อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
อุทยานประวัติศาสตร์ คือบริเวณที่มีหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์สมัยใดสมัยหนึ่งของประเทศ หลักฐานและความสำคัญดังกล่าวอาจเป็นทางวัฒนธรรม การเมือง และสังคมวิทยาก็ได้ (จากสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ)
อุทยานประวัติศาสตร์นับเป็นขั้นสุดของแหล่งท่องเที่ยวที่คนรักประวัติศาสตร์หลงใหล ถึงประเทศไทยจะมีโบราณสถานมากมายนับไม่ถ้วน แต่สถานที่ๆคงสภาพโบราณสถานให้ผสมกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม และชุมชนผู้คนบริเวณนั้นจนถูกเรียกว่าอุทยานประวัติศาสตร์ มีอยู่ทั้งหมดเพียง 10 แห่ง ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา, สุโขทัย, ศรีสัชนาลัย, กำแพงเพชร, พิมาย, พนมรุ้ง, เมืองสิงห์, พระนครคีรี, ศรีเทพ และภูพระบาท
ผมไป 9 ที่แรกมาครบแล้ว และที่ๆตั้งใจจะไปเป็นลำดับสุดท้ายด้วยความที่อยู่ไกลแสนไกล แถมแทบไม่มีที่เที่ยวอื่นรายล้อม ก็คือภูพระบาท อุทยานประวัติศาสตร์แห่งเดียวในภาคอีสานตอนบน
ดินแดนอีสาน เป็นพื้นที่ๆมีหลายอาณาจักรเข้ามาครอบครอง ตั้งแต่ยุคทวาราวดี - ขอม - ล้านช้าง จนกระทั่งเป็นส่วนหนึ่งของสยามประเทศในที่สุด เราจึงได้เห็นศิลปะแบบต่างๆที่มีอิทธิพลของวัฒนธรรมเหล่านี้เต็มพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งภูพระบาทเองก็ถูกใช้งานผ่านยุคสมัยเหล่านี้มาแล้วทั้งหมด
ภูพระบาท เป็นการดัดแปลงภูเขาหินตามธรรมชาติให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนโบราณใชู้บูชาผีสาง จนกระทั่งรับศาสนาพุทธเข้ามาในช่วงทวาราวดีก็มีการตั้งใบเสมารอบเพิงหินที่ดัดแปลงให้เป็นศาสนสถาน มีการแกะสลักพระพุทธรูปศิลปะขอม-ลพบุรี ล่วงมาจนถึงสมัยล้านช้าง สถานที่ต่างๆในอุทยานจะตั้งชื่อตามนิทานเรื่อง นางอุสา-ท้าวบารส ซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้านของล้านช้างที่แต่งภายหลังจากศาสนสถานต่างๆถูกสร้างมานานแล้ว และไม่มีความเกี่ยวข้องทางประวัติศาสตร์กับสถานที่ต่างๆในภูพระบาทแต่อย่างใด ก็จะไม่ขอพูดถึงนะครับ
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทอยู่ในเขตอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ขับรถออกจากตัวเมืองประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ในอุทยานมีแหล่งโบราณสถาน ก้อนหินรูปร่างแปลก และภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์จำนวนมากกระจายอยู่ ถ้าอยากเดินเที่ยวให้ครบต้องมาอย่างน้อยสักสองครั้งนะครับ ผมมาที่นี่กับที่บ้านสองครั้ง เดือน ก.ค. หนนึง ช่วงปีใหม่อีกหนนึง ...ก็ยังเที่ยวไม่ครบอยู่ดี (แป่ว) ถึงจะเป็นช่วงปีใหม่แต่คนก็ไม่เยอะ แถมเจ้าหน้าที่อุทยานยังมีจิตอาสาบริการดีมาก แม้แต่คนสวนที่นั่งพักกินข้าวเช้าอยู่ก็ชวนแขกเข้าไปนั่งกินไก่ย่างด้วยกัน
