เที่ยวรอบปลายปีที่อินโดนีเซีย
จะสิ้นปี 2559 แล้ว ปีนี้นับว่าเป็นปีที่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศเยอะที่สุดเลยครับ 4 ครั้ง ไปกับทัวร์ 3 ครั้ง ไปเอง 1 ครั้ง และบริษัทส่งไปดูงาน 0 ครั้ง (อันนี้ไม่ต้องบอกก็รู้มั้ง) ลงทริปลังกาวีกับรัสเซียไปแล้ว แต่ขอโดดข้ามคิวทริปญี่ปุ่นก่อนครับ อันนี้มีรายละเอียดจะเล่าเยอะม้ากกกก ขอยกยอดไปปีหน้า วันนี้มาชมอินโดนีเซีย ประเทศเพื่อนบ้านทางตอนใต้ของไทยกันดีกว่า
ทริปนี้เป็นของ SPIRIT of Indonesia วันที่ 12-16 พ.ย. 2559 (5 วัน 4 คืน) นัดพบกันที่สุวรรณภูมิตี 4 ของวันที่ 12 ไม่ต้องหลับต้องนอนครับคืนแรก ตื่นตี 1 ไปถึงสนามบินตีสองครึ่ง กันเหนียว เจอคุณไกด์ตอนตีสี่ แล้วพอหกโมงเช้าก็บินกันเลยจ้า
ก่อนอื่นมาอินโทรประเทศอินโดนีเซียกันนิดหน่อย ตามที่เราเรียนกันในวิชาทวีปของเรา อินโดนีเซียมีเกาะน้อยใหญ่มากมาย แต่เกาะใหญ่ที่สุดมี 4 เกาะ ซ้ายสุดคือสุมาตรา ถัดมาคือชวา ด้านบนส่วนที่ติดกับมาเลเซียคือบอร์เนียว ถัดมาคือซูลาเวซี และขวาสุดคือนิวกินี เวลาของอินโดนีเซียมีสาม time zone ที่สุมาตรา-ชวา-บอร์เนียวซีกซ้าย เวลาเท่าประเทศไทย บอร์เนียวซีกขวา-ซูลาเวซี-บาหลีจะเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง และนิวกินีเร็วกว่าไทยสองชั่วโมงครับ เมืองที่จะเที่ยวในทริปนี้มีบาหลีกับยอกยาการ์ตา ส่วนจาการ์ตาไปต่อเครื่องเฉยๆครับ
ภาพประกอบจาก wikipedia
ส่วนประวัติศาสตร์ไทยกับอินโดนีเซียมีประวัติศาสตร์ร่วมกันในหลายช่วงเวลา เช่นเดียวกับพี่น้องอาเซียนอื่นๆ อินโดนีเซียเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยที่แผ่อำนาจขึ้นมาถึงภาคใต้ของประเทศไทย เดี๋ยวไว้เล่าประวัติศาสตร์ตามสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อความอินกันดีกว่า แต่สิ่งน่าจดจำก็คือก่อนจะกลายเป็นประเทศอิสลาม อินโดนีเซียเคยมีร่องรอยความเจริญของพุทธศาสนาถึงขนาดสร้างพุทธศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างบุโรพุทโธขึ้นมา ผมนี้มาเที่ยวอินโดนีเซียเพราะความอยากชมบุโรพุทโธเป็นหลักเลย
บินจากสนามบินสุวรรณภูมิใช้เวลา 3 ชั่วโมงมาถึงสนามบินจาการ์ตาที่กว้างใหญ่จนดูโหรงเหรง เรานั่งรถเมล์ไปเทอร์มินัล 3 เพื่อขึ้นเครื่องต่อไปบาหลี ใช้เวลาสองชั่วโมงก็ถึงครับ
เทียบกับจาการ์ตาแล้วบาหลีมีความป่าอย่างเห็นได้ชัด รูปปั้นที่สนามบินส่วนใหญ่จะเป็นรูปปั้นจากละครพื้นบ้านเรื่องบารอง ออกแนวผีป่าน่าเกลียดน่ากลัวครับ คนบาหลีส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดูและยังมีการไหว้ผีอยู่ แต่รถปรับอากาศดูดีกว่าที่คิดมาก คุณเอ็กซ์ไกด์งวดนี้ก็เจอกะเทยอีกแล้วครับ แต่ใจดีผิดกับกะเทยทริปรัสเซียที่ดุร้าย
