อย่าขาดทุนระวังการขาดทุน นักลงทุนในตลาดหุ้นส่วนมากเวลาจะซื้อหุ้นสัก1 ตัวจะมองว่าหุ้นตัวนี้ราคาน่าจะวิ่งไปได้ถึงเท่าไร? เช่นโบรกเกอร์ให้ราคาเป้าหมาย BANPU ไว้ที่ 860 บาทหากราคาปัจจุบันอยู่ที่ 700 บาทมันก็น่าสนใจที่จะซื้อวิธีการมองแบบนี้มีอยู่ในทุกวงการ ทั้งลงทุนทองคำ, ลงทุนคอนโด ฯลฯ นักลงทุนทุกคนจะมองไปที่UP SIDE ก่อนเสมอ ซึ่งเป็นวิธีที่แตกต่างจากนักลงทุนระดับโลกทำกันไม่ว่าจะเป็น จอร์จ โซรอส นักเก็งกำไร, วอร์เรน บัฟเฟตต์, หรือ ศจ.เบน เกรแฮมก็จะมองไปที่ Down Side Risk ก่อนเสมอ นั่นคือเราต้องให้ความสำคัญกับเงินต้นไม่หาย ก่อนจึงจะมาดูเรื่องกำไรที่จะได้ กฎการลงทุนที่ พูดออกจากปากวอร์เรน บัฟเฟตต์ จริงๆแล้วมีแค่ 2 ข้อนั่นคือ Rule No. 1: Never lose money Rule No. 2: Neverforget rule No.1. แปลเป็นไทยได้ว่า กฎการลงทุนมีแค่ข้อเดียวคืออย่าขาดทุน ซึ่งฟังแล้วไม่คิดว่าจะทำได้จริงเพราะแม้แต่บัฟเฟตต์เองก็ขาดทุนอยู่บ่อยๆไม่ว่าจะเป็นหุ้นหนังสือพิมพ์ที่ทำกำไรมหาศาล ในตอนที่ซื้อหุ้นเข้ามาใหม่ๆราคาหุ้นก็ยังตกลงไปต่อ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็อยู่ที่แผนการลงทุนที่คาดไว้แล้วเพราะบัฟเฟตต์ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะซื้อหุ้นได้ในราคาที่เป็นจุดต่ำสุด แต่ DownSide Risk หรือโอกาสที่หุ้นจะตกลงไปมากๆนั้นมีไม่มากเพราะเราได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้วและเป็นสิ่งแรกที่เราพิจารณาก่อนการลงทุนเสมอ โดยสรุปก็คือให้เราพิจารณาว่าถ้าเราลงทุนแล้วจะขาดทุนได้เยอะมั้ย มีเหตุการณ์แบบใดบ้างที่จะทำให้เราขาดทุนอะไรคือข้อเสียของการลงทุนครั้งนี้ วิเคราะห์ให้ครบถ้วนจนเกิดความสบายใจว่าโอกาสขาดทุนมีน้อย จึงเริ่มพิจารณาโอกาสที่กำไร ซึ่งหากเรามองการซื้อหุ้น คือการซื้อธุรกิจ ดังนั้นโอกาสที่เราจะขาดทุนแบ่งเป็น 2 อย่างคือ 1. โอกาสที่บริษัทนี้จะทำกำไรได้แย่ลง 2. ราคาที่เราจะซื้อแพงเกินไป 1.โอกาสที่บริษัทนี้จะทำกำไรได้แย่ลง ผมมีความเชื่อว่าทุกบริษัทมีโอกาสเจ๊งได้เสมอไม่ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่ KODAK , เลย์แมน ที่เจ็งไปแล้ว, หรือ SONY ,APPLE , FACEBOOK , Bank ในไทย ล้วนมีโอกาสที่จะล้มได้ แต่จะมีมากหรือน้อยเป็นสิ่งที่เราจะต้องมาพิจารณากันอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีการลงทุนโดยปกติแล้วบริษัทที่ถือว่ามีความเสี่ยงขาดทุนมากๆ จะเป็นพวก ธุรกิจขนาดเล็ก,ธุรกิจที่ผันผวน , ธุรกิจวัฏจักร, ธุรกิจที่แข่งขันสูง,ธุรกิจในอุตสาหกรรมที่กำลังจะตาย ฯลฯ (รายละเอียดค่อยมาเล่าให้ฟัง) หรือจะแบ่งไปตามปัจจัยที่เข้ามากระทบที่จะทำให้บริษัทกำไรลดลงจะมีทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในเอง