การพิสูจน์ว่ามีการติดเชื้อเอช ไพโลไรหรือไม่นั้น ทำได้หลายวิธี ได้แก่
- การตัดชิ้นเนื้อจากกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก แล้วนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยเรียกว่า Urease test หรืออาจนำชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งนอกจากจะตรวจหาเชื้อแบคทีเรียได้แล้ว ยังสามารถประเมินความรุนแรงของการอักเสบ และเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารหรือไม่
- การนำสารคัดหลั่งหรือชิ้นเนื้อจากกระเพาะอาหารไปเพาะเชื้อ วิธีนี้มักจะใช้ เพื่อต้องการดูความไว/การตอบสนองของเชื้อต่อยาปฏิชีวนะ ในกรณีที่ให้ยาไป 2 ครั้งแล้ว เชื้อแบคทีเรียนี้ยังไม่หายไป
- การให้ผู้ป่วยดื่มสารยูเรียที่มีสารกัมมันตภาพรังสี หากผู้ป่วยมีเชื้อ เอช ไพโลไร เชื้อจะไปย่อยสารยูเรีย กลายเป็นแอมโมเนียและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีสารกัมมันตภาพรังสีติดอยู่ ซึ่งจะตรวจพบสารดังกล่าวจากลมหายใจออกของผู้ป่วยได้ เรียกว่า Urea breath test
- การตรวจหาส่วนประกอบของเชื้อจากอุจจาระ (Stool antigen test)
การรักษาเพื่อกำจัดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร
การรักษาโรคติดเชื้อเอชไพโลไร คือ การให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ ร่วมกับการให้ยาลดกรด จะให้ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการส่องกล้อง และตรวจพบแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ร่วมกับการตรวจพบเชื้อเอช ไพโลไร หรือให้ในผู้ป่วยที่มีอาการของโรคกระเพาะอาหาร แล้วไม่ได้ส่องกล้องตรวจ แต่ตรวจพบเชื้อ เอช ไพโลไร
ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาประกอบด้วยยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 2 ชนิด การใช้ยาชนิดเดียวพบว่า ไม่สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้ นอกจากนี้ จะต้องให้ยาลดกรดควบคู่ไปด้วย การให้ยาจะอยู่ในรูปแบบรับประทาน โดยให้นานประมาณ 7-14 วัน หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน จะตรวจดูว่า ยังมีเชื้อแบคทีเรียอีกหรือไม่ อาจใช้วิธี Urea breath test หรือ Stool antigen test หากยังพบเชื้ออยู่ จะต้องรักษาอีกครั้ง โดยเปลี่ยนชนิดยาปฏิชีวนะที่ให้ หลังจากนั้นก็จะตรวจซ้ำเช่นเดิม หากยังไม่หาย ต้องมีการนำเชื้อแบคทีเรียไปเพาะเชื้อ เพื่อทดสอบความไวของยาปฏิชีวนะต่อเชื้อ
สำหรับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองของกระเพาะอาหารชนิด (MALT lymphoma) ที่ตรวจพบเชื้อ เอช ไพโลไร พบว่าการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ มีโอกาสทำให้โรคหายได้ ส่วนโรคมะเร็งกระเพาะอาหารชนิด Adenocarcinoma การให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อไม่สามารถทำให้โรคหายได้ ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด การฉายรังสีรักษา
ผลข้างเคียงจากโรคและการพยากรณ์โรคของโรคติดเชื้อเอช ไพโลไร คือ
- ผู้ที่ได้รับยาปฏิชีวนะรักษาจนเชื้อแบคทีเรียหาย มีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้อีก แต่ค่อน ข้างน้อย โดยการติดเชื้อซ้ำมักจะเกิดในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
- ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น หากได้รับปฏิชีวนะรักษาจนเชื้อหายไป แผลจะสามารถหายได้เป็นปกติ
- ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น แล้วไม่ได้รับการรักษา หากมีการเสียเลือดจากการมีเลือดออกจากแผล เป็นเวลานานๆ จะทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง/ภาวะซีดได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการ อ่อนเพลีย และเหนื่อยง่าย ในบางครั้งหากมีเลือดออกปริมาณมาก ผู้ป่วยก็จะแน่นท้อง และอาจอาเจียนออกมาเห็นเป็นสีกาแฟได้ เรียก Coffee ground ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการใจสั่น หน้ามืด มีความดันโลหิตต่ำ จนถึงช็อก หมดสติ ได้
การดูแลตนเองและการป้องกันการติดเชื้อเอชไพโลไร ได้แก่
- การดูแลสุขอนามัยที่ดี ด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อลงได้บ้าง
- ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีเชื้อ เอช ไพโลไร และได้รับยาปฏิชีวนะรักษา การกินยาให้ครบตามจำนวนวันที่กำหนด เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเชื้อมีโอกาสดื้อยาได้ง่าย ทำให้การรักษาอาจไม่ได้ผล
- มีการคิดค้นวัคซีนสำหรับป้องกันการติดเชื้อ เอช ไพโลไร ซึ่งพบว่า มีประสิทธิ ภาพเพียงพอที่จะป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น รวมทั้งมะเร็งของกระเพาะอาหารได้ แต่เนื่องจากมีการศึกษาบางการศึกษา พบว่า ในกลุ่มผู้ที่ติดเชื้อ เอช ไพโลไร มีอัตราการป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease, GERD) ลดลง รวมถึงโรคที่เกี่ยวเนื่องจากกรดไหลย้อน ซึ่งคือมะเร็งหลอดอาหารในส่วนล่างที่อยู่ติดกับกระ เพาะอาหาร ก็พบน้อยกว่าด้วย จึงเป็นไปได้ว่า เชื้อแบคทีเรีย เอช ไพโลไร สามารถป้องกันการเกิดโรคเหล่านี้ได้ ทำให้การฉีดวัคซีนยังไม่ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากหากนำมาใช้จนผู้ที่ติดเชื้อแบคทีเรียมีจำนวนลดน้อยลงมากแล้ว อาจพบโรคกรดไหลย้อนและมะเร็งของหลอดอาหารส่วนล่างเพิ่มมากขึ้นแทน อีกทั้งเชื้อชนิดนี้อาศัยอยู่กับมนุษย์มานานมากแล้ว การกำจัดเชื้อให้หมดไป อาจทำให้มนุษย์เราพบโรคบางอย่างอื่นๆเพิ่มมาแทนก็ได้
- ด้วยเหตุผลเดียวกับข้างต้น การตรวจคัดกรองเพื่อหาเชื้อ H.pylori และ/หรือการกินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก และมะเร็งกระเพาะอา หารในผู้ที่ตรวจพบเชื้อนั้น จึงไม่แนะนำให้ปฏิบัติ
ผู้ที่มีอาการของโรคกระเพาะอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดแน่นท้อง จุกเสียดลิ้นปี่ ท้องอืด หลังจากได้กินยาลดกรดรักษา ร่วมกับการงดปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่อาจเป็นเหตุให้กระเพาะอาหารอักเสบ เช่น งดการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม เอ็นเสด (NSAIDs) งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ เป็นต้น หากอาการยังไม่ดีขึ้น รุนแรงขึ้น ควรพบแพทย์ เพื่อประเมินโดยการส่องกล้องตรวจ ร่วมกับการตรวจหาเชื้อ เอช ไพโลไร
Create Date : 26 พฤษภาคม 2557 |
|
76 comments |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2557 0:34:14 น. |
Counter : 10327 Pageviews. |
|
|
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ปลาทอง9 Travel Blog ดู Blog
Opey Art Blog ดู Blog
เตยจ๋า Book Blog ดู Blog
ชมพร About Weblog ดู Blog
pantawan Health Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
นอนหลับฝันดีขอรับ