ส่วนคนนี้ไกด์ท้องถิ่น ขื่อกฤษณะ (จำชื่อภาษาอินโดไม่ได้ แต่เขาให้เรียกง่ายๆว่ากฤษณะ) ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด
พวกเราพักที่เดนปาซาร์ทางตอนใต้ของเกาะ เป็นเมืองที่เจริญที่สุดในจังหวัดบาหลี เต็มไปด้วยรีสอร์ทหรูและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากมาย บรรยากาศอย่างกับอ่าวนางหรือพัทยา แต่นี่ยังไม่ใช่ช่วงคนเยอะนะครับ ถ้าเป็นเดือนตุลาคมคนจะกลับบ้านช่วงหยุดยาว คนจะแน่นเกาะยิ่งกว่านี้อีก
มื้อเย็นกินอาหารจีนซึ่งหน้าร้านมีกั้ง กุ้งมังกร ปูตัวโตๆอลังการ ...ซึ่งเราจะไม่ได้พบเห็นบนโต๊ะอาหารของเราครับ ทัวร์ราคาแค่นี้ก็กินผัดผัก ไก่ทอด สลัดผัก กับแกงจืดตามธรรมเนียมทัวร์ไป คืนที่ 1-2 พักที่โรงแรม Swiss-BelHotel ซึ่งดีมาก มีเคเบิ้ล มีสระว่ายน้ำ มีอาหารเช้า ส่วนห้องน้ำคล้ายๆของตุรกีครับ คือไม่มีสายฉีดตูด แต่สามารถเปิดก๊อกข้างชักโครกให้น้ำพุ่งมาฉีดตูดได้
วันแรกหมดเวลาไปกับการเดินทาง วันที่สองนี่ละครับเริ่มเที่ยวกันจริงๆเสียที สถานที่เที่ยวแห่งแรก....ซื้อของ! (อะไรฟะ ยังไม่ทันไรเลย) ร้านนี้ขายผ้าบาติก สามารถซื้อเสื้อมาให้เขาวาดลายสดๆได้ด้วยนะ ซึ่งก็แน่นอนว่าร้านแนวงานฝีมือเจ้าของบล็อกไม่สนใจ
ต่อมาคณะทัวร์ไปชมบารองแดนซ์ที่โด่งดังและเป็นเอกลักษณ์ของบาหลี มาบาหลีแล้วต้องดูนะครับ ถึงมันจะไม่ได้สวยงามน่าดูอะไรเลยก็เถอะ การแสดงนี้หนึ่งชั่วโมงเต็ม ตัวบารองเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์คล้ายสิงโตจีน ส่วนฝ่ายร้ายคือแม่มดรังคาที่เข้าสิงกษัตริย์และสร้างความวุ่นวายขึ้น การเต้นใช้การขยับข้อไหล่และข้อมือเป็นหลัก เหมือนหุ่นเชิดผีสิงมากกว่าดูอ่อนช้อย แต่ก็ฝึกยากนะเออ
ใกล้เที่ยงเรานั่งรถขึ้นภูเขา ไปที่หมู่บ้านคินตามานีด้านบนสูงจากระดับน้ำทะเล 1,717 เมตร แต่ไม่ได้เที่ยวตัวหมู่บ้านนะครับ ขึ้นมากินข้าวและชมวิวภูเขาไฟบาตูร์กับทะเลสาบบาตูร์ ภูเขาไฟแห่งนี้ยังคงคุกรุ่นและมีการระเบิดอยู่เรื่อยๆ โดยการระเบิดครั้งล่าสุดเกิดเมื่อปี พ.ศ.2506 ช่วงดำๆนั่นคือเถ้าจากการระเบิดนั่นเองครับ ส่วนทะเลสาบบาตูร์เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซียด้วย
ข้างๆภูเขามีการเจาะหลุมหลบภัยหลายหลุม ตั้งแต่สมัยสงครามล่าอาณานิคมที่ไฝว้กับฮอลันดา
