เที่ยวชมสงขลาในห้ายุคสมัย
ดองบล็อกจนเค็มได้ที่แล้วก็ขอออกเดินต่อนะครับ วันนี้ยังคงอยู่ทางใต้ของประเทศไทย เราจะไปชมเมืองที่เป็นพี่ใหญ่ของภูมิภาคนี้มาหลายยุคหลายสมัยอย่างสงขลากัน เมืองโบราณจะกระจุกอยู่บริเวณปากน้ำทะเลสาบสงขลา ตั้งแต่เมืองสทิงพระเมืองต้นกำเนิดของพัทลุงบนคาบสมุทรสงขลา เมืองสงขลาแห่งแรกบนหัวเขาแดง เมืองสงขลาฝั่งแหลมสน และเมืองสงขลาฝั่งบ่อยาง ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองสงขลาในปัจจุบัน
พื้นที่แถบนี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนานตั้งแต่ยุคศรีวิชัย อยุธยา มาจนถึงปัจจุบัน แต่ศูนย์กลางอำนาจก็เปลี่ยนตำแหน่งไปตามยุคสมัย เริ่มจากยุคแรกเริ่มสุดเลยคือเมืองสทิงพระที่ตั้งอยู่บนบนคาบสมุทรสทิงพระและกำเนิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 12 เดิมคยนับถือศาสนาพราหมณ์ ก่อนรับอิทธิพลจากพุทธมหายานเข้ามาในช่วงหลัง เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆในภาคใต้ ศูนย์กลางของเมืองคือบริเวณวัดจะทิ้งพระแห่งนี้เอง...
วัดจะทิ้งพระ มีชื่อเต็มว่าวัดจะทิ้งพระยกให้ผมเถอะ (ครับ...ผมสาบานว่าจะไม่เล่นมุกแป้กอีกแล้วครับ) เดิมชื่อวัดสทิงพระ แต่ไม่รู้ว่าเพี้ยนอีท่าไหนเลยกลายเป็นจะทิ้งพระ มีเจดีย์พระมหาธาตุสร้างราวพุทธศตวรรษที่ 16 สมัยศรีวิชัย ลักษณะเจดีย์เอวคอดแบบนี้ละครับ เอกลักษณ์ของเจดีย์ศรีวิชัยเลย แต่ฐานถูกบูรณะสมัยอยุธยา เลยเป็นฐานเจดีย์แบบอยุธยาชัดๆ เจดีย์นี้รวมทั้งสิ่งก่อสร้างหลายแห่งในภาคใต้มีส่วนประกอบของหินปะการัง เพราะพบได้มากในพื้นที่นี้ครับ
ใกล้ๆกันมีวิหารพระนอน ซึ่งคนท้องถิ่นเรียกกันว่าพ่อเฒ่านอน เป็นพระศิลปะศรีวิชัย พระพักตร์ก็มีเอกลักษณ์แบบพระศรีวิชัยน่ะครับ
สทิงพระเจริญสูงสุดช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-18 ก่อนจะย้ายศูนย์กลางความเจริญไปบริเวณวัดพะโคะ นักประวัติศาสตร์บางท่านเรียกเมืองสทิงพระในยุคนี้ว่าพัทลุงพะโคะ
ยังคงหลงเหลือร่องรอยวัดวาอารามสำคัญๆข้างถนนสาย 408 ซึ่งคนขับรถเที่ยวหลงใหลในความเป็นเส้นทางเลียบทะเลที่แสนยาวไกล เช่นวัดพะโคะ วัดดีหลวง วัดสีหยัง และวัดเจดีย์งาม วัดแต่ละแห่งอยู่ติดถนนเลยครับ แวะเที่ยวง่ายดาย ถึงจะเป็นวัดเล็กๆแต่ก็หลงเหลือรูปแบบศิลปะที่เก่าแก่ไปถึงยุคศรีวิชัยจริงๆ อันนี้ขากลับจากสงขลาเราขับย้อนจากสงขลาขึ้นไปถึงระโนด ก็จะแวะชมวัดต่างๆจากล่างขึ้นบนนะครับ
วัดดีหลวง มีโบสถ์ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18-19 แต่ไม่ได้เปิดให้เข้าไปดู
วัดพะโคะ เดิมชื่อวัดพระราชประดิษฐาน เป็นศูนย์กลางของเมืองพัทลุงพะโคะในยุคกรุงศรีอยุธยา ชื่อพะโคะหมายถึงหลวงปู่ทวด ซึ่งเคยมาบวชที่วัดนี้ก่อนไปโด่งดังที่วัดช้างไห้ จ.ปัตตานี บ้างก็บอกว่าชื่อพะโคะมาจากพระไสยาสน์ประธานของวัดนี้ ที่คนเรียกว่าพระโคตมะ แล้วกร่อนมาเป็นพะโคะดังทุกวันนี้ มาชมพระพักตร์พะโคะศิลปะศรีวิชัยกันแบบชัดๆ หน้าตาแบบนี้เป็นพระศรีวิชัยครับ
