Bloggang.com : sindesign : ช้างเอราวัณ พิพิธภัณฑ์ แห่งศรัธรา

ช้างเอราวัณ พิพิธภัณฑ์ แห่งศรัธรา

พอดีวันนี้ได้มีโอกาศ ไปแก้บ่น (5555+) ที่พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ เลยถือโอกาศเข้าไปเก็บภาพสวยๆมาฝากกัน

อาจจะสงสัยว่าทำไมคราวนี้เราถึงตั้งชื่อบล็อกว่า "ช้างเอราวัณ พิพิธภัณฑ์ แห่งศรัธรา" อันเนื่องมาจาก เมื่อเราได้เห็นการทำ และการบอกเล่าจาก ไกท์ผู้ให้ความรู้ เราเลยได้รู้ว่า กว่าที่จะสร้างสรรค์งานศิลป์สวยๆเหล่านี้ได้ ต้องค่อยๆปั้น แล้วก็ค่อยใช่เกียงอันเล็กๆ แต่งให้เป็นลายทีละน้อย ไปเรื่อย ทำให้เรารู้สึกทึ่งในความพยายามของช่างที่ทำมาก

และพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณนี้ แบ่งเป็นทั้งหมด 3 ชั้น คือชั้นใต้ดิน ถือว่าเป็นชั้นบาดาร ชั้นที่ 2 ถือว่าเป็นโลกมนุษย์ และชั้นสุดท้ายในส่วนของท้องช้าง ถือเป็นชั้นสวรรค์ รวมความสูง น่าจะ ประมาณตึก 12 ชั้นได้ (ถ้าจำไม่ผิดนะ)

แล้วสิ่งที่เราชอบมากที่สุดเลยก็คือ เมื่อเราเข้าไปในตัวพิพิธภัณฑ์ แล้วในชั้นของโลกมนุษย์อ เราจะพบเสาสี่ต้น ซึ่งถ้ามองผ่านก็จะเหมือนเสาธรรมดา แต่พอดูดีๆ (ตอนแรกเราก้มองผ่านๆแหละแต่พี่ที่นำดูเค้าบอกเราถึงได้สังเกตเห็น) จะพบว่าเสาแต่ล่ะต้นมีลายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือเสาแต่ล่ะต้นจะเป็นเรื่องราวของศาสนา โดยต้นแรกเป็นเรื่องศาสนาพุทธ ต้นที่ 2 เป็นเรื่องของศาสนาฮินดู เสาต้นที่ 3 เป็นเรื่องของศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน (เจ้าแม่กวนอิมนั่นเอง) และเสาต้นสุดท้าย เป็นเรื่องของศาสนาคริสต์ โดยเสาทั้ง 4 ต้น จะให้ความหมายที่ว่า ศาสนาค้ำจุนโลก (คริๆ ก็จริงเน้อ)

เมื่อเราเข้าไปผ่านประตูก็จะเสียค่าเข้าชมในตัวพิพิธภัณฑ์ 150 บาท แต่ถ้าเราไม่ชมพิพิธภัณฑ์ เราจะเสีย 50 บาท และเมื่อเราเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ทางประชาสัมพันธ์ก็จะมาพาเราเข้าไปชม โดยให้เราลงไปดูชั้นบาดารก่อน (ฬนส่วนนี้ห้ามถ่ายรูป) ซึ่งชั้นนี้ก็จะเป็นที่เก้บวัตถุโบราณ ไม่ว่าจะเป็นถ้วยชามต่างๆ ที่มีความสวยงามมากมาย และขึ้นมาชั้นโลกมนุษย์ ก็จะผ่านประตูทางเข้า

พอผ่านประตูทางเข้า แล้วคนที่นำชม ก็จะพาเดินรอบๆ ชั้นมนุษย์ ซึ่งจะผ่านเสาทั้งสี่ต้นที่ได้บอกมาตั้งแต่ตอนแรกอ่ะ

เสาพุทธ

เสาฮินดู

เสาเจ้าเเม่กวนอิม (พุทธมหายาน)

เสาคริสต์

และในระหว่างทางก็จะมี พวกรูปปั้น ต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ และพอเดินชั้นมนุษย์เสร็จแล้วก็จะขึ้นไปถึงชั้นสวรรค์ และคนที่นำชม บอกว่า เวลาขึ้นให้ขึ้นบันไดเงิน แล้วลงบันไดทอง ซึ่งบันได้เง้นที่ว่าคือบันไดสีขาว ส่วนบันไดทองคือบันไดสีแดง แล้วที่รู้มาอีกอย่างนึงว่า บันไดที่เป็นสีแดงนั่นเกิดจากการผสมสีอย่างธรรมชาติ

และเมื่อ ขึ้นบันไดไปจะพบกับรู้ปั้นของเจ้าแม่กวนอิม ในตอนที่ยังเป็นผู้ชาน (คนที่พาชมเขาบอกมาอย่างนั้น)

และก็จะเป็นทางแยก 2 ฝั่งก็คือบันไดเงินกับบันไดทองนั่นเอง
และเมื่อขึ้นไปจนสุดบันไดก็จะพบกับ รูปปั้นคล้างสิงโต คนนำชมบอกว่า เป็นสัตว์ที่คอยเฝ้าประตูทางเข้าสวรรค์

และจากจุดที่เป็นสิงโต เราเงยหน้ามองขึ้นไปเราจะเห็นในส่วนของเพดานจะเป็นแผ่นอะไรสักอย่างเราก็บอกไม่ถูก แต่มีการเขียนลวยลายเอาไว้อย่างสวยงามเลยที่เดียว ซึ่งคนนำชมบอกว่าเป็นฝีมือช่างเขียนชาวเยอรมัน

จากจุดนั้นเราก็ขึ้นไปสู่ชั้นสวรรค์ ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่บนเพดานที่ว่าและเป้นส่วนของท้องช้าง พอขึ้นมาถึง ได้บรรยายที่เย็นสบายเพราะแอร์อ่ะนะ แต่ด้านในนี้เป็นส่วนที่เงียบสงบ มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ จำลองเสมือนกับว่าเราอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึง เราก็บรรยายไม่ถูกอ่ะ แต่รู้ว่าสวยๆ

สิ้นสุดจากในพิพิธภัณฑ์ ออกมารอบบอก ซึ่งจัดไว้อย่างสวยงาม นี่คือรูปที่เก็บมาฝาก

เป็นรูปโดม (เราเรียกเองแหละ) ก่อนทางเข้าพิพิธภัณฑ์

เป็นจุดที่พิพิธภัณฑ์ จัดไว้สำหรับไหว้ ช้างเอราวัณและหลังจากไหว้เสร็จก็จะมีดอกบัวไว้เราเราเอาไปลอยโดยเชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ ลอยโศก ลอบสิ่งไม่ดีออกไป