หลังมื้ออาหารแล้วก็ได้เวลากินกาแฟครับ กาแฟขี้ชะมดเป็นของขึ้นชื่ออีกอย่างของบาหลี ซึ่งที่นี่ก็มีให้ชมตั้งแต่ต้นกาแฟ ขั้นตอนการตาก การคั่ว ฯลฯ จนออกมาเป็นกาแฟ เขามีเครื่องดื่มหลายชนิดให้เราทดลองชิมด้วย ชอบน้ำมังคุดมากสุด ส่วนในบรรดากาแฟชอบ coconut coffee ครับ เป็นกาแฟใส่กะทิ นอกนั้นกาแฟล้วนๆ ขมเกินสไตล์เรา อันที่เป็นขี้ชะมดเขาเอามาให้ลองก็ไม่ได้ลอง ที่นี่ปลูกโกโก้ทำช็อคโกแลตด้วย แต่ไม่อร่อยเลยเจ้าค่าาา... รสเหมือนก้อนไขมันปาล์มแบบช็อคโกแลตจีนแถมราคาแพงสะเทือนใจอีก ดีว่าเขามีให้ชิมก่อนนะ
สถานีต่อไป... วิหารศักดิ์สิทธิ์ธีร์ตะอัมปุล หรือเทมภัคสิริงค์ (ผมจำชื่อสถานที่ในอินโดนีเซียไม่ค่อยได้เพราะมันเรียกยากจัง) Tirta Empul temple สร้างใน พ.ศ.1505 ในแผนที่หลายแห่งเรียกที่นี่ว่า The Spring เพราะเด่นเรื่องน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ครับ ก่อนเข้าไปต้องสวมโสร่งและผ้าคาดพุงที่เขาแจกให้ก่อนครับ
ที่นี่มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิที่มีต้นน้ำจากภูเขาไฟ สมัยก่อนใช้ประกอบพิธีของกษัตริย์แต่เดี๋ยวนี้นักท่องเที่ยวคนไหนก็เข้ามาอาบได้ครับ เชื่อว่าจะทำให้ผิวพรรณผ่องใสช่วยรักษาโรค เหมือนคนอาบน้ำในแม่น้ำคงคานั่นแหละ แต่คณะเราไม่ได้ลงนะ อีกสองบ่อเป็นบ่อปลาคาร์ฟกับบ่อต้นน้ำที่ไม่ได้เปิดให้คนเข้าไปแช่ตัว
ผู้คนกำลังประกอบพิธีทางศาสนาพราหมณ์
|
บ้านพักอดีตประธานาธิบดีซูการ์โนบนเนินเขาใกล้กับวิหาร | ออกมาทางออกจะเจอร้านขายของครับ มีแบบนี้แทบทุกวัด และนี่เป็นโซนร้านค้าแห่งแรกตั้งแต่ลงจากเครื่องบินมา ลูกทัวร์ทั้งหลายจึงไม่สามารถยับยั้งความปรารถนาในการช้อปได้ ของส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อยืด ของจักสาน เปลือกหอย และเครื่องประดับ อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ต้องต่อราคานะครับ แต่ของส่วนใหญ่มันก็ไม่แพงอยู่แล้วอะนะ
ช่วงเย็นมาช้อปที่ร้านกฤษณะ อันนี้สินค้ามีให้เลือกเยอะและหลากหลาย ราคาถูกด้วย ร้านนี้ไม่ต้องไปต่อราคานะครับ คิดค่าถุง 200 รูเปียส แต่มีป้าลูกทัวร์ผู้ทราบความได้ปฏิเสธถุงเพราะไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบ พร้อมขึ้นมาเล่าอย่างภาคภูมิใจว่าเธอไม่เอาถุงยอมแบกของพะรุงพะรังช่วยประหยัดได้ถึง 200 รูเปียส! (เท่ากับ 50 สตางค์)
วันที่ผมไปอยู่ในช่วงเทศกาลวันชาติของอินโดนีเซียที่ได้ประกาศอิสรภาพจากฮอลันดาในปี พ.ศ.2488 ครับ (วันชาติคือวันที่ 17 ส.ค.) ที่หน้าร้านมีการแสดงและแจกอาหารด้วย
มื้อเย็นกินที่ร้าน BBQ & SHABU เป็นบุฟเฟ่ต์เดินตักอาหารและมีชาบูให้ครับ เติมปูเติมกุ้งได้ไม่อั้น แต่ปูผมกินตัวเดียวก็อิ่มแล้ว ส่วนกุ้งนี่ใส่ไหมาเป็นๆ ตัวเล็กอีกต่างหาก ปล่อยทิ้งไว้มันก็ตายอยู่ดีอะนะ ต้องกลั้นใจเทลงน้ำเดือดเพื่อปลดปล่อยพวกมันไปสู่สุคติ หลังจากเทกุ้งหมดไหไปแล้วพนักงานก็เอากุ้งไหต่อไปมาวางทันที (อีห่า!)