เจดีย์ประธานตั้งอยู่บนเขาพะโคะที่เป็นเขาเล็กๆ ภายในบรรจุพระมหาธาตุที่อัญเชิญมาจากลังกา
ศาลาตัดสินความ เป็นอีกหนึ่งโบราณสถานที่พบในบริเวณวัด เคยใช้เป็นอาคารเรียนของวัดนี้ด้วย
หลักช้างสมัยอยุธยา เคยใช้ผูกช้างของเจ้าเมืองสทิงพระ
วัดสีหยัง เหลือรากฐานเจดีย์ไว้ดูต่างหน้าครับ
วัดเจดีย์งาม มีลักษณะเจดีย์ใกล้เคียงกับพระมหาธาตุนครศรีธรรมราช จะเห็นได้ว่าอิทธิผลของนครศรีธรรมราชเริ่มเข้ามาแทนที่ศรีวิชัยเดิมแล้วครับ เจดีย์นี้ก่อด้วยอิฐปะการังทั้งองค์เลยนะ แต่มองไม่เห็นหรอกครับ ฉาบปูนทับไปแล้ว
อันที่จริงเมืองสทิงพระมีพัฒนาการไปเป็นเมืองพัทลุงซึ่งอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบสงขลา ไม่ได้มีความเกี่ยวโยงอะไรกับพัฒนาการของเมืองสงขลาปัจจุบันเลยนะครับ แต่ที่คนมักเอาเรื่องของสทิงพระมาอยู่ในประวัติศาสตร์สงขลาก็เพราะปัจจุบันมันอยู่ในพื้นที่จังหวัดสงขลาเท่านั้นเอง
เมืองสงขลาที่แท้จริงกำเนิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 โดยสร้างเป็นชุมชนทางการค้าขายกับอยุธยา นับว่าสงขลามีประวัติศาสตร์เป็นเมืองรุ่นน้องพัทลุงถึง 1,000 ปีเลยทีเดียว เมืองสงขลาแรกนี้ตั้งอยู่บริเวณเขาหัวแดง ปกครองโดยสุลต่านจากชวาที่หนีโจรสลัดมาพึ่งใบบุญของอยุธยาในสมัยพระเอกาทศรถ แต่ความสัมพันธ์กับอยุธยาก็ย่ำแย่ลงหลังจากพระเจ้าปราสาททองโค่นล้มราชวงศ์สุโขทัยและปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ผนวกกับสงขลาต้องการตัดอยุธยาออกจากเส้นทางผลประโยชน์ (หากตั้งตัวเป็นอิสระ คู่ค้าไม่ต้องเสียภาษีที่ต้องส่งให้อยุธยา) ในปี พ.ศ. 2185 สุลต่านสุไลมานจึงได้นำชาวสงขลาก่อกบฏกับกรุงศรีอยุธยา ตั้งตนเป็นพระเจ้าสงขลาที่ 1 และสามารถแยกตัวเป็นอิสระจากอยุธยาได้พักใหญ่ ได้มีการก่อกำแพงเมืองสร้างป้อมปราการที่เข้มแข็งรอบด้าน หัวเมืองทางใต้ล้วนหันมาขึ้นกับสงขลา ด้วยความได้เปรียบทางชัยภูมิทำให้ทัพเรืออยุธยาก็ตีสงขลาไม่เข้า จนกระทั่งยุคสมเด็จพระนารายณ์ได้เข้าควบคุมหัวเมืองทางใต้อย่างนครศรีธรรมราชไว้ได้ จากนั้นก็ปฏิบัติการตัดท่อน้ำเลี้ยงเพื่อโดดเดี่ยวเมืองสงขลา จนกระทั่งเมืองสงขลาหัวเขาแดงถูกตีแตกในปี พ.ศ. 2223 ต้องกลับมาขึ้นต่ออยุธยาในที่สุด
โบราณสถานบริเวณหัวเขาแดงเป็นสิ่งก่อสร้างของมุสลิม ลักษณะจะแตกต่างจากโบราณสถานยุคกรุงศรีอยุธยาอื่นๆนะครับ ลงจากสะพานติณสูลานนท์มาไม่ไกลจะพบโบราณสถานป้อมหมายเลข 9 อยู่ริมถนนฝั่งขวามือ มีช่องวางปืนใหญ่ ลักษณะป้อมแบบตะวันตก
