The benefit of bilingual ^___^
สองวีคที่ผ่านมาทำงานใช้คอมถึง 30 ชม เลยทีเดียว รู้สึกเจ็บๆตาปวดหัวเหมือนกัน ทำให้ไม่ค่อยได้ใช้คอมส่วนตัวเท่าไร วีคหน้าก็ต้องบินไปเทรนต่างรัฐสองวัน ไม่อยากไปเลยนะเพราะคงจะคิดถึงลูกๆมาก แต่ก็ต้องไปเพราะหน้าที่ ดีหน่อยที่บินไปไม่ไกลมากนัก
วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 วันนี้รถบัสมารับพี่ตรงเวลาหลังจากที่เป๋ไปสองวัน แม่ก็ไม่ได้แพลนไปไหนเนื่องจากแม่ชอบที่จะสอนลูกเองมากกว่าโดยเฉพาะภาษาไทย วันนี้น้องจะต้องไป รร ตอนภาคบ่ายแม่จึงสอนน้องอยู่กับบ้านในช่วงเช้า ตื่นนอนแม่จัดการพาน้องไปเข้าห้องน้ำ เอานมให้น้องทานและให้น้องดูทีวีสิบห้าถึงยี่สิบนาที ส่วนแม่ก็คลีนอัพและเช็คเมล เสร็จแม่ก็รีบไปเตรียมอาหารเช้าแบบทานง่ายๆ อย่างเช่นซีเรียลไม่ก็ผลไม้
เมื่อทานอาหารเช้ากันเสร็จแม่ก็เอาหนังสือนิทานไทยมาอ่านให้น้องฟัง ซึ่งน้องก็ดูแรกๆ แล้วก็วิ่งซนบ้างแต่ก็กลับมาดูอีก หนังสือที่แม่สอนน้องวันนี้คือเรื่อง กุ๋งกิ๋งไปโรงเรียน เพราะตอนนี้น้องไป รร เหมือนกัน แม่ก็อ่านไปตามหนังสือ เวลาน้องมาดูก็บอกให้ฟังเป็นไทย น้องก็ชี้ๆไปที่เด็กนั่งทานข้าวแล้วบอกว่า กินข้าวๆ พอน้องเห็นกุ๋งกิ๋งแปรงฟัน น้องก็บอกว่าแปรงฟันๆ มีพูดแซมๆว่า brushing teeth พอเห็นเด็กเล่นที่สนามเด็กเล่นน้องก็บอกว่า slide ๆๆ มัมมี๊ play slide แม่ก็บอกว่าอ๋อเด็กๆเล่นสไลด์ เพราะที่เมืองไทยก็พูดคำนี้เหมือนกัน เหมือนเป็นการพูดทับศัพท์ แต่ส่วนใหญ่จะพูดว่า เล่นกระดานลื่น แม่อ่านให้น้องฟังจนจบเล่มเลยนะ มีไม่เยอะ น้องมีสมาธิและตั้งใจฟังดีกว่าเดิมมากๆเมื่อเทียบกับวีคก่อน แม่ดีใจที่น้องได้ภาษาไทยเยอะขึ้น ที่สำคัญแม่จะคอยย้ำตลอดหากลูกนึกไม่ออกหรือพูดปนกันค่ะ เพราะเราไม่สามารถที่จะสอนได้ทุกคำ ลูกๆเมื่อพูดปนกันหรือเรียกว่า Tinglish แม่ก็จะสอนให้พูดถูกทุกครั้ง ยังไม่มีคลิปมาโชว์นะคะเนื่องจากน้องพอเห็นกล้องก็ร้องจะเล่นกล้องทุกครั้ง แต่แม่จะพยายามนะคะ
รูปยืมมาเวบนี้ค่ะ พอดีไม่ได้ถ่ายไว้ //www.mom2kids.com/PK00809/%AA%D8%B4-%C7%D1%B9%E1%CA%B9%CA%B9%D8%A1%A2%CD%A7%A1%D8%EB%A7%A1%D4%EB%A7-%A1%D8%EB%A7%A1%D4%EB%A7%E4%BB%E2%C3%A7%E0%C3%D5%C2%B9/
นิทานของกุ๋งกิ๋งมีครบทุกเล่มเลย คราวหน้าจะถ่ายมาให้ดูนะคะพร้อมด้วยนายแบบตัวน้อยของแม่ นิทานชุดนี้อ่านให้คนพี่ฟังหมดแล้วเพราะคนพี่ชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เล็กๆ เอาไปนั่งอ่านเองด้วย แต่คนน้องจะนั่งไม่ค่อยติดก็คือซนกว่าเยอะ แต่ตอนนี้สอนน้องได้บ้างแล้ว แม่ไม่ได้บังคับนะคะ ก็สอนไปเรื่อยๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไรสบายค่ะ เราสามารถสอนได้ในเรื่องของชีวิตประจำวัน การพูดกับเค้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เด็กจะรับได้เร็วมากๆอย่างไม่น่าเชื่อ คนโตเมื่ออายุประมาณสี่ขวบเค้าสามารถแยกแยะได้หากแม่บอกว่าให้พูดไทยหรือ English ค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะสับสน คุณยายกลัวหลานสับสนค่ะบอกว่าไม่ควรสอนไทยเยอะ แต่แม่ก็บอกคุณยายว่าไม่ต้องห่วงเพราะเด็กๆแยกได้ค่ะ หากไม่สอนตอนนี้ก็จะยากหากเด็กๆโตไปแล้ว ช่วงสามปีแรกจะสำคัญมากๆ จากรีเสริชพบว่าเด็กสองภาษาจะฉลาดกว่าเด็กภาษาเดียวกันค่ะ คือสมองจะหยักกว่านั่นเอง นี่คืออ่านเจอมานานแล้วค่ะ เอามาแชร์ให้ฟัง