เริ่มเช้าวันใหม่ อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน นั่งรถมาทางตะวันตกติดชายฝั่งไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ ระหว่างทางมีนาขั้นบันไดสวยงามให้ชมมากมาย ที่บาหลีทำนาเยอะแต่ส่วนใหญ่เป็นนาขั้นบันไดขนาดเล็กครับ
วันนี้เที่ยววิหารของบาหลีที่เหลือครับ ประเดิมตอน 9.30 น. ที่วิหารตานาห์ล็อต (Tanah Lot) ก่อนเลย ที่นี่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 21 เพื่อบูชา Dewa Baruna งูศักดิ์สิทธิ์เทพเจ้าแห่งมหาสมุทรตามความเชื่อของศาสนาฮินดู
ตัววิหารอยู่บนก้อนหินนอกชายฝั่งครับ
เดินได้ตลอดริมฝั่ง แต่เป็นผาชันนะครับ ชมวิวได้อย่างเดียว อย่าอุตริกระโดดน้ำล่ะ
ช่วงที่ผมไป (กลาง พ.ย.) อากาศยังคงร้อนได้ใจเลย โชคดีว่าช่วงเช้าเที่ยวแค่วัดเดียว ต้องใช้เวลาเดินทางนานสักหน่อยสำหรับสถานที่ต่อไปที่อยู่ทางเหนือของเกาะบาหลีครับ เรานั่งรถไปที่ทะเลสาบเบราตานเพื่อรับประทานอาหารกลางวันร้านริมทะเลสาบ จากนั้นก็เที่ยววัดเบราตานต่อในช่วงบ่าย
วัดระหว่างทางสร้างไว้เชิงผา
วัดเบราตาน (Pura Bratan) เป็นวิหารกลางน้ำที่ตั้งบนทะเลสาบเบราตานไม่ไกลจากฝั่งเท่าไหร่ สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2176 เพื่อบูชาเทพ Dewi Danu เทพแห่งแม่น้ำ และใช้ประกอบพิธีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับน้ำ
กลับลงมาทางใต้ก่อนถึงเดนปาซาร์ วัดสุดท้ายก่อนจากบาหลีคือวัดทามาอายุน (Taman Ayun Temple) หรือวัดเม็งวี เป็นหนึ่งในวัดที่สวยงามที่สุดของบาหลีและเป็นวัดหลวงในสมัยราชวงศ์เม็งวี สร้างในปี พ.ศ.2177
ด้านในสุดของวัดมีเจดีย์ที่มี 3, 5, 7, 9 และ 11 ชั้น เรียงกันสวยงาม เป็นที่ประกอบพิธีกรรมของกษัตริย์ราชวงศ์เม็งวีครับ
หุ่นจำลองแสดงการชนไก่
หมดเวลาสำหรับบาหลีครับ สมัยก่อนพูดถึงบาหลีจะคิดถึงทะเลสวยงามและการท่องเที่ยวราคาถูก แต่มารอบนี้ได้เห็นวัฒนธรรมเฉพาะของบาหลีที่มีเอกลักษณ์ ทั้งการแสดงบารอง งานปั้นอันประณีต และศาสนาที่แตกต่างจากคนอินโดนีเซียในโซนอื่นๆ ว่าแล้วก็เดินทางมาสนามบินเดนปาซาร์หรือสนามบินบาหลี นั่งจับโปเกม่อนไปสักสองชั่วโมงเครื่องก็ออกครับ (ที่อินโดนีเซียจะมีโปเกม่อนตระกูลไฟฟ้าเยอะ)
ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเดินทางจากบาหลีมาถึงยอกยาการ์ตา ที่นี่เวลาเท่าประเทศไทย รีบปรับเวลากลับเลยครับ เราทอดทิ้งไกด์กฤษณะไว้ที่บาหลี สำหรับยอกยากาตาร์นี้ไกด์ท้องถิ่นชื่อคุณนู ยิ้มแย้มน้อยกว่าคุณกฤษณะแต่ความตั้งใจบรรยายมาเต็มมาก
หลังกินอาหารจีนที่มีแต่เนื้ออะไรไม่รู้มาผัดซ้ำไปซ้ำมาตามสไตล์ร้านจีนในทัวร์แล้ว อีกสองคืนที่เหลือเรานอนกันที่ Grand Tjokro Yogyakarta Hotel ครับ ชื่อแกรนด์ซะเปล่า แต่คุณภาพห้องห่วยกว่าโรงแรมที่บาหลีมาก ห้องแคบ เตียงเสริมอนาถา แจกน้ำไม่ครบคน และมีเสียงเพลงดังหนวกหูตลอดคืน แต่อาหารเช้าเขาหลากหลายกว่าที่โรงแรมที่แล้วนะ