แผนที่ภูพระบาทหน้าศูนย์บริการข้อมูลนี้ถ่ายรูปเก็บไว้เลยครับ เวลาเดินหาโบราณสถานต่างๆก็เปิดรูปดูเอา อันที่จริงเขามีแผนที่แจก แต่จะมีรายละเอียดเฉพาะในเขตอุทยาน ถ้าลงใต้ไปแถวๆพระพุทธบาทบัวบกแล้วอยากลงไปต่อจะไม่มีแผนที่ให้ดูแล้วนะ
ภาพแผนที่อุทยานแบบชัดๆ ตามไปที่นี่ครับ //www.m-culture.in.th/moc_new/exhibitions/main/phuprabath/map/map.html (ศูนย์ข้อมูลฯ จุดเริ่มต้นเดินทางคือหมายเลข 25)
ภายในศูนย์ข้อมูล นอกจากแบบจำลองโบราณสถานต่างๆในอุทยาน และภาพถ่ายการขุดค้นแล้ว ยังมีโบราณวัตถุที่พบในบริเวณนี้จัดแสดงอยู่จำนวนมาก
สถานที่ตั้งของอุทยานเป็นเชิงเขาภูพาน ไม่ชันมากนัก ถ้ามาเที่ยวหน้าร้อน-หน้าฝน จะเห็นลำธารไหลผ่านภูเขาหินสวยงาม ถ้ามาเที่ยวหน้าหนาวอากาศดี เดินไม่เหนื่อย และลำธารแห้งขอด สามารถเข้าถึงแหล่งโบราณสถานต่างๆได้ง่าย เส้นทางต่างๆถูกทำให้นักท่องเที่ยวเดินเท้าได้สะดวก แต่ก็อนุรักษ์สภาพแวดล้อมไว้เป็นอย่างดี มีป้ายบอกทางตลอดไม่ต้องกลัวหลงครับ
เราเลือกเดินทางฝั่งตะวันออกของอุทยานก่อน เพราะสถานที่สำคัญๆจะกระจุกอยู่ซีกนี้ เดินอ้อมเส้นล่างอุทยานมา 600 เมตร เราก็มาถึง วัดลูกเขย นับเป็นโบราณสถานแรกที่พบในการเที่ยวภูพระบาทครับ มีการสกัดหินทรายเป็นก้อนสี่เหลี่ยมก่อเป็นผนังยึดกับเพิงหินธรรมชาติไว้ (แต่ที่เห็นนี่โดนบูรณะไปเรียบร้อยโรงเรียนกรมศิลป์แล้วครับ)
ในวัดมีแท่นสลักจากหินและพระพุทธรูปอยู่ ผนังด้านหลังเคยมีภาพเขียนซุ้มปราสาทและพระพุทธรูปปางประทานอภัย แต่ลบเลือนไปมากแล้ว
เดินขึ้นมาทางเหนือจะมาถึงลานหินกว้างใหญ่ที่มีโบราณสถานจำนวนมากรายล้อม ที่นี่เรียกว่าลานหินหน้าวัดพ่อตา มีรอยหลุมเจาะหินสำหรับปักใบเสมา และหลุมขนาดเล็กสำหรับปักเสาจุดประทีปป้องกันสัตว์ร้ายหรือผู้ล่วงล้ำขณะทำพิธีกรรม
วัดพ่อตา มีการสกัดหินก้อนล่างเป็นห้องสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป
ใกล้ๆกันเรียกว่าโบสถ์วัดพ่อตา ที่ทำการสกัดหินก้อนล่างเข้าไปเช่นเดียวกัน มีพระพุทธรูปที่ชาวบ้านนำมาวางไว้ 3 องค์ ก่อนที่กรมศิลป์จะเข้ามาบูรณะครับ
ถ้ำช้าง ตามป้ายบรรยายว่ามีภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ และภาพเขียนสมัยล้านนาเป็นรูปช้าง แต่ผมหาไม่เจอทั้งคู่
