละมุนที่พัดพาเอาความวิเวกวังเวงลอยอบอวลไปทั่วบริเวณนั้น กลิ่นอายแห่งความตายพัดพากระจายไปทั่วอาณาบริเวณอันกว้างขวางผสมกับเสียงเห่าหอนของเหล่าสุนัขที่ระงมห่างไกลออกไป

ที่ชานเรือนแก้วเงาเลือนรางเงยหน้ามองแสงจันทร์เสี้ยวที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้า ดวงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้าส่งแสงระยิบระยับแข่งกับรัสมีจันทร์ฉาย

“มันจักมากั๋นแล้ว...มันจักมาหื้อกูได้แก้แค้นหื้อสมกับที่กูได้รอหมู่มันมายาวนาน กูสาแก่ใจ๋นักที่เฮือนของกูสามารถที่จะทำหื้อหมู่มันมารวมตั๋วกั๋นที่นี้ได้...ดีกูจักบ่ต้องเสียเวลา ได้แก้แค้นหื้อสมกับที่กูรอมายาวนาน เหอะๆ ๆๆ ๆๆๆ”

เงาร่างนั้นหัวเราะก้องสะท้อน ใบหน้าที่เคยสวยสดงดงามกลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่สยองขวัญ เต็มไปด้วยเหล่าแผล คราบเลือดแห้งเกรอะกรังติดไปทั่วใบหน้านั้น แววตาเปล่งประกายแสงเพลิงอยู่ตลอดเวลา ปากที่ได้รูปยิ้มแสยะอย่างน่ากลัว

...สายลมพัดวูบเข้ามา พร้อมกับร่างของนางจันทร์ทาสรับใช้ก็เคลื่อนเข้ามาหยุดอยู่ข้างหลังผู้เป็นนาย

“เจ้านาง...ข้าเจ้าบ่เข้าใจ๋ ไยเจ้านางถึงได้อนุญาตหื้อไอ้อีหมู่นั้นบุกรุกเข้ามาย่างกรายในเขตเฮือนของหมู่เฮา...”

เจ้านางเอื้องแก้วหันกลับมามองนางข้าไท แววตาที่ลุกโชติช่วงไปด้วยเปลวไฟแห่งความพยาบาทลดวูบลง ใบหน้าที่ยิ้มแสยะ และสยดสยองแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เลอโฉมเช่นเดิม

“มึงบ่ฮู้อะหยั่ง อีจันทร์...ไอ้อีหมู่นั้นล่ะที่จะพาศัตรูของหมู่เฮามาหื้อหมู่เฮาได้แก้แค้นหื้อสมใจ๋...หลังจากที่หมู่เฮารอมันมานาน”

น้ำเสียงของเจ้านางเอื้องแก้วแฝงไว้ด้วยความปลื้มปีติเสียยิ่ง

“...แล้วอีอุ่นเฮือนละเจ้า...”

นางจันทร์ได้ถามขึ้นเช่นนั้น ขณะที่เจ้านางเอื้องแก้วกลับแปรเปลี่ยนกิริยาอีกครั้ง

“...นายของมึงนะรึ อีจันทร์”

วิญญาณร้ายถามเสียงเยาะ ดวงตาทั้งสองข้างมีแสงไฟลุกโชกช่วงขึ้นอีกครั้ง ดั่งจะแผดเผาร่างตรงหน้าให้แดดิ้นไปในพริบตา

“โธ่...เจ้านาง”

นางจันทร์ทรุดลงคุกเข่า กอดเท้าของเจ้านางเอื้องแก้วไว้แน่น

“...ข้าเจ้าภักดีต่อเจ้านางตลอดมา บัดนี้นายของข้าเจ้ามีเพียงเจ้านางเอื้องแก้วแต่เพียงผู้เดียว ส่วนอีอุ่นเฮือนนั้นมันคือศัตรูที่ข้าเจ้าจักต้องแก้แค้นหื้อสาสมที่มันได้ทำกับเจ้านางและหมู่เฮา...”

ประโยคสุดท้ายนางจันทร์พูดเสียงดัง ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเคืองแค้นเท่าๆ กัน

“...ที่ข้าเจ้าจักถามเจ้านางเช่นนั้นก็เพื่อจักต้องการฮู้ว่าเจ้านางจะทำอย่างไรต่อไปกับมัน”

วิญญาณร้ายลดโทสะเข้าใจในคำพูดของนางทาส

“...อีอุ่นเฮือนนะรึ เพลานี้มันยังบ่ถึงฆาต กูจักหื้อมันทรมานอยู่จะอั้นต่อไป เมื่อถึงเพลานั้นกูจะหื้อมึงแลอีเอื้อยได้ฆ่ามันหื้อสมกับความแค้นของหมู่มึงเอง หึๆ ๆๆ”

สายลมเริ่มพัดแรงอีกครั้ง กิ่งลำไยกว่าร้อยต้นพากันสั่นไหวกันกรู่กราว พร้อมกับเสียงหัวเราะของเจ้านางเอื้องแก้วที่ดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณนั้น นกหนูที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้พากันตกใจบินหนีกันแทบไม่ทัน

เสียงเห่าหอนของสุนัขเริ่มกรรโชกดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับมันได้เจอเข้ากับสิ่งที่เหนือธรรมชาติเข้าให้แล้ว

“เหอะ...เหอะ...เหอะ”

เสียงหัวเราะก้องแหลมอย่างน่าสยองเกล้าของเจ้านางเอื้องแก้วดังก้องมาไม่ขาด เรือนแก้วเริ่มสั่นไหวคล้ายมีชีวิต จิตพยาบาทเริ่มก่อตัวแรงกล้า และเริ่มโหมแรงขึ้นเมื่อสิ่งที่ต้องการกำลังจะกลับมา สิ่งที่รอยคอยกำลังจะดำเนินเข้าหา...รอยแค้นจากอดีตกำลังจะได้สะสางหลังจากที่รอมานานแสนนาน...หลายร้อยปี

…โปรดอ่านต่อในตอนต่อไป...




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2553
0 comments
Last Update : 6 สิงหาคม 2553 18:59:18 น.
Counter : 400 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ภีมภูริ...
Location :
พะเยา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ข้อตกลง
1. กรณีที่ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานที่แต่งโดยผู้ลงผลงานเอง ลิขสิทธิ์ของผลงานนี้จะเป็นของผู้ลงผลงานโดยตรง ห้ามมิให้คัดลอก ทำซ้ำ เผยแพร่ ก่อนได้รับอนุญาตจากผู้ลงผลงาน

2. กรณีที่ผลงานชิ้นนี้กระทำการคัดลอก ทำซ้ำ มาจากผลงานของบุคคลอื่นๆ ผู้ลงผลงานจะต้องทำการอ้างอิงอย่างเหมาะสม และต้องรับผิดชอบเรื่องการจัดการลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว

3. ผู้ใดพบเห็นการลงผลงานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ โปรดแจ้งเจ้าของบล็อกทันที




Friends' blogs
[Add ภีมภูริ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.