วันนี้จะเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังที่สุดของอินโดนีเซียอย่างบุโรพุทโธครับ อยู่นอกยอกยาการ์ตาไปทางเหนือที่เมืองเซมาแรง ระหว่างทางไปไกด์นูชี้ให้ดูวัดเมนดุต (Mendut Temple) วัดวัดเก่าแก่ในพื้นที่นี้คือวัดเมนดุต วัดปาวอน และบุโรพุทโธ จะเรียงตัวเป็นแนวเดียวกัน สมัยก่อนเชื่อกันว่ามีถนนเชื่อมทั้งสามวัดสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาด้วย ยังดีที่ถ่ายติดวัดเมนดุตมา มีแค่ก้อนนี้ก้อนเดียวจริงๆครับ | | และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในการท่องเที่ยวก็เกิดขึ้น นั่นคือฝนตกครับ ไอ้ฉิบหาย! ตกวันไหนไม่ตก มาตกเอาวันที่เที่ยวที่ไฮไลท์เลยนะ! แถมคนยังเยอะ มีทัวร์อื่น+มีเด็กมาทัศนศึกษาอีก ภาพฝูงชนแห่ขึ้นไปบนเจดีย์เดียวกัน โดยมีฟ้าหลัวเป็นฉากหลังนั่นเป็นเรื่องเศร้าของนักเดินทาง
รำคาญ โฟโต้ช้อปแม่งเลย #โดนเป่าผิดกติกา ได้ใบเหลือง
มหาสถูปบุโรพุทโธ (Chandi Borobudur) สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1393 ในสมัยของราชวงศ์ไศเลนทร์ เป็นศาสนสถานของพุทธมหายาน สร้างจากหินภูเขาไฟกว้างด้านละ 121 เมตร สูง 123 เมตร และได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนสถานที่ใหญ่โตที่สุดในโลก หากไม่นับนครวัดซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างพุทธและฮินดู และเป็นมรดกโลกครับ ที่นี่ถูกใช้งานได้ร้อยกว่าปีก็ถูกทิ้งร้างโดยเชื่อกันว่ามีการย้ายเมืองหลวงเพื่อหนีการปะทุของภูเขาไฟ ที่นี่ถูกทิ้งร้างและปกคลุมด้วยเถ้าภูเขาไฟอยู่กลางป่าลึก จนกระทั่งถูกค้นพบโดยคณะสำรวจของอังกฤษในปี พ.ศ.2357 และถูกรัฐบาลดัทช์บูรณะหลังจากนั้น
บุโรพุทโธแบ่งเป็นแปดชั้น 5 ชั้นล่างเป็นลานสี่เหลี่ยมให้เดินชมเจดีย์บริวาร พระพุทธรูป และภาพแกะสลักมากมายที่รายล้อมมหาเจดีย์อยู่ 3 ชั้นบนเป็นลานวงกลม ส่วนยอดสุดเป็นเจดีย์ฐานกลมไม่มีภาพแกะสลัก
ตรงทางออกมีพิพิธภัณฑ์ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าดูนัก มีแต่เศษกองอิฐกองหินจากการบูรณะเจดีย์ที่ยังไม่รู้จะประกอบเข้าตรงไหนได้
ร้านค้าตรงทางออก
เห็นรถเข็นขายบะหมี่ลูกชิ้นก็เริ่มคล้ายอาหารบ้านเราขึ้นมาหน่อย ชามละ 10,000 รูเปียส (26 บาท) ครับ
นอกจากโบราณสถานระดับมรดกโลกที่แถวนี้มีถึงสามแห่งแล้ว เมืองยอกยาการ์ตานี้ยังเป็นเมืองหลวงเก่าของอินโดนีเซียที่มีสุลต่านปกครองมายาวนาน จนกระทั่งซูการ์โน่นำผู้คนประกาศเอกราชจากชาติอาณานิคม สุลต่านฮาเมิงกูบูโบโนที่ 6 ก็เข้าร่วมด้วยจนกระทั่งประเทศอินโดนีเซียได้รับเอกราช ซูการ์โน่ได้ยกให้ยอกยาการ์ตาเป็นเขตปกครองพิเศษ อยู่ภายใต้อำนาจสุลต่านมาจนถึงปัจจุบันคือสุลต่านฮาเมิงกูบูโบโนที่ 10
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงครึ่งแล้ว ก่อนกินข้าวเที่ยงพวกเราเข้าไปชมวังสุลต่าน (Kraton Yogyakarta) กันก่อนครับ วังนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการอะไรมาก โดยฐานะแล้วสุลต่านของอินโดนีเซียมีฐานะเป็นแค่ประมุขของเมืองเล็กๆอย่างยอกยาการ์ตาไม่ใช่ประมุขของประเทศ จะไม่ค่อยมีความหรูหราฟู่ฟ่าแบบที่เคยเห็นในวังที่อื่นครับ มีส่วนตัววังที่สุลต่านยังคงประทับอยู่ เข้าไปดูไม่ได้นะครับ เราดูโซนรอบๆเป็นสวนและมีนิทรรศการจัดแสดงภาพถ่ายและข้าวของเครื่องใช้ของสุลต่านคนก่อนๆด้วย
เครื่องแบบของข้าราชบริพารในวังครับ
