✿Blog 3 Justin's ice skating 1st and 2nd + Thai Kitchen ✿
สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ได้ตำแหน่งสายสะพายด้วยนะคะ
ก็ก่อนหมดเขตสองสามวันได้ตระเวณโหวตให้หลายๆท่านเท่าที่จะทำได้ค่ะ
ตัวเองก็ได้ตำแหน่งมาสองปีแล้ว ก็ดีใจที่เห็นเพื่อนๆที่ได้ตำแหน่งครั้งที่ 6 นี้นะคะ
หลังจากที่ตัวเองได้ตำแหน่งปีที่ 4 และ 5 ก็ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านหรืออัพกันที่บลอคเลยค่ะ 555
แต่ก็คิดถึงเพื่อนๆเก่าๆที่บางคนก็ยังเขียนและอีกหลายๆคนที่วางเมาส์ไปแล้ว
ขอให้เพื่อนๆมีความสุข แข็งแรง ร่ำรวย และก็ขอบคุณสำหรับมิตรภาพดีๆที่มีให้กันเสมอมาค่ะ
อย่างที่เกริ่นไปในไดอารี่ ( blog ) หน้าที่แล้วเรื่องที่พี่จัสเริ่มเรียนสเกตเมื่อวีคที่ผ่านมาวันอังคารแรก
ซึ่งก็ทำให้พี่จัสต้องมีน้ำตาเลยทีเดียวแต่ก็ไม่ยอมแพ้ ทีแรกแม่คิดว่าพี่จัสจะไม่ยอมกลับมาเรียนอีก
วันศุกร์แด๊ดดี๊จึงพามาฝีก แต่พี่จัสจับมือแด๊ดดี๊ตลอดเลยแถมยังร้องไห้อีกเป็นครั้งที่สอง
แม่ก็นะใจไม่ดีสงสารลูกเพราะไม่เคยที่จะบังคับให้ลูกทำอะไรที่เค้าไม่ต้องการ การมาเรียนครั้งนี้พี่จัสสมัครใจมาเอง
แต่แม่ก็อยากให้ลูกไม่ยอมแพ้เว้นเสียแต่ว่าลูกไม่ชอบจริงๆ ค่าเล่าเรียนแพงเอาการอยู่
แต่สามารถเครดิตกลับมาได้บางส่วน หากลูกไม่ชอบจริงๆแม่ก็ไม่ว่ากัน แม่ก็ได้แต่ภาวนาให้ลูกสู้
และมีความอดทนเพราะเพิ่งแค่วันแรกเองและแค่ครึ่ง ชม เท่านั้น
ส่วนที่บ้านแม่ก็เปิดคลิปการสอนเล่นไอซ์สเกตให้ลูกดู แม่เล่นไม่เป็นหรอกแต่ก็อธิบายไปตามที่เค้าบอก พี่จัสเค้าก็ดูสนอกสนใจดีพอควร วันอังคารที่ผ่านมาซึ่งเป็นคลาสที่สอง แม่และแด๊ดดี๊ตื่นเต้นและลุ้นกันน่าดูเลย เป็นที่น่าพอใจเพราะพี่จัสสามารถที่จะยืนและเดินได้ไม่ล้มมากเหมือนวันแรก พี่จัสพยายามและดูจะสนุกกับมัน พอพี่จัสเริ่มจะทำได้พี่จัสก็พยายามจะบอกสาวน้อยนางหนึ่งว่าจะต้องทำอย่างไร
ส่วนคนนี้ยังไม่ยอมเล่น เป็นกองเชียร์ เชียร์ไปก็ป่วนแม่ไป 555
ส่วนแด๊ดดี๊ก็ลุ้นตัวโก่ง อิอิ
Video clips
แม่เห็นแล้วก็แอบขำกลิ้งเลยนะลูกหมา แถมพอจบคลาสบอกว่าจะสอนแม่อีก 555 ได้เลยจ้า พี่จัสจบคลาสนี้เมื่อไรแม่ก็จะไปลงเรียนเหมือนกัน เริ่มตอนนี้ไม่ทันแล้วเพราะคลาสต่างๆเค้าเริ่มไปแล้ว เมื่อแม่เป็นแม่ก็จะได้พาลูกออกไปเล่นกันนะครับ ส่วนน้องยังไม่อยากเรียนเพราะกลัวล้ม ไม่เป็นไรนะลูกนะ ไว้ให้โตกว่านี้และลูกพร้อมเมื่อไรเราค่อยมาว่ากันอีกที
ก่อนเราจะไปคลาสครั้งที่สองซึ่งเริ่มเวลา 6.45pm เราก็ได้ไปหาอาหารทานที่ร้านไทยคิทเช่นก่อน แม่อยากเจอเพื่อนๆและเผลอๆอาจจะเจอพี่หมวยเจ้าของร้านก็ได้ แม่ไม่ได้เจอพี่หมวยภรรยาของคุณหมอเจ้าของร้านมานานแล้ว วันนั้นโชคดีที่พี่หมวยและคุณหมอแวะเข้ามาที่ร้านพอดิบพอดี แม่ดีใจมากๆเลย พี่หมวยน่ารักเสมอ แม่ชอบคุยกับพี่เค้าเรื่องชอปปิ้ง แต่แม่ก็คงไม่มีปัญญาที่จะซื้อของแพงมากๆมาใช้เหมือนพี่หมวยอย่างแน่นอนค่ะ
พี่หมวยที่แสนน่ารัก
เห็นพี่หมวยโชคดีมีความสุขแม่ก็สุขใจด้วยแล้ว เราไม่จำเป็นต้องมีเหมือนเค้าเราก็มีความสุขได้ แม่คิดว่าเท่าที่แม่มีและเป็นก็โชคดีกว่าคนอีกหลายล้านคนนัก พอใจเท่าที่ได้ พึงใจเท่าที่มีแค่นี้แม่ก็สุขใจ ต้องขอขอบพระคุณคุณตาคุณยายหรือคุณพ่อคุณแม่ของแม่เองที่เป็นตัวอย่างของการอยู่แบบพอเพียงและแนวคิดของในหลวงของเราด้วยที่ทำให้แม่มีสติ มีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่พอดีกับฐานะของเรา
แม่ก็เมาท์กับคนนั้นคนนี้ทั้งพี่หมวย พี่ลัก พี่อ้อยสองแม่ครัว แต่ก็เมาท์ได้ไม่เยอะเท่าไรเพราะน้องเจวายร้ายของแม่จะไม่ยอมให้แม่คุยเท่าไร แอบหวงแม่เล็กๆนั่นเอง พอแม่พูดก็บอกแม่ว่า หม่ามี๊ be quiet !! พอแม่เข้าไปในครัวก็ร้องตามอีก เฮ้อ แต่แม่ก็รักลูกนะครับ เพราะอีกหน่อยโตเป็นหนุ่มก็คงไปติดสาวๆแทนแม่ล่ะ 555
ภาพหลุดของแด๊ดดี๊ ส่วนน้องเห็นกล้องก็รู้งานค่ะ
แม่ไม่ได้ถ่ายรูปเยอะเลยเพราะยุ่งและถ่านก็จะหมด อาหารอร่อยมากๆ แม่สั่งราดหน้าเส้นหมี่ เพิ่มหมี่กรอบ ข้าวผัดให้เด็กๆ และก็ฮันนี่วิง ไมได้สั่งอะไรเยอะ เท่านี้ก็เหลือกลับบ้านไปทานได้อีกมื้อ ช่วงนี้แม่ต้องการลดน้ำหนักอันเป็นผลพวงมาจากเทศกาล ยิ่งอายุเยอะก็ยิ่งลดไม่ค่อยจะลง แต่แม่ก็จะพยายามคุมอาหารบ้าง ปล่อยบ้างตามโอกาสค่ะ อิอิ
ปิดท้ายด้วยธรรมะดีๆอีกเช่นเคยนะคะ
ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ
คำตอบง่ายมาก เพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจ เวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปน ความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่
ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น "ถังขยะ" ล่ะ
คำตอบก็คือ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเอง หรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราไม่หมั่นสำรวจ บางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้ อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ
1. ความไม่พอใจ
มีหลายเรื่องเลยนะ ในชีวิต ที่เราไม่พึงพอใจ ถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพ สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเอง ไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของคน ย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง
ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีเกิน มีขาด จนกว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง
ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้ว ความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์กว่าการจับผิดกัน แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ
2. ความผิดหวัง
สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก คือหวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมา กับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการ อดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม ดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติ ให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้า ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น
ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมด แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร กระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจ และปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะรกอารมณ์
3. ความอิจฉาริษยา
ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุด ก็คือความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตาม ความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วย เพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้น ย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดีหรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน
จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่า การที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดี ควรยินดีกับเขา และปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขามีจนเราอิจฉา
4. ความยึดมั่นถือมั่น
ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อรุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีกประการหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น คิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉัน ตำแหน่งของฉัน ฯลฯ จนไม่สามารถปล่อยวาง สิ่งนอกตัว เหล่านั้นลงได้
ส่วนใหญ่พบว่า จิตจะปรุงแต่งไปเอง ว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้ พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจ และปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม
ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหม ว่าอะไรๆ ในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตาย ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง
5. ความกลัว
ใจหลายคน รุงรังไปด้วยความกลัว กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่า กลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ
กลัวไปทำไม เรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้า กลัวจนประสาทเสีย
จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนและทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น และจงขจัดความกลัวออกไปจากใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรี เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม
6. ความอยาก
จง "อยาก" ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่าย แล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต
ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับ รถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆ ก็นิ่งอยู่กับที่ แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิต ฉะนั้น ใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยาก ขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้
ทำอย่างไรให้ใจสะอาด
เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนัก แล้วอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่อยู่กับเรา เป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วย นั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้ง การอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆ ให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีก เพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน
ใจ...แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเอง แต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆ มาปะพอก จนใจนั้นหมดสภาพ ฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลาย แล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจ เต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง
อย่าไปบงการหัวใจมาก เพราะแทนที่จะเป็นหัวใจ มันจะกลายเป็นถังขยะแทน
ขอบคุณบทความจาก ลานธรรมจักร //www.dhammadelivery.com/story-detail.php?sto_id=597
ปล แนวคิดธรรมะนี้สามารถนำมาใช้ได้จริงนะคะเพราะแพทนำมาใช้อยู่ค่ะ ทำให้ใจนิ่งและสงบมากกว่าแต่ก่อนเยอะเลย ชีวิตก็มีความสุขขึ้นมาก ลองนำไปใช้ดูนะคะ ^^
Create Date : 19 มกราคม 2554 |
Last Update : 20 มกราคม 2554 10:38:59 น. |
|
44 comments
|
Counter : 902 Pageviews. |
|
|