แพทย์ยืนยันชัดเจนว่ามีเชื้อโรคนานาชนิดอยู่ในเครื่องปรับอากาศ และเชื้อโรคที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา มักเป็นเชื้อโรคที่เจริญเติบโตได้รวดเร็ว และแพร่เชื้อผ่านทางอากาศ ส่งผลให้คนที่ใช้เครื่องปรับอากาศสุขภาพเสื่อมโทรม และเป็นโรคต่าง ๆ มากมาย ทั้ง วัณโรค เชื้อไวรัส โรคสุกใส งูสวัด โรคภูมิแพ้ หืดหอบ ปอดบวม และหัดเยอรมัน
อาการโรคภูมิแพ้ จากเครื่องปรับอากาศคือ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการคันจมูก คันตา จามบ่อย แน่นจมูก และเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะมีอาการระคายคอ และหากมีอาการป่วยรุนแรงมาก จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ควรสังเกตว่า เวลาที่เปิดเครื่องปรับอากาศถ้ามีกลิ่นอับชื้นที่มากับความเย็น กลิ่นอับชื้นเหล่านี้มักมาจากเชื้อโรคที่ออกมาจากช่องระบายความเย็น และแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ โดยความชื้นจะเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธุ์อย่างดีของเชื้อโรค และเมื่อสะสมมาก ๆ เข้า เชื้อโรคก็จะหลุดลอยออกมาปะปนกับอากาศเย็นภายในห้อง
ควรล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ โดยดูตามความเหมาะสมจากสภาพแวดล้อมและการใช้งาน ด้วยวิธีการล้างแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยใช้น้ำฉีดแรง ๆ ที่ด้านหลัง ด้านที่ไม่ได้รับฝุ่น ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกหลุดออก และในแต่ละปีควรล้างเครื่องปรับอากาศแบบเต็มระบบ
ควรปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม โดยทั่วไปควรตั้งไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส และเปิดพัดลมระบายอากาศ เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศได้อย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษ ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ เช่น การสูบบุหรี่ การปรุงอาหาร ที่สำคัญ ควรดูแลสิ่งแวดล้อมในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ โดยกำจัดฝุ่น กำจัดแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ ละอองเกสรพืช ไรฝุ่นในที่นอน ขนสัตว์ และแมลงอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ หมั่นทำความสะอาดบ่อย ๆ และควรทำความสะอาดเพดาน ม่าน กำแพง ทุก ๆ 2 -3 เดือน กำจัดแหล่งเชื้อรา อย่าให้เกิดความชื้น หรือกลิ่นอับขึ้นภายในบ้านหรือในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ
ตู้แอร์ในรถยนต์...เครื่องปล่อยเชื้อโรคเคลื่อนที่
ตู้แอร์รถยนต์ ไม่เพียงแค่เป็นแหล่งรวมของฝุ่นละออง แต่ยังเป็นที่อยู่ของเชื้อโรค เชื้อรา เชื้อแบคทีเรียหลายชนิด ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพคุณและครอบครัว เพื่อสุขภาพอนามัย เราจึงควรล้างตู้แอร์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
ฝุ่น จากภายนอกรถจะเข้ามาในระบบแอร์ทุกครั้งที่เปิดแอร์ เมื่อฝุ่นละอองมาเกาะอยู่ตามแผงคอยล์เย็นในตู้แอร์ ทุกครั้งที่เปิดแอร์ ลมแอร์ก็จะพัดเอาฝุ่นเล็ก ๆ เข้ามาในตัวรถ ยิ่งนั่งอยู่ในรถนาน ก็ยิ่งสูดฝุ่นเข้าไปในร่างกาย สะสมไปเรื่อย ๆ นานวันก็จะกลายเป็นสาเหตุของปัญหาโรคภูมิแพ้ โรคเยื่อบุในระบบทางเดินหายใจ
ซากแมลงที่เน่าเปื่อยตายอยู่ในตู้แอร์ เป็นสิ่งที่พบได้เสมอ และนับเป็นอันตรายที่มองไม่เห็นและส่งผลต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง นอกจากคุณจะสูดฝุ่นละอองเข้าไป คุณยังสูดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย นั่นทำให้ร่างกายรับสารและก่อให้เกิดโรคแปลก ๆ ที่ไม่คาดคิดมากมาย โดยเฉพาะโรคจากการติดเชื้อในปอด และอวัยวะภายในร่างกาย
เครื่องฟอกอากาศส่วนใหญ่จะอยู่ด้านหลัง แต่ตัวคุณขับรถอยู่ด้านหน้า ลมแอร์ที่เป่าออกมา จึงเหมือนส่งตรงเข้าจมูก ปอด ให้สูดก่อนที่เครื่องฟอกอากาศจะฟอกอากาศ ในขณะที่การหาซื้อเครื่องฟอกอากาศคุณภาพดีมาติดตั้ง ต้องใช้เงินมากกว่ามาก ดังนั้นการกำจัดที่สาเหตุ ด้วยการล้างตู้แอร์จึงเป็นทางหลีกเลี่ยงโรคภัยที่ดี และประหยัดกว่า
หนึ่งในการล้างตู้แอร์ที่ได้รับการตรวจสอบ และรับรองโดยองค์การอาหารและยา คือการนำตู้แอร์มาทำความสะอาด ผ่านการล้างน้ำยาด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถแวะทำความสะอาดได้กับศูนย์บริการใกล้บ้าน
โรคที่มากับเครื่องปรับอากาศ
โรคลีเจียนแนร์ (Legionnaires disease)
เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชนิดหนึ่ง ซึ่งพบได้ทุกภูมิภาคของโลก เชื้อโรคอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีความชื้นสูง และเจริญเติบโตได้ดี ในน้ำที่มีอุณหภูมิ 25-50 C พบในแหล่งน้ำธรรมชาติ และแหล่งน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ เครื่องทำน้ำร้อน ถาดรองน้ำจากเครื่องปรับอากาศ ก๊อกน้ำ ฝักบัวอาบน้ำ ถังเก็บน้ำสำรอง เช่น ในอ่างน้ำพุ หรือน้ำพุประดับ สปริงเกอร์ รวมทั้งสปริงเกอร์ภายในระบบดับเพลิงตามอาคาร เครื่องพ่นความชื้น และเครื่องช่วยหายใจที่ใช้ตามโรงพยาบาล
การติดต่อของโรค
เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายโดยการสูดหายใจ เอาเชื้อโรคที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศแวดล้อมเข้าไป ระยะฟักตัวของโรคจะใช้เวลาประมาณ 2-10 วัน
อาการและอาการแสดง
1. อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เรียกว่า โรคไข้ปอนเตียก (Pontiac fever) ระยะฟักตัวสั้นประมาณ 1-2 วัน ผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ไข้สูง อาการไม่รุนแรง หายเองภายใน 2-5 วัน
2. อาการคล้ายปอดอักเสบ เรียกว่า โรคลีเจียนแนร์ ระยะฟักตัวทั่วไปประมาณ 2-10 วัน ผู้ป่วยมีไข้สูง ไอ ไม่มีเสมหะ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หนาวสั่น อ่อนเพลีย อุจจาระร่วงและมีภาวะโซเดียมต่ำ หากเชื้อเข้าสู่ปอดจะเกิดภาวะปอดอักเสบชนิดรุนแรง ซึ่งอัตราตายของโรคลิเจียนแนร์ในผู้ป่วยที่รักษาตัวใน โรงพยาบาลอาจสูงถึงร้อยละ 39
ภาวะโรคแทรกซ้อน
ผู้ป่วยอาจมีอาการทางระบบประสาท อาจพบการอักเสบและการติดเชื้อในอวัยวะต่างๆ เช่น เยื่อหุ้มหัวใจ ผนังหัวใจด้านในโพรงไซนัส สมอง ไต หรือการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ สำหรับผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคนี้แล้วจะมีภูมิคุ้มกันโรค จึงไม่ค่อยพบการติดเชื้อซ้ำ
เมื่อต้องอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ๆ อาจเจ็บป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ เช่น หวัด ภูมิแพ้ ฯลฯ นอกจากนี้ ถ้าใช้นิ้วแหย่เข้าไปในรูจมูก หรือถูแรง ๆ ก็อาจมีเลือดออก และถ้ามีอาการแสบคอร่วมด้วยก็อาจเป็นแผลและติดเชื้อได้
ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หรือหอบมักจะมีอาการบ่อยขึ้น และรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อต้องอยู่ในห้องแอร์ ดังนั้น คุณจึงควรป้องกันอย่างถูกวิธี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง
วิธีป้องกัน
1.ระวังไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย อาจเป็นการล้างมือให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ ไม่แคะ แกะ จับ บริเวณใบหน้า จมูก และปาก โดยที่ยังไม่ได้ล้างมือ รวมทั้งพยายามอยู่ในที่มีอากาศถ่ายเท และควรอยู่ให้ห่างจากผู้ที่เป็นหวัด
2.รักษาความอบอุ่นของร่างกาย
3.สร้างภูมิต้านทาน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที
- นอนให้เต็มอิ่ม
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นทานผัก ผลไม้สด เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินเพียงพอ
4.สำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้
5.ระวังไม่ให้ทางเดินหายใจแห้ง
- ใส่ผ้าปิดปาก เพราะผ้าปิดปากจะช่วยเก็บความชื้นและความอุ่นของลมหายใจ ทำให้ทางเดินหายใจชื้นและชุ่มชื้น
- ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ
- วางแก้วน้ำไว้ใกล้ ๆ ตัว ในห้องนอน ห้องนั่งเล่น และโต๊ะทำงาน
- ใช้วาสลีนทาเล็กน้อยบริเวณโพรงจมูก
การดูแลตัวเอง เมื่อเริ่มป่วย
1.นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
2.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยให้เลือกทานอาหารย่อยง่าย และเลือกทานผักผลไม้สด
3.ล้างจมูก เมื่อจามบ่อย ๆ หรือรู้สึกคัดจมูก เพื่อล้างสารคัดหลั่งออกจากจมูก โดยให้ใช้น้ำเกลือ 0.9 เปอร์เซ็นต์ หรือน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 750 ซีซี ผสมเกลือแกง 2 ช้อนชา ใส่ในหลอดฉีดยาขนาด 10 ซีซี (ไม่มีเข็ม) จากนั้นก้มหน้าอ้าปากและกลั้นหายใจ แล้วจึงฉีดน้ำเกลือเข้าไปในจมูกข้างละ 2 3ครั้ง ทำทั้งเช้าและเย็น จนอาการดีขึ้น
4.ควรพบแพทย์ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ไข้ไม่ลด และรู้สึกปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากอาจเป็นไข้หวัดใหญ่ ส่วนไข้หวัดธรรมดามักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม และคันคอเป็นอาการเด่น แต่ไม่ค่อยมีไข้สูงมากนัก
แม้ว่าการใช้เครื่องปรับอากาศจะมีข้อเสียที่บั่นทอนสุขภาพ แต่ถ้าเรารู้จักใช้อย่างถูกวิธีและมีการป้องกันตนเอง ไม่ว่าอากาศจะร้อนจนต้องพึ่งแอร์สักกี่เครื่อง เราคงยังมีสุขภาพที่ดี
เพียงเท่านี้คุณก็จะมีความสุขในบรรยากาศแสนสบาย กับเครื่องปรับอากาศคู่ใจแล้วค่ะ