โดยอาการโรคสำเนียงต่างประเทศเฉียบพลัน จะส่งผลไปยังสมองในส่วนที่ควบคุมการทำงานของลิ้นได้รับความเสียหายจนไม่สามารถควบคุมการออกเสียงได้ดังเดิม แม้แต่จังหวะและโทนเสียงสูง - ต่ำ เสียงสั้น หรือ เสียงยาว ก็จะเปลี่ยนไปจนคล้ายกับสำเนียงพูดอื่นที่ผู้ป่วยอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ ตัวอย่างเช่นหญิงชาวออสเตรเลียที่ตลอดชีวิตของเธอพูดแต่ภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลีย แต่เมื่อเธอได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง เมื่อฟื้นขึ้นมาเธอก็ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษสำเนียงออสเตรเลียได้ แต่กลับพูดภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศสแทน ซึ่งอาการเหล่านี้ก็ยังคงติดตัวเธอมาตลอด
หรือจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2553 หญิงชาวอังกฤษรายหนึ่งซึ่งป่วยด้วยอาการไมเกรนชนิด Sporadic hemiplegic ส่งผลให้เธอพูดภาษาอังกฤษในสำเนียงจีน ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็ไม่เคยไปประเทศจีนหรือเคยได้ยินภาษาอังกฤษสำเนียงจีนมาก่อน
การรักษายังไม่มีการค้นพบวิธีใดทางการแพทย์ที่จะรักษาอาการทั้ง 2 ชนิดได้ เนื่องจากยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วเกิดจากอะไร และเกิดขึ้นภายในสมองส่วนใดกันแน่ จึงทำให้ผู้ที่ป่วยด้วยอาการเหล่านี้จะต้องอยู่กับอาการดังกล่าวไปตลอดชีวิต โดยอาจจะมีบางรายเท่านั้นที่เป็นเพียงชั่วคราว สำหรับผู้ป่วยด้วยโรค Foreign Language Syndrome และ Foreign Accent Syndrome จะไม่มีความเจ็บป่วยทางร่างกายแต่อย่างใด แต่ก็อาจจะมีความกระทบกระเทือนทางจิตใจ เนื่องจากอาจถูกคนในสังคมมองว่าตัวเองผิดปกติ รวมทั้งการที่ไม่สามารถสื่อสารกับคนใกล้ชิดได้เหมือนเก่า ดังนั้นญาติและคนใกล้ชิดจะต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกเป็นปมด้อย
ข้อเสียของโรคนี้อาจจะมีเหมือนกัน คนไข้จำนวนไม่น้อยรู้สึกหงุดหงิด บอกว่าสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง เสียงนี้มันไม่ใช่เสียงของเรา ทำยังไงมันก็ไม่คุ้น บ้างโดนหาว่าแกล้งทำ บ้างเวลาคุยกับแม่ค้าแถวบ้านก็จะชอบถูกถามว่ามาจากแถวนี้จริงรึเปล่า พอบอกไปก็ไม่มีใครยอมเชื่อ บางคนถึงกับกลายเป็นเรื่องโศกนาฏกรรมไปเลยก็มี อย่างเช่นสมัยสงครามโลกมีผู้หญิงชาวนอร์เวย์คนหนึ่งที่เป็นโรคนี้ แล้วสำเนียงของเธอเปลี่ยนไปเหมือนกับชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศฝ่ายศัตรู ทำให้เธอถูกสังคมรังเกียจ แล้วก็โดนขับไล่ออกจากชุมชนไปในที่สุด
ไว้มาอ่านใหม่น้า