ปัจจัยภายใน ผมมองความเสี่ยงของโครงสร้างบริษัทเป็นสำคัญ เช่น - บริษัทที่พึ่งพาผู้บริหารเพียงคนเดียว จะเห็นได้ชัดกับบริษัทที่เจ้าของเป็นผู้ก่อนตั้งบริษัทและยังเป็นรุ่นที่ 1 หรือผู้บริหารปัจจุบันที่เก่งมากๆ หากเกิดคนเหล่านี้ตายไป เช่น APPLEจะเป็นเช่นไร ในตลาดหุ้นไทยจริงๆก็มีลักษณะแบบนี้เยอะ แต่ผมขอแค่ยกตัวอย่างไม่ระบุว่ามันเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เช่น AH มีคุณเย็บ ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า , MCSมีผู้บริหารเป็นคนหางานเข้าบริษัทเพียงคนเดียว ซึ่งท่านก็แก่ลงทุกวัน ,บริษัทหลักทรัพย์ พึ่งพาผู้บริหารที่มีลูกค้าในมือ พอผู้บริหารย้ายไปทำที่ บลอื่นก็เอาลูกค้าไปด้วย, , - เพิ่งพาลูกค้าเพียงไม่กี่เจ้ามีหลายบริษัทที่เพิ่งพาลูกค้าเป็นกลุ่มๆเดียว เช่น MCS พึ่งแต่ลูกค้าญี่ปุ่นพอญี่ปุ่นมีปัญหา ก็แย่ตามไปด้วย, - เพิ่มพาแหล่งวัตถุดิบเพียงไม่กี่แห่ง เช่น RPCที่ใช้วัตถุดิบหลักจากPTT ซึ่งเมื่อ ปตท ยกเลิกสัญญา RPC ถึงกับปิดโรงงาน - ไม่สามารถกำหนดราคาขายเองได้ เช่น พวก Commodity ทั้งหลายเหล็ก , ยางพารา, น้ำมัน ,อาหารสัตว์ , ปัจจัยภายนอก :คือสิ่งภายนอกที่บริษัทไม่สามารถกำหนดมันได้ เช่น - ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่ค่อนข้างผันผวนในปัจจุบันบริษัทที่เศรษฐกิจดีก็ดีด้วย พอเศรษฐกิจแย่ก็แย่ตาม เช่น อสังหาริมทรัพย์ ,อุตสาหกรรมรถยนต์ - นโยบายรัฐบาล เช่น พวกรับเหมา , ICT , MEDIA, พลังงานทดแทน, - ค่าเงิน , ตลาดโลก เช่น พวกส่งออก ,อิเล็กทรอนิคส์ - การเมือง เช่น ท่องเที่ยว , โรงแรม , การลงทุน - การฟ้องร้อง หรือ คดีความเช่น หาก BANPU แพ้คดี ที่ศาลชั้นต้นตัดสินไปแล้วว่าต้องจ่ายเงินชดเชยจำนวนมากก็กระทบบริษัทแน่ๆ ราคาหุ้นก็โตตกไม่หยุด - การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เช่น หากคนหันไปใช้ 4GแทนInternet บ้านกันหมด JAS ก็อาจจะแย่ , Shale Gasที่มาแทนถ่านหินทำให้ Banpu ราคาตกจาก 800 เหลือ 250,ร้านวีดีโอข้างบ้านผม ฝืนต่อไปไม่ไหว ปิดตัวไปเดือนก่อน ปัจจัยต่างๆเหล่านี้จะกระทบบริษัทมากน้อยแค่ไหน แล้วบริษัทที่เราคิดจะลงทุนมีโอกาสกำไรหดหรือไม่อย่างไร? คิดให้รอบคอบ TIP ในโลกธุรกิจปัจจุบันแต่ละประเทศถูกบีบบังคับให้เปิดเสรีการค้ามากขึ้นดังนั้นบริษัทยักษ์ใหญ่ในไทยที่เราคิดว่ามั่นคงเมื่อมียักษ์ระดับโลกมาเปิดกิจการแข่ง ก็อาจจะต้องเปลี่ยนมุมมองกันได้สิ่งสำคัญของการวิเคราะห์ธุรกิจคือการติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำ x 2. ราคาที่เราจะซื้อแพงเกินไป อีกความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นที่จะทำให้เราขาดทุนคือเราลงทุนในธุรกิจที่ดี ในราคาที่สูงเกินไป ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่วิเคราะห์กันยากว่าราคาเท่าไรเรียกว่า ถูก ราคาเท่าไรเรียกว่า แพงสิ่งที่เซียนหุ้นรุ่นใหม่พยายามมองจึงเป็นเพียงการมองหาธุรกิจที่ดีมีความเสี่ยงกำไรหดหายน้อย และจะเข้าไปลงทุนเลย โดยไม่สนใจว่าราคามันแพงหรือไม่เพราะคิดว่าของดีต้องราคาแพง จากประสบการณ์ที่ยาวนานของผมในตลาดหุ้นไทยผมเชื่อว่า ตลาดหุ้น จะให้โอกาสคุณได้ซื้อของดีราคาไม่แพงเสมอขอให้เพียงคุณมีความอดทนมากพอ ซึ่งวอร์เรน บัฟเฟตต์ก็คิดคล้ายๆผมและยอมปล่อยโอกาสทองหลุดลอยไปหลายหนแต่เขาก็ยังทำกำไรได้ดีมากในตลาดหุ้นและไม่คิดเสียใจกับการปล่อยโอกาสหลุดมือไป(กับการตกรถขบวนใหญ่) บัฟเฟตต์ยังย้ำกับเพื่อนร่วมงานเสมอว่า เสียดายดีกว่าเสียใจ ผมยกตัวอย่างหุ้นCPF ที่ราคาหุ้นวิ่งจาก 3 บาทกว่าๆไป 33บาทในเวลาเพียง 3 ปี มันเป็นธุรกิจอาหาร ซึ่งความเสี่ยงต่ำ เพราะธุรกิจมีขนาดใหญ่ทำครบวงจร และอาหารเป็นอะไรที่คนต้องกิน แม้จะไม่ซื้อบ้าน ซื้อรถแต่ก็ต้องกินอาหาร กำไรช่วง 3 ปีที่ผ่านมาโตก้าวกระโดดและการมุ่งมั่นเป็นครัวโลกทำให้ CPF ถูกขนานนามว่าเป็น SUPER STOCK ในปี 54และเข้าซื้อเก็บไว้ประดับพอร์ทกันหลายคน แต่จากการวิเคราะห์ของผมอาจคิดแตกต่างจากคนอื่นเพราะแม้กำไรจะเติบโตเป็นเท่าตัวในแต่ละปี แต่ยอดขายก็เพิ่มขึ้นไปไม่มาก NetProfit margin ที่เพิ่มขึ้นมากแม้ผู้บริหารจะบอกว่าเป็นเพราะการเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจที่พยายาม เน้น Food มากกว่า Farmor Feed แต่ผมก็มองว่าธุรกิจลักษณะแบบนี้ NPM 6%-7% ก็เต็มที่แล้วต่อไปจะเติบโตก็คงไม่มากแล้วดังนั้นราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นมา 10 เท่ามันก็รวมความคาดหวังในอนาคตไปไกลหลายปีเลยดูรูปประกอบ บทสรุปของหุ้น CPF ในปี 54-59 ก็คือราคาหุ้น CPF ยังอยู่แถวๆ 25-30เป็นเวลา 5 ปีมาแล้ว ทั้งที่ SET วิ่งขึ้นไป 80% หุ้นตัวอื่นๆวิ่งกันทั้งตลาด ณ เวลาเมื่อวานราคาหุ้น CPF เหลือ 28 (ปี 59) โดยสรุปคือหุ้นที่ดีหากเราซื้อที่ราคาแพงเกินไปเราอาจจะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีเลยในช่วง2 ปีแรก ดังนั้นนอกจากจะลงทุนในธุรกิจที่ดีแล้วเราควรลงทุนในราคาที่เหมาะสมด้วย โดยสรุปทุกครั้งที่เราจะลงทุนหุ้นใดๆให้มองความเสี่ยงของธุรกิจและ ความเสี่ยงของราคาหุ้นแพง ไว้ก่อนเสมอเซียนหุ้นจะให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัย ก่อน ผลกำไร เสมอ แม้ว่าตอนนี้คุณอาจจะคิดต่างกับหลักการข้อนี้แต่ประสบการณ์ที่มากขึ้น และความใจเย็นขึ้นจะทำให้คุณเห็นด้วยในภายหลัง
Create Date : 27 พฤศจิกายน 2559 |
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2559 17:30:53 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2505 Pageviews. |
|
|