ก่อนจะเริ่มเลี้ยงแพรี่ด็อก (Prairie Dog) หลายๆท่านคงอยากได้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจ ว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร จขบ. จะขอร่ายยาวจากสิ่งที่ได้พบเจอมาค่ะ
เกริ่นก่อนว่า แพรี่ด็อก หรือ Prairie Dog คือกระรอกดิน ซึ่งมีถิ่นอาศัยอยู่แถวประเทศอเมริกา ธรรมชาติของเขาจะอยู่กันเป็นฝูง ในทุ่งกว้างงงงงงงง ที่มีอากาศร้อนผ่าวๆ
กระรอกดินจะไม่ได้อยู่บนต้นไม้แบบประเทศไทย แต่จะขุดดินอยู่ในรูแทน และกินแต่ของแห้ง หญ้าแห้ง ดังนั้นรูปแบบการเลี้ยงจะเป็นคนละแบบกับกระรอกไทย ไม่ให้ผลไม้หรืออาหารสด ไม่เน้นความสูง เพราะดีไม่ดี ทำกรงสูงๆ แพรี่ด็อกอาจจะตกลงมาขาหัก แขนหักได้
เนื่องจากมันเป็นสัตว์สังคม
มากๆ หากผู้เลี้ยงคิดจะเลี้ยงตัวเดียว คุณต้องให้เวลากับเจ้าตัวเล็กอย่างน้อยๆ 2-4 ชม. ต่อวัน (หรืออย่างพอดีๆก็ 8 ชม. โดยประมาณ...) ไม่อย่างนั้น จะพบเจอกับการอาละวาด โวยวาย พังกรง อย่างชนิดที่ไม่เคยเจอจากสัตว์ตัวไหนมาก่อน
เอาล่ะ มาเริ่มสาธยายข้อดีข้อเสียกันดีกว่า
ข้อเสีย
- เป็นสัตว์สังคม: แพรี่ด็อก เป็นสัตว์สังคมมากๆๆๆๆๆค่ะ เลี้ยงตัวเดียว แล้วไม่ยุ่งกับเขาเหมือนเลี้ยงแฮมสเตอร์ไม่ได้เด็ดขาด ต้องมีเพื่อนให้เขา โดยเลี้ยงเป็นคู่ ซึ่งก็ต้องเตรียมใจแบกรับค่าใช้จ่ายและภาระที่เพิ่มขึ้นด้วย หรือไม่ก็เราเนี่ยล่ะ จะต้องเป็นเพื่อนเล่นกับเขา เขาจะต้องการเวลาของเราอย่างน้อยๆ 1 ชั่วโมง และต้องปล่อยวิ่งเล่น 2-4 ชม. ต่อวันค่ะ
- ต้องให้เวลา: ถ้าคิดว่าจะเลี้ยงสัตว์ โดยจับมาอุ้ม มาเล่นวันละ 5-10 นาที หรือ 30 นาที แล้วเวลาที่เหลือก็จับเข้ากรงนั้น ขอให้ตัดตัวเลือกสัตว์ประเภทนี้ทิ้งไปเลยค่ะ เพราะเขาเป็นสัตว์ที่ติดคนมากๆ และต้องการความสนใจจากเราอย่างเต็มที่ เราต้องอยู่กับเขา เกาเขาอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นแพรี่ด็อกจะอาละวาด แทะกรง กระแทกกรง และอาจจะทำให้เกิดความก้าวร้าว ไม่ยอมให้จับ หรือ กัด ได้ -> เราเตือนคุณแล้วนะ
- ทำลายข้าวของ: ถ้าคิดว่ากระต่ายกัดแทะเก่ง ขอบอกว่าเจ้าตัวนี้เขี่ยกระต่ายกระเด็นตกเวทีไปเลยค่ะ แทะทุกอย่างตั้งแต่มือเท้าคน ยันไม้ พลาสติก เหล็ก ยาง เสื้อผ้า พรม สายไฟ ฟิวเจอร์บอร์ด กระดาษ เชือก ฯลฯ แถมแทะเกือบตลอดเวลา พูดง่ายๆว่า อะไรที่เข้าปากได้ โดนหมด เพียงแต่ต้องมานั่งลุ้นว่าจะชอบแทะอะไรมากกว่ากันเท่านั้นเอง เจ้าตัวแสบของจขบ. แทะแม้กระทั่งลูกเหม็น!! (เอาไปวางไว้ในซอก กะจะใช้ไล่ไม่ให้เข้าไป หันมาดูอีกที เละเป็นชิ้นๆคาปากแล้ว) ดังนั้นการเอามาเล่นนอกกรง เราจะต้องจัดพื้นที่ให้ดีๆ ให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรที่ไม่อนุญาตให้แทะอยู่ในพื้นที่นั้นๆ