ลูกชายคนโตของแม่ซึ่งสิ้นเดือนนี้จะเจ็ดขวบแล้วนะครับ ลูกรักการอ่านตั้งแต่เล็กๆ สามารถนั่งอ่านหนังสือได้นานๆตั้งแต่ขวบเศษๆ แม่ก็ส่งเสริมและสอนภาษาไทยให้หนูมาตลอด รู้จักภาษาไทย สระ และพยัญชนะ นอกจากนี้ยังสามารถอ่านคำผสมง่ายๆได้อีกด้วย พูดไทยได้ค่อนข้างดีแต่จะพูดกับแม่คนเดียวเท่านั้น อุปนิสัยพี่เป็นเด็กขี้อายอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ถือว่าดีขึ้น ส่วนที่ไม่ยอมพูดไทยกับคนอื่นเท่าไรแม่ก็เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา อาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมด้วย แต่ไปเมืองไทยคราวที่แล้ว พอลูกคุ้นเคยและเล่นกับลูกๆของเพื่อนแม่ ลูกก็พูดบ้าง ที่สำคัญลูกเข้าใจภาษาและสามารถสื่อสารความต้องการของตนเองได้ เข้าใจเพื่อนคนไทยว่าเค้าต้องการอะไร นี่คือประโยชน์ที่ได้รับ แม่จึงเล็งเห็นความสำคัญที่จะสอนให้ลูกภาษาไทยของเราค่ะ สอนภาษาไทยนั้นง่ายสำหรับแม่เพราะเป็นภาษาของแม่อยู่แล้ว
นี่คือคลิปตอนพี่สองขวบเศษๆค่ะ เป็นคลิปที่แม่ชอบมากๆ ตอนนั้นพี่ยังตัวป้อมๆ ยังพูดได้เป็นคำๆเท่านั้นเอง เนื่องจากพูดสองภาษาทำให้ลูกพูดช้าไปนิดหน่อย แต่ไม่เคยกังวลเลยเพราะแม่รู้ดีว่าเมื่อพี่ไป รร ภาษาก็จะได้ไปเองค่ะ และตอนนี้ลูกพูดภาษาเก่งมากๆ เก่งกว่าภาษาไทยนะคะเพราะลูก expose English มากกว่า แต่แม่ไม่ห่วงเลยค่ะ เพราะเรื่องภาษาไทยพี่ก็เข้าใจได้พอสมควร พูดไทยค่อนข้างชัด ส่วน English ลูกพูดน้ำไหลไฟดับเลยค่ะ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านและทักทายกันนะคะ Have a nice day and night ค่ะ
ปล เคล็ดลับความสุขที่เราและเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักจากบลอคแกงค์ก็คิดเหมือนกันก็คือ .. หายใจเข้าลึกๆนึกถึงแต่ส่วนดีๆของคนที่ทำให้เราเสียใจแล้วให้นึกถึงคำว่าอโหสิกรรมๆๆๆๆๆ ขอให้เค้ามีแต่ความสุขๆๆๆๆ ท่องแบบนี้ไปเรื่อยๆถ้ากำลังทุกข์ใจนะ อารมณ์กระวนกระวายของเราจะค่อยๆหายไป ทำมาแล้วล่ะ จริงๆนะคนเรานี่นะจุดจบก็คือตายกันทุกคน เวลาโกธรจัดๆจะคิดแบบนี้นะแล้วจะโล่งเลยในหัวน่ะ ทำไมต้องโกธรกันทำไมต้องเกลียดกันทำไมต้องนินทากัน บางทีเราเผลอไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบแล้วพอนึกได้ก็จะกลับมาเป็นคนคิดดีเหมือนเดิมเลยกลายเป็นโกธรคนได้ไม่นาน คือ เรายังไม่ได้ล่วงถึงขึ้นนิพพานก็ต้องมีอารมณ์อย่างนี้กันทุกคนแหละเว้นแต่ว่าใครจะมีมากมีน้อยกับด้านมืดในใจน่ะค่ะ
ส่วนใครบางคนอาจจะไม่รู้จักเราดีพอ เค้าก็มีสิทธิ์จะคิดไปตามใจเค้าได้ อันนี้เราคงห้ามเค้าไม่ได้ มันเป็นธรรมดาของชีวิต ถ้าเราเอามาแบกมันก็หนักเสียเปล่าๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ปล่อยวางแล้วทำใจเป็นกลาง เพราะเรารู้ดีว่าตัวเราเป็นอย่างไร เราเป็นคนที่ทำหากทำให้ใครเสียใจเราก็พร้อมที่จะขอโทษจากใจจริง และพร้อมที่จะให้อภัยกับทุกๆคนที่ทำให้เราเสียใจ เรื่องความจริงเป็นอย่างไรใครไม่รู้จักเรา อย่างน้อยๆเราก็มีเพื่อนที่รักและครอบครัวที่เข้าใจเสมอ จริงไหมคะ ^___^ คนเราก็มีทำผิดทำพลาดกันได้บ้างล่ะ เราจึงไม่ควรที่จะซ้ำเติมเค้า ^^
Create Date : 23 กรกฎาคม 2553
Last Update : 23 กรกฎาคม 2553 1:41:31 น.
6 comments
Counter : 903 Pageviews.