สามล้อถีบรับจ้างยังคงเห็นได้ตามถนนทั่วไป
ได้เวลาอาหารกลางวัน วันนี้กินร้านในเขตวัง มีการแสดงแบบที่รำกันในวังสมัยก่อน ซึ่งก็ไม่ได้น่าดูอะไรแต่เป็นเอกลักษณ์ของเขานะครับ
กินข้าวเสร็จก็ไปชมวังต่อ อันนี้เป็นส่วนของพระราชวังน้ำ (Taman Sari) เป็นสระว่ายน้ำที่สุลต่านเอาไว้เล่นน้ำกับนางสนม ด้านบนมีหอให้มองลงมาด้านล่างเพื่อเลือกสนมไปอาบน้ำด้วยกันในสระส่วนตัวด้านหลังด้วย
มุมมองจากด้านบน (วิวสุลต่าน)
ช้อปต่อกันอีกนิด พามาร้านบาติกอีกละ (ซ้าย) ไม่รู้จะซื้ออะไรจ้า ดีว่าข้างๆกันมีร้านช็อคโกแลต Monggo (ขวา) เป็นยี่ห้อดังของอินโดนีเซีย น้องเล่าว่ามีเปิดที่จุฬาด้วย อร่อยนะครับ ไม่น่าเชื่อว่าชาติอาเซียนจะทำช็อคโกแลตอร่อยกับเขาเหมือนกัน ไม่เสียเงินร้านไหนก็มาเสียเงินร้านนี้แหละ แพ้ทางช็อคโกแลต
ส่วนอันนี้ภาพขีดเขียนมือบอนตามกำแพงที่พบได้ทั่วไปในอินโดนีเซีย แต่หลายๆภาพฝีมือไม่ใช่เล่นๆนะเออ สตรีทอาร์ตบ้านเขาจริงจังมาก
ลุงขายอาโวกาโดจ้ะ
ดูสภาพการจราจรเมืองนี้ค่อนข้างแออัด มีรถสารพัดประเภทแล่นกันเต็มถนนไปหมด แต่ก็ยังไม่เห็นถึงขนาดมีอูฐมีวัวมาเดินแบบอียิปต์นะ และเมืองนี้ยังไม่รถติดเท่าจาร์การ์ตาครับ อันนั้นระดับโลก
หลังจากกินข้าวเย็น (อาหารจีนอีกแล้ว) แล้วก็ได้เวลาช้อปใหญ่ประจำทริป ของอินโดนีเซียไม่มีที่ช้อปไหนโด่งดังเท่าถนนมาลิโอโบโรครับ
ระหว่างทางมาไกด์ชี้ให้ดูอนุสาวรีย์ตูกู (Tugu Monument) เป็นอนุสรณ์แห่งภราดรภาพ ที่สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสก่อตั้งยอกยาการ์ตาเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน ถึงจะถูกดัทช์ดัดแปลงรูปร่างเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบันแต่ความสำคัญของอนุสาวรีย์แห่งนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ผู้คนใช้อนุสาวรีย์นี้เป็นสัญลักษณ์ของความรักความผูกพันต่อเมืองยอกยาการ์ตา เด็กที่จบการศึกษาและจะต้องจากเมืองนี้ไปจะมาถ่ายรูปโอบกอดและจูบเจ้าแท่งนี้กันครับ นับเป็นแลนด์มาร์คที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของยอกยาการ์ตาเลย เสียดายถ่ายมืดๆตอนรถแล่นผ่านได้เท่านี้เอง จะเดินย้อนกลับไปถ่ายก็ไกลจากถนนช้อปปิ้งตั้งสามกิโลแน่ะ | | ถนนมาลิโอโบโร (Malioboro) อยู่กลางย่านการค้าสำคัญของยอกยาการ์ตาที่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรม คนนิยมมาถ่ายรูปคู่กับป้ายหัวถนนกัน ผมขี้เกียจต่อคิวเลยแหงนถ่ายเอาแต่ป้ายพอละ
ไกด์ให้เวลาเดินช้อป 1 ชั่วโมง 20 นาที ประมาณ 90% เป็นร้านขายเสื้อผ้าครับ มาเลือกเอาเสื้อถูกๆลายสวยๆก็มีเยอะนะ
ลองแวะดูห้างสรรพสินค้าของอินโดนีเซียซะหน่อย Mal Malioboro เป็นห้างใหญ่ที่สุดบนถนนนี้ครับ ร้านแบรนด์เนมก็เยอะ แฟรนไชส์ก็แยะ ผมพยายามหาโรตีบอยที่สูญพันธุ์จากประเทศไทยแล้วมาเจอที่นี่ตอนนั่งรถผ่าน กะว่าห้างนี้น่าจะมีสักอัน แต่ก็หาไม่เจอ มีการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเรื่องเข้าไปตีตลาดอินโดนีเซียเหมือนกัน ที่เห็นทุกร้านยันสนามบินก็เรื่องวันพันช์แมน
