ไมเกรน (migraine) เป็นอาการปวดศรีษะชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะอาการที่สำคัญคือ ปวดหัวตุ๊บๆ ที่บริเวณขมับข้างเดียวหรือ สองข้างก็ได้ บางคนอาจเริ่มจากการปวดแบบตื้อๆ จี๊ดๆ ก่อน แล้วค่อยรุนแรงขึ้นจนเป็นตุ๊บๆ ในที่สุด
ความรุนแรงของอาการปวดมีตั้งแต่ ปวดปานกลาง จนถึง รุนแรงมาก อาการปวดจะกำเริบหรือรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว รวมถึงอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และอาจไวต่อแสงหรือเสียง
ตามปกติ อาการปวดไมเกรนจะกำเริบขึ้นเมื่อมีปัจจัยบางอย่างมากระตุ้น โดย อากาศร้อนหรือการอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน เป็นปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่งที่กระตุ้นให้บางคนเป็นไมเกรนได้
เพียงแต่ว่าในหน้าร้อนปีนี้คุณอาจจะไม่มีปัญหาแบบนั้น หากปฏิบัติดังนี้
1. หลบเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีแสงแดดจัดโดยเฉพาะในเวลา 9.00-16.00 น.
2. เมื่อจำเป็นต้องเดินออกไปในที่ที่มีอากาศร้อนอาจป้องกันการปวดศรีษะจากไมเกรนโดย
ดื่มน้ำเย็นหรือ อมน้ำแข็งไปด้วยขณะเดิน เพื่อช่วยคลายความร้อน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ปวดศรีษะ
3. หลีกเลี่ยงสถานที่ร้อนและแออัด โดยเฉพาะงานนิทรรศการต่างๆ ที่ผู้คนหนาแน่น มีอากาศหายใจไม่เพียงพอ เพราะจะทำให้วิงเวียนศรีษะได้ง่าย
4. ในกรณีที่ต้องขับรถในช่วงที่มีแดดจัด ควรสวมแว่นตากันแดด และหากรู้สึกว่าไมเกรนกำลังคุกคามให้รีบหาที่นั่งพักหลับตาสักครู่ ใช้ผ้าเย็นประคบหน้าผากหรือต้นคอ ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการได้
5. รับประทานอาหารครบทุกมื้อ โดยเฉพาะอาหารมื้อเช้า เพราะหากปล่อยให้ท้องว่าง น้ำตาลในเลือดจะลดต่ำลง อาจทำให้อาการไมเกรนกำเริบได้
6. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และใช้เวลาหยุดสุดสัปดาห์ในการพักผ่อนอย่างเต็มที่
7. ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เป็นประจำจะช่วยให้อาการปวดไมเกรนดีขึ้น เพราะร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ช่วยบรรเทาความเครียดและปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แต่หากมีอาการไมเกรนอยู่ก่อน ก็ไม่ควรออกกำลังกาย เพราะจะทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น
8. การใช้ก้อนน้ำแข็ง หรือกระเป๋าน้ำแข็งประคบที่ศรีษะ เมื่อมีอาการปวดไมเกรน จะช่วยให้เส้นเลือดหดตัวลง ซึ่งจะสามารถช่วยบรรเทาอาการลงได้ แต่บางคนการนอนหลับก็สามารถบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้เหมือนกัน
9. สำหรับบางคนเมื่อมีอาการปวดขึ้นมา อาจใช้ วิธีการนวด การกดจุด บริเวณเส้นเลือดใหญ่หลังใบหู ก็สามารถบรรเทาอาการปวดได้ โดยไม่ต้องใช้ยาแก้ปวด
หากอาการปวดไมเกรนไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่นต่อไป เพื่อให้เกิดการรักษาได้ทันท่วงที
ที่มา: นิตยสาร HealthToday
เก็บมาฝากเพื่อนๆค่ะ เห็นมีหลายๆคนเป็นกัน