ในเมืองสงขลาหัวเขาแดงนี้มีป้อม 17 แห่ง แต่หาเจอแค่อันเดียวเนี่ยละครับ ผมเจอเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว อ.สิงหนคร เขาเล่าว่าปีนี้จะมีงบลงมาปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว 15 ล้านบาท น่าจะมีป้ายมีแผนที่ให้นักท่องเที่ยวตามหาโบราณสถานได้สะดวกขึ้น อันนี้ขอเชียร์เลยครับ อำเภอนี้เป็นศูนย์รวมประวัติศาสตร์ที่สำคัญไว้มากมายทั้งหัวเขาแดงและแหลมสน ดูดนักท่องเที่ยวมาเยอะๆ เลยครับ!
แนวกำแพงเมืองสงขลาหัวเขาแดงที่ยังหลงเหลืออยู่
เพื่ออรรถรสในการรับชมขอโชว์แผนที่บริเวณปากน้ำทะเลสาบสงขลาที่กระจุกตัวของเมืองโบราณหลายยุคสมัยครับ ด้านบนเป็นอ่าวไทย เชื่อมต่อกับทะเลสาบสงขลาที่อยู่ด้านล่าง ทางซ้ายคือ อ.สิงหนคร ที่ตั้งเมืองสงขลาหัวเขาแดง และเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน ทางขวาคือ อ.เมืองสงขลาปัจจุบัน
ใกล้ๆป้อมโบราณหมายเลข 9 มีทางขึ้นวัดเขาน้อย แต่ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างในยุคมุสลิมนะครับ วัดแห่งนี้เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยศรีวิชัยยุคพุทธศตวรรษที่ 13-14 และบูรณะในสมัยอยุธยา
หลังจากสงขลากลับมาเป็นของอยุธยาแล้ว พระนารายณ์ก็สร้างเมืองสงขลาขึ้นใหม่ปลายคาบสมุทร เรียกว่าเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน และสงขลาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนในยุคหัวเขาแดงอีกแล้ว ต้องไปขึ้นกับพัทลุงบ้าง นครศรีธรรมราชบ้าง สงขลาในยุคอยุธยาตอนปลายเริ่มมีคนจีนเข้ามาค้าขายมาก และจีนก็มีอิทธิพลเหนือมุสลิมในพื้นที่นี้ไป
โบราณสถานสำคัญในเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน
หลังสงขลาหัวเขาแดงถูกตีแตก มุสลิมได้อพยพมาที่นี่และกลายเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของสงขลาฝั่งแหลมสนสืบมา
เนื่องจากฝั่งแหลมสนติดทะเลมีพื้นที่คับแคบ (ด้านหน้าก็ติดทะเล ด้านหลังก็ติดภูเขา นี่มันที่ตั้งฮวงซุ้ยชัดๆ!!) แถมยังมีปัญหาขาดแคลนน้ำจืด ในขณะที่เมืองสงขลามีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น ร.3 จึงย้ายเมืองสงขลามาฝั่งบ่อยางซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองสงขลาในปัจจุบัน ด้วยความที่ออกแบบเมืองมาอย่างดี (ไม่เหมือนฝั่งแหลมสนที่สร้างเมืองแบบไร้แบบแผน แค่หาที่อยู่กันตายเพราะเมืองหัวเขาแดงโดนตีแหลกไปหมดแล้ว) ทำให้สงขลาฝั่งบ่อยางขยายตัวกลายเป็นเมืองท่าที่มั่งคั่ง และกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคใต้ในเวลาต่อมา
