พิษของแมงดาทะเลมาจาก 2 สาเหตุคือ
1) ตัวแมงดาไม่มีพิษ แต่พิษเกิดจากตัวแมงดาไปกินตัวแพลงตอนที่มีพิษ หรือกินหอยหรือหนอนที่กินแพลงตอนที่มีพิษเข้าไป ทำให้สารพิษไปสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ของแมงดา
2) ตัวแมงดามีพิษซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียในลำไส้สร้างพิษขึ้นมาได้เอง เมื่อนำไข่หรือเนื้อมาปรุงหรือผัดให้สุกความร้อนไม่สามารถฆ่าพิษได้เลย เนื่องจากเป็นพิษชนิดที่มีผลต่อระบบประสาทที่ความร้อนไม่สามารถทำลายพิษตรงนี้ได้
ไข่ของเห-รา หรือแมงดาถ้วย และมีพิษในช่วงเดือน กพ.-มิย.
กินแล้วจะมีอาการอย่างไร
อาการขึ้นอยู่กับปริมาณที่กินเข้าไปมากหรือน้อย มีอาการชาที่ริมฝีปาก มือและเท้า เวียนศรีษะ คลื่นไส้ อาเจียน เดินเซ แขนขาไม่มีแรง พูดไม่ออก กลืนลำบาก หายใจไม่ออก กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจเป็นอัมพาต เนื่องจากพิษของ แมงดาทะเลเป็นพิษต่อระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ในเด็กเล็กจะมีอาการรุนแรงมากกว่าผู้ใหญ่
มีวิธีป้องกันได้อย่างไร
วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงที่ไม่กินแมงดาทะเล เพราะอาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะเจอแมงดาทะเลที่มีพิษได้ แต่สำหรับคนที่ชอบกินแมงดาทะเลแล้วถ้าพบว่าหลังจากการกินแล้วรู้สึกมีอาการชาที่ปาก หายใจไม่ออก ทำการล้างท้อง ล้วงคอทำให้อาเจียน แล้วรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด การใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นการรักษาอาการเบื้องต้น เพื่อช่วยให้คนไข้หายใจได้ หลังจากนั้นก็รักษาตามอาการ แบบเดียวกับการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษโดยทั่วไป ในปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษจากแมงดาทะเล
ขอแนะนำผู้ที่ชอบบริโภคแมงดาทะเล โปรดสังเกตและหลีกเลี่ยงการบริโภคแมงดาทะเล โดยเฉพาะแมงดาเหราหรือแมงดาหางกลมไม่ว่าจะเป็นไข่หรือเนื้อของแมงดาชนิดนี้ และงดการการรับประทานไข่แมงดาทะเลในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน เนื่องจากมีความเป็นพิษสูง เพราะระดับพิษขึ้นอยู่กับฤดูกาล หากไม่ทราบวิธีการนำแมงดาทะเลมาปรุงเป็นอาหาร ไม่ควรรับประทานอย่างเด็ดขาด เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียารักษาพิษของแมงดาทะเลโดยตรง เพื่อความปลอดภัยของชีวิตและสุขภาพของตัวท่านเอง
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 ตลอด 24ชั่วโมง
ตายแล้วเพิ่งรู้ว่ามีส่วนที่เป็นมีพิษด้วย
ต่อไปนี้ต้องระวังมั่งแล้วล่ะ
ขอบคุณข้อมูลดีๆจ้ะ
คืนนี้ย่องมาใหม่จ้า