วินสตัน เชอร์ชิล ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสงครามโลกแห่งศตวรรษที่ 20 ในสงครามโลกครั้งที่2 ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้ชนะ การยกพลขึ้นบกที่นอมังดี ยุทธการที่ดันเคิร์ก ทุกอย่างล้วนเกิดจากการสั่งการอันเด็ดขาดของ ชายผู้นี้ วินสตัน เชอร์ชิล แล้วชายคนนี้คือใคร? ทำไมถึงเป็นรัฐบุรุษของชาวอังกฤษ? The mountain2 จะพาคุณย้อนรอยสงครามกลับสู่ปี 1940
1.ประวัติ วินสตันเกิดเมื่อ 30 พฤศจิกายน 1874 ที่วังเบลนิม เกิดมาในครอบครัวชนชั้นสูงซึ่งสืบทอดบรรดาศักดิ์ดยุกแห่งมาร์ลบะระ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของตระกูลสเปนเซอร์ ตระกูลขุนนางเก่าแก่ ด้วยเหตุนี้บิดาเขาและตัวเขาจึงใช้นามสกุลว่า "สเปนเซอร์-เชอร์ชิล" วินสตันในวัยเด็กนั้น มีนิสัยดื้อและไม่ชอบเชื่อฟังใคร ดังนั้นเมื่อเข้าศึกษาในโรงเรียนเขาจึงมีผลการเรียนไม่ดี เขาเข้าศึกษาในโรงเรียนเอกชนสามแห่ง คือ โรงเรียนเซนต์จอร์จในเบิร์กเชอร์, โรงเรียนบรันสวิกใกล้กับไบรตัน และ โรงเรียนฮาร์โรวในลอนดอน หลังจากวินสตันออกจากแฮร์โรวในปี 1893 เขาก็เข้าเรียนต่อในราชวิทยาลัยการทหาร เมืองแซนด์เฮิสต์ สมาชิกสภาสมัยแรก ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1900 เขาชนะการเลือกตั้งได้เป็น ส.ส.จากโอลด์แฮม 2.เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิล เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากเนวิล แชมเบอร์เลน ซึ่งในขณะนั้น ลอร์ดฮาร์ลิแฟกซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้รับข้อเสนอจากเนวิล เชมเบอร์ลิน อดีตนายกรัฐมนตรีให้เข้ามารับตำแหน่งต่อจากเขา แต่ลอร์ดฮาร์ลิแฟกซ์ กลับปฏิเสธไป นั่นทำให้เกิด รัฐบาลแห่งชาติขึ้น นายกที่มาจากรัฐบาลแห่งชาติคือ บุคคลที่ทั้ง2ฝ่ายพรรคการเมืองยอมรับหรือ คือ ตัวกลาง(คนกลาง) ไม่ว่าจะฝ่ายค้านหรือฝั่งรัฐบาลฝั่งไหนก็ตาม และเชอร์ชิล คือนายกคนกลาง ที่ได้รับเลือก 3.เชอร์ชิล ต้องขึ้นดำรงตำแหน่งท่ามกลางความกดดัน ขัดแย้งทั้งจากพรรคการเมืองฝ่ายเดียวกันและจากพระเจ้าจอร์จ ที่6 โดยพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม เชอร์ชิล อยากที่จะให้อังกฤษปรองดอง เจรจาสันติภาพกับฝ่ายนาซี เพื่อยุติสงครามและไม่ให้เกิดการนองเลือดอีก แน่นอนว่าเขายืนหยัดในความเชื่อของเขา แม้ว่าเสียงสนับสนุนทางการเมืองจะลดน้อยลงเรื่อยๆ และมองไม่เห็นอนาคตว่าประสิทธิภาพ อาวุธยุทโธปกรณ์ และกองกำลังของอังกฤษจะสู้รบกับทัพนาซีได้อย่างไรในขณะที่เชอร์ชิล บัญชาการรบอยู่ความกดดันจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและการตีโอบจากฝ่ายนาซีที่ใกล้เข้ามาถึงอังกฤษในทุกขณะฝ่ายสัมพันธมิตรที่เริ่มคาดการได้ว่าจะพ่ายแพ้ ในช่วงบ่ายนั้นเองเชอร์ชิลแอบลงรถส่วนตัวเพื่อไปสอบถามประชาชนชาวอังกฤษว่าพวกเขาคิดอย่างไรเลือกว่าจะเจรจาซึ่งก็คือยอมแพ้ดีไหม ในความสับสนที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ขณะนั้น หลายเสียงของชนชาวอังกฤษ บอกว่าพวกเขาพร้อมสู้และจะไม่มีวันยอมแพ้ เย็นวันนั้นเขาได้กล่าวสุนทรพจน์ประวัติศาสตร์ในรัฐสภา ปลุกใจนักการเมืองและคนทั้งชาติให้หันมาสามัคคีกัน ต่อสู้กับศัตรูเพื่อมาตุภูมิ หรือจะยอมให้ธงชาตินาซีขึ้นแทนธงชาติอังกฤษ ให้เครื่องบินรบนาซีฉลองชัยชนะบินอยู่เหนือพระราชวังบัคกิ้งแฮม สุนทรพจน์ประวัติศาสตร์ของอังกฤษและดีที่สุดตอนหนึ่งของโลกจึงเกิดขึ้นมีใจความว่า Even though large tracts of Europe and many old and famous States have fallen or may fall into the grip of the Gestapo and all the odious apparatus of Nazi rule, we shall not flag or fail. We shall go on to the end. We shall fight in France, we shall fight on the seas and oceans, we shall fight with growing confidence and growing strength in the air, we shall defend our island, whatever the cost may be. We shall fight on the beaches, we shall fight on the landing grounds, we shall fight in the fields and in the streets, we shall fight in the hills; we shall never surrender.
(แม้ว่าพื้นที่มากมายในยุโรปและรัฐเก่าแก่ขึ้นชื่อได้พ่ายแพ้หรืออาจตกอยู่ใต้เงื้อมมือของเกสตาโพและระบอบนาซีที่น่ารังเกียจก็ตาม เราจะอ่อนล้าหรือล้มเหลวไม่ได้ เราจักก้าวเดินไปถึงจุดจบ เราจักสู้ในฝรั่งเศส เราจักสู้ในท้องทะเลและมหาสมุทร เราจักสู้ด้วยความเชื่อมั่นและพลังที่เติบใหญ่ในท้องนภา เราจักปกป้องเกาะของเราไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร เราจักสู้บนชายหาด เราจักสู้บนลานบิน เราจักสู้บนท้องทุ่งและท้องถนน เราจักสู้ในหุบเขา เราจักไม่มีวันยอมแพ้) นี่คือสิ่งที่นักการเมืองในปัจจุบันเองต้องทำ นั้นคือฟังเสียงประชาชนธุรกิจและหลายฝ่ายแล้วจึงชั่งน้ำหนักเอาว่าสิ่งใดทำแล้วจะเกิดคุณประโยชน์ต่อชาติ ถ้าคุณให้ใจประชาชน ประชาชนจะไม่ละทิ้งคุณ
Create Date : 15 มีนาคม 2563 |
Last Update : 15 มีนาคม 2563 21:58:46 น. |
|
0 comments
|
Counter : 831 Pageviews. |
|
|