วัดสำคัญของเมืองสงขลาฝั่งบ่อยางคือวัดมัชฌิมาวาสหรือวัดกลาง สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่บูรณะครั้งใหญ่ช่วงที่สร้างเมืองฝั่งบ่อยางนี่ละครับ ในวัดมีพิพิธภัณฑ์ภัทรศีลสังวรที่รวบรวมโบราณวัตถุทั้งของวัดนี้และโบราณวัตถุอื่นๆที่พบใน อ.เมือง อ.สทิงพระ และ อ.ระโนดด้วย ได้รับการยกระดับเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มัชณิมาวาส มีโบราณวัตถุกว่า 5,000 ชิ้น แต่เปิดตอนบ่ายแน่ะครับ ถ้าอยากเข้าชมให้รอบ่ายแล้วสั่นกระดิ่งและนั่งรอคนมาเปิด ขี้เกียจรอง่ะ ผมมาวัดนี้ตอนแปดโมง โบสถ์ก็ยังไม่เปิด เลยไม่ได้ดูสักอย่าง
อันนี้ป้อมปากน้ำแหลมทราย อยู่ระหว่างทางไปแหลมสมิหลา สร้างในสมัย ร.4
มาดูอันนี้ดีกว่า เจ๋งแท้แน่นอน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา ผมยกให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดของภาคใต้ทัดเทียมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราชเลยครับ ที่นี่เป็นคฤหาสน์เก่าของพระยาสุนทรานุรักษ์ ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลา และถูกใช้เป็นทั้งศาลาว่าการและศาลากลางมาแล้ว ก่อนถูกปล่อยร้างอยู่ 20 ปี จน พ.ศ. 2516 กรมศิลปากรจึงเข้ามาบูรณะและสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์
พิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงโบราณวัตถุแบ่งเป็นห้องต่างๆตามยุคสมัย ตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ทวารวดีและศรีวิชัย และพัฒนาการของเมืองสงขลาตั้งแต่ยุคหัวเขาแดง แหลมสน และบ่อยาง มีการจำลองสภาพบ้านเรือนสมัยก่อน เครื่องเรือนจีน มุสลิม ของใช้ของเจ้าเมืองรุ่นก่อน รวมทั้งโบราณวัตถุที่พบในยะรังก็จัดแสดงไว้ที่นี่ด้วย
อะ ลองมานับกันครับว่าบล็อกนี้พาเที่ยวสงขลาครบห้ายุคตามที่โม้ไว้หัวบล็อกมั้ย... - สทิงพระ (อันที่จริงเป็นพัทลุง แต่ปัจจุบันมันอยู่ในพื้นที่สงขลา นับได้ๆ)
- สงขลาฝั่งหัวเขาแดง
- สงขลาฝั่งแหลมสน
- สงขลาฝั่งบ่อยาง
- สงขลาปัจจุบัน
เย้~~~
ปัจจุบันสงขลาเป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจโตที่สุดในภาคใต้ ด้วยบารมีของป๋าเปรม แต่เมืองที่ใหญ่โตที่สุดแซงหน้าอำเภอเมืองสงขลาก็คือหาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในสมัย ร.4 จากการเชื่อมเส้นทางการค้าระหว่างสงขลากับไทรบุรี และเมืองก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของภาคใต้ตอนล่าง รวมทั้งเมืองในแหลมมลายูอื่นๆด้วย เดี๋ยวบล็อกทริปวันพ่องวดหน้าจะพาไปชมกันครับ รวมทั้งพาเที่ยวสงขลาส่วนที่ไม่เกี่ยวกับเมืองโบราณด้วย
Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2558 |
|
69 comments |
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2558 21:39:26 น. |
Counter : 7516 Pageviews. |
|
|
|
- โอ้โห...บล๊อกวันนี้มีโบราณสถานศักดิ์สิทธิ์มาเพี๊ยบ
พร้อมเรื่องราวหลักฐานทางประวัติศาสตร์จัดเต็ม
เป็นแหล่งค้นคว้าหาข้อมูลได้ดีเลยคร้าคุณชีริว
แปะโป้งไว้ก่อน๊า... วันนี้หมดตัว มีแต่หัวใจอันสุดท้ายพอดี๊ 55