กว่าจะเดินจุใจแทบจะกลับมารถไม่ทันครับ ถนนช้อปปิ้งเส้นนี้จัดว่าน่าซื้อเลย ต่อราคาได้ แต่ไม่ต้องต่อสิบเท่าแบบจีนนะ เขาโก่งไม่หนัก ไม่ซื้อก็ไม่โดนด่าหรือถีบออกจากร้าน
เช้าวันสุดท้าย วันนี้มีโปรแกรมเดียวคือเที่ยววัดพรามนันต์ (Prambanan) เป็นศาสนสถานของศาสนาฮินดูที่ใหญ่โตที่สุดของชวาโบราณ สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 14 และได้รับมรดกโลกครับ เป็นไฮไลต์ลำดับที่สองของทริปนี้รองจากบุโรพุทโธเลย และด้วยความที่วันนี้ฟ้าสวยใส ภาพที่ได้วันนี้จึงน่าพึงพอใจอย่างถึงที่สุดสำหรับทริปนี้ครับ
วัดแห่งนี้ประกอบด้วยปรางค์ 240 องค์ (OMG!!) แต่ปรางค์บริวาร 224 องค์ ล้วนแตกหักไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะบูรณะ เลยเหลือแต่ปรางค์ที่อยู่ภายในกำแพง จะมีปรางค์ประธาน 3 องค์ องค์กลางมีรูปเคารพของพระศิวะ องค์ขวาพระวิษณุ และองค์ซ้ายพระพรหม ด้านหน้าของปรางค์ประธานมีอีกสามปรางค์สำหรับสัตว์พาหนะ โดยหน้าปรางค์ของพระศิวะมีโคนนทิ-พระอาทิตย์-พระจันทร์ หน้าปรางค์พระวิษณะมีครุฑ และหน้าปรางค์พระพรหมมีหงสวาหน สำหรับปรางค์องค์กลางที่ใหญ่โตที่สุดมีทางขึ้นได้ทั้งสี่ทางครับ ด้านหน้าจะมีรูปเคารพของพระศิวะ ด้านขวาคือพระแม่อุมาในภาคนางทุรคา ด้านซ้ายคือพระศิวะในภาคมหาคุรุ และด้านหลังคือพระพิฆเนศ ปรางค์เล็กด้านบนมีรูปพระลักษมี ปรางค์เล็กด้านล่างมีรูปพระสรัสวดี
แผนผังวัดพรามนันต์จาก wikipedia
เทวรูปเท่าที่เหลือก็ตามภาพด้านล่างนี้ครับ ปรางค์อื่นปีนขึ้นไปแล้วข้างในไม่มีอะไร แต่เทวรูปหลายๆองค์ก็เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ด้านหลังวัดนะ
วัดนี้ไกด์ให้เวลาเดินหนึ่งชั่วโมงครับ เดินมาที่ทางออกมีพิพิธภัณฑ์วัดพรามนันต์ที่รวบรวมโบราณวัตถุจากการขุดค้นวัดนี้ครับ เดินดุ่ยๆเข้าไปได้เลย อันนี้มีรูปปั้นเพียบกว่าที่บุโรพุทโธอีก
มาถึงสนามบินตอนสิบโมงได้เวลาร่ำลายอกยาการ์ตาและทริปอินโดนีเซียแล้วครับ กว่าเครื่องบินจะออกก็โน่นแน่ะบ่ายโมง มีเวลาถมเถ โชคดีที่สนามบินยอกยาการ์ตามีโรตีโอ คล้ายๆโรตีบอยอยู่ กินให้หายคิดถึงได้ อันละ 10,000 รูเปียส (26 บาท)
บ๊ายบายยอกยาการ์ตา อันนี้นั่งเครื่องบินหนึ่งชั่วโมงก็ถึงเมืองจาการ์ตาครับ
สี่โมงครึ่งได้เวลาบินออกจากจาการ์ตากลับมากรุงเทพเมืองฟ้าอมร และแล้วทริปต่างประเทศครั้งที่ 4 ของปี 2559 นี้ก็จบลงไปอย่างสวยงาม
...ซะเมื่อไหร่กันล่ะ!! เครื่องบินออกไปได้ชั่วโมงนึงมันก็บินกลับครับ (มีควงสว่านด้วย) ไม่ได้แจ้งว่ากลับเพราะอะไร สงสัยลืมเติมน้ำมัน แต่ไกด์บอกว่าสายการบินการูด้าเป็นงี้ประจำอะจ้า
รอเครื่องรอบใหม่สรุปว่าเลทไปสี่ชั่วโมงครับทริปนี้ แทนที่จะถึงกรุงเทพสองทุ่ม กลายเป็นถึงเอาเที่ยงคืนครับ กลับบ้านกว่าจะถึงบ้านก็ตีหนึ่ง และเช้าวันต่อมาไม่ได้ลาหยุด ตายครับตาย วันรุ่งขึ้นกลายเป็นศพได้อย่างเดียว
ก่อนจากมา quick review กับประเทศอินโดนีเซียกันสักหน่อยครับ ว่ามีอะไรน่าสนใจที่แตกต่างไปจากบ้านเรากันบ้าง เพื่อมาทำความรู้จักเพื่อนบ้านทางตอนใต้ของเรากันอีกนิด ถึงทริปนี้จะไปแค่สองเมืองคือยอกยาการ์ตากับบาหลี แต่ก็ได้เห็นความแตกต่างของวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ของทั้งสองเมืองอย่างชัดเจนเลยทีเดียวเชียว...