- กัด: โอกาสเจอแพรี่ด็อกที่กัดคนนั้น ประมาณ 1:10 ค่ะ คือ 10 ตัว จะเจอชอบงับ ชอบกัดซักตัวนึง เป็นอัตราส่วนที่เยอะอยู่ และทุกตัวกัดหรือทำร้ายเราได้เมื่อเขาเกิดความกลัวหรือไม่พอใจ เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะคนขายจะเน้นนำเสนอแต่ความเชื่องเพื่อให้ขายได้ แต่เชื่องไม่ได้หมายความว่ามันไม่กัด และเมื่อติดนิสัยชอบกัดไปแล้ว อย่าหวังว่าจะเลิกได้ง่ายๆเลยค่ะ
- ดื้อ: แพรี่ด็อกเป็นสัตว์ที่ดื้อค่ะ ดังนั้นการสอนเขาด้วยการห้ามนั้น แทบจะเรียกว่า เป็นไปไม่ได้เลย "ยิ่งห้าม ยิ่งเหมือนยุ" คงใช้ได้ดีกับแพรี่ด็อก เช่น หากเขาสนใจอยากจะไปซอกมุมใดมุมหนึ่ง หรือพยายามจะกัดอะไรซักอย่างที่เราไม่ให้กัด เขาก็จะพยายามอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อนไม่ว่าจะกี่วันผ่านไป ถ้าเราห้ามเขาไว้ ยื้อเขาไว้ซ้ำๆหลายๆครั้ง จะกลายเป็นว่าทำให้แพรี่ด็อกหงุดหงิด แล้วสุดท้ายจบลงด้วยการกัดคนเลี้ยงค่ะ เป็นอะไรที่ท้าทายความอดทน ขันติ กับมนุษย์ตาดำๆอย่างเรามากๆค่ะ
- ห้ามลงโทษด้วยการตี: การลงโทษด้วยการตีเป็นสิ่งต้องห้ามกับแพรี่ด้อก เพราะเมื่อไรที่เราลงโทษด้วยการตี แพรี่ด็อกจะหันกลับมาก้าวร้าวใส่เรา และทำร้ายเราได้ค่ะ การลงโทษที่ได้ผลคือการจับเข้ากรง หรืองดเล่นด้วย
- ต้องมีพื้นที่วิ่งเล่น: แพรี่ด็อกเป็นสัตว์ที่มีพลังงานสูงงงงงง การเลี้ยงขังอยู่ในกรงตลอดเวลาเป็นทางเลือกที่แย่มากสำหรับสัตว์ รวมไปถึงคนเลี้ยงด้วย เพราะแพรี่จะพยายามทำทุกวิธีเพื่อออกจากรง เช่น แทะกรงจนหน้าช้ำเป็นแผล เอาหัวกระแทกกรง ส่งเสียงดังและสร้างความรำคาญแก่เจ้าของ จึงต้องปล่อยให้เขาออกมาวิ่งเล่นอย่างน้อย 2-4 ชม. ต่อวันค่ะ
- กลิ่น: อึและฉี่จะอยู่ในระดับแฮมสเตอร์ แต่จะมีกลิ่นสาปสัตว์มากกว่ากระต่าย และมีการปล่อยกลิ่นเหม็น(สุดๆ)เมื่อเกิดความกลัว หรือตกใจ
- ค่าดูแลรักษา อาหารแพง: แพรี่ด็อก ต้องกินหญ้าแห้ง Thimothy และอาหารเม็ดเช่น oxbow หรือ cuni complete ซึ่งมีราคาค่อนข้างแพง รวมถึงการพาไปรักษาก็ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเป็นสัตว์พิเศษและค่าใช้จ่ายสูง ค่าอาหารในการเลี้ยงแพรี่ด็อก ตกเดือนนึงอย่างน้อยๆก็ 300-500 บาท ยังไม่รวมค่าอุปกรณ์ตอนเริ่มต้นประมาณ 2-3 พันบาท
จบจากข้อเสียที่จขบ. ประสบมาทั้งหมดแล้ว และผู้อ่านยังคิดว่า 'รับด้ายยยยยย แค่นี้ชิวๆ' งั้นมาดูข้อดีของเจ้าตัวแสบนี้เพื่อเสริมกำลังใจกันบ้างค่ะ