คนบาหลีกว่า 80% นับถือศาสนาฮินดู ศาสนสถานบนเกาะจึงเกี่ยวข้องกับฮินดูมาก บ้านที่พื้นที่มากๆจะสร้างศาลให้เทพเจ้ามาสถิตและกราบไหว้ ไม่ใช่แบบศาลพระภูมิบ้านเรานะครับ กินพื้นที่สวนทั้งหมดกันเลยทีเดียว ส่วนหน้าบ้านจะจัดกระทงใส่อาหารและเครื่องเซ่นไหว้สำหรับสัมภเวสีวางไว้บนพื้น (อย่าเผลอไปเตะนะครับ)
ชาวบาหลีเชื่อว่าการกราบไหว้สิ่งลี้ลับพวกนี้จะช่วยให้การทำงานต่างๆไม่มีอุปสรรค |
| | | ทั่วเมืองบาหลีมีรูปปั้นจากเรื่องรามายณะ ปั้นละเอียดสวยงามมากๆ คิดถึงเมืองเพชรบุรีขึ้นมาเลยครับ มีทั้งตัวละครเดี่ยวๆและฉากสำคัญในเรื่องอย่างพระรามจองถนน กวนเกษียรสมุทร ฯลฯ น่าเสียดายที่เห็นตอนนั่งรถผ่านอย่างเดียว ถ่ายรูปยาก
อาหารอินโดนีเซียสู้อาหารไทยไม่ได้ครับ (ผมจะชาตินิยมก็เรื่องอาหารกับเรื่องส้วมนี่แหละ ของไทยดีที่สุดในโลก) อาหารมีหลากหลายทั้งผัด ทอด ต้ม ด้วยวัตถุดิบไม่หลีกไปจากอาหารไทยเท่าไหร่ แต่วิธีใช้เครื่องปรุงมันไม่เหมือนกัน อาหารเด่นๆก็เช่นกูเด็ก (ขนุนพะโล้) บาบีคูลิง (หมูยัดไส้พริก) กูไล (แกงขมิ้น) นาซีโกเร็ง (ข้าวผัดซีอิ๊ว) ที่คุ้นกับเราๆหน่อยก็เช่นไก่สะเต๊ะ แต่ชอบ Bubur ketan hitam (ขนมข้าวเหนียวดำราดกะทิ) นะครับ
ผลไม้ที่ขึ้นชื่อและไกด์ยุให้ชิมมากๆก็คือสละ ซึ่งสละอินโดนีเซียรสชาติแตกต่างจากสละบ้านเรามาก คือเน้นกรอบครับ รสหวานและกลิ่นหอมจะน้อยกว่าสละสุมาลี มีบริการแพ็คใส่กระเป๋าเอาไปฝากเพื่อนบ้านด้วย แต่ผมกลัวเพื่อนบ้านด่า ถ้าอยากกินสละนั่งรถไปจันทบุรีเถอะครับ
ภาษาอินโดนีเซียคล้ายของเวียดนามคือไม่มีตัวหนังสือเป็นของตัวเอง แต่ใช้ตัวภาษาอังกฤษทับไปทั้งคำครับ คำที่ควรทราบ สวัสดี = ซาลามัดเชียง (Selamat Siang), ลาก่อน = ซาลามัดจาลัน (Selamat Jalan), ลดราคาหน่อยสิ = บิซาดุรุนดิดะ (Bisa Turun Tida), ตกลงเอา = ชายะ อากัน อัมบิล อินิ (Saya Akan Ambil Ini) ....แต่พูดอังกฤษเถอะครับ พ่อค้าฟังอังกฤษได้เกือบทุกคน
อินโดนีเซียใช้หน่วยเงินรูเปียส 10,000 รูเปียส = 26 บาทไทย เวลาดูราคาก็เทียบจากหมื่นไปจะง่ายครับ ข้าวของในอินโดนีเซียมีราคาถูกตามค่าครองชีพ เสื้อผ้าตามร้านข้างสถานที่ท่องเที่ยวต่อราคาได้จนถึง 5 ตัว 1 แสนรูเปียส (ตัวละ 52 บาท) แต่ผมไม่ค่อยสบายใจกับการต่อเพื่อชัยชนะและเกียรติยศขนาดนั้น ไม่ต้องต่อให้ได้ราคาถูกที่สุดเพื่อมาอวดคนบนรถหรอก ต่อถึงราคาที่เราพอใจแล้วก็ซื้อไปเถอะครับ
อินโดนีเซียมีบริษัทน้ำมันแห่งชาติเจ้าใหญ่อย่าง Pertamina ที่ในภูมิภาคนี้เป็นรองเพียงปิโตรนาสของมาเลเซียและ ปตท. ของไทยเรานี้เอง ไปถนนเส้นไหนๆก็เห็นแต่ปั๊มของ Pertamina แบบแทบไม่มีปั๊มยี่ห้ออื่นแทรกขึ้นมาได้เลย ราคาน้ำมันเบนซินประมาณลิตรละ 21 บาท ดีเซล 23 บาท บ้านเขามีแหล่งน้ำมันและไม่ได้เก็บภาษี+กองทุนโหดแบบบ้านเรานะครับ
จบแล้วจ้ะ ซาลามัดจาลัน~
Create Date : 19 ธันวาคม 2559 |
|
56 comments |
Last Update : 10 มีนาคม 2560 22:28:53 น. |
Counter : 3515 Pageviews. |
|
|
|
ยังไม่ได้อ่านค่ะ