ถ้ำพระ มีภาพแกะสลักพระพุทธรูปนั่งในซุ้ม 2 ซุ้ม เป็นศิลปะขอมแบบบายน อายุราว พ.ศ. 1750-1800 องค์ขวาถูกยกเค้าไปแล้ว ส่วนองค์ซ้ายพังทลายเหลือครึ่งองค์ กรมศิลป์เพิ่งบูรณะเติมขึ้นมาใหม่ ด้านบนมีพระพุทธรูปยืนเป็นแถวเรียงราย ด้านในมีพระพุทธรูปยืน
แถวนี้มีหินที่ถูกสกัดให้มีพื้นที่ด้านล่างสำหรับบำเพ็ญเพียร 3 ก้อน เรียกชื่อตามนิทานว่าหีบศพพ่อตา หีบศพนางอุสา และหีบศพท้าวบารส
หีบศพพ่อตา
หีบศพท้าวบารส
หีบศพนางอุสา
แต่นแต๊น~ และนี่คือโบราณสถานที่โด่งดังที่สุดของภูพระบาท หอนางอุสาครับ มีการก่อผนังรอบเพิงระหว่างหินก้อนบนและล่างเป็นห้อง ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทราย 2 องค์ (ปัจจุบันถูกยกเค้าไปแล้วเช่นเคย เฮๆ~) ไม่รู้สมัยนั้นเขาปีนขึ้นไปบูชาหรือแบบไหนนะครับ รอบหอมีเสมาปักอยู่โดยรอบ นับเป็นมาสเตอร์พีซสมัยโบราณที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของภูพระบาทไปแล้ว
บ่อน้ำนางอุสา อยู่ใกล้ๆหอนางอุสาเลย เป็นบ่อที่ขุดลงไปในหินลึก 5 เมตร กว้าง-ยาว 2 เมตร x 2 เมตร เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ดื่มกิน หรือใช้ประกอบพิธีกรรม
กู่นางอุสา มีใบเสมาขนาดใหญ่ปักรอบกองหินซ้อนกันสองก้อน
เพิงหินนกกระทา อันนี้ไม่เกี่ยวกับนิทานนางอุสา ชื่อนี้ได้มาเพราะรูปร่างคล้ายนกระทา มีร่องรอยว่าเคยมีพระพุทธรูปบนหินก้อนบนครับ มีใบเสมาปัก แสดงว่าสมัยก่อนเคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม
ส่วนเจดีย์ร้างอูปโมงค์ที่อยู่ทางตะวันออกไปอีกไม่ได้ไปนะครับ ไกลมากๆ วันนี้เรามีเป้าหมายสุดท้ายคือการเดินให้ถึงพระบาทหลังเต่าที่อยู่ตอนใต้สุดของอุทยาน เลยต้องเก็บแรงไว้ก่อน ทีนี้มาดูฝั่งตะวันตกของอุทยานกันบ้าง
คอกม้าน้อย อายุราวพุทธศตวรรษที่ 14-16 สมัยทวาราวดี มีการสกัดด้านล่างให้เรียบ มีใบเสมาปักรอบ ที่น่าทึ่งคือหินก้อนบนที่วางอยู่ได้แบบหมิ่นสุดๆ
คอกม้าท้าวบารส อายุราวๆเดียวกับคอกม้าน้อย
ถ้ำฤาษี หรืออาศรมฤาษีจันทรา เป็นเพิงหินรูปร่างคล้ายดอกเห็ด (ใครมาภูพระบาทรับรองเบื่อเสาเฉลียงไปเลยครับ)
ถ้ำปู่เจ
ถ้ำวัว-ถ้ำคน อยู่ติดกัน มีภาพเขียนสีอายุ 2-3 พันปี นับเป็นแหล่งภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของไทย เพราะภาพออกมาสวยงามมีมิติกว่าเส้นขีดๆแบบมนุษย์หินมือบอนที่พบในถ้ำอื่นๆ
อันนี้้เขียนรูปวัวเลยเรียกถ้ำวัว
ส่วนอันนี้ถ้ำคน เขียนรูปคน
หน้าหนาวดีตรงที่เดินวนขนาดนี้ยังไม่รู้สึกเหนื่อยสักนิดครับ ถึงเขาจะทำเก้าอี้หินไว้สวยงามน่านั่งก็เถอะ
ไม่รอช้า เราไปต่อกันที่พระพุทธบาทบัวบก เพื่อเดินเท้าลงไปที่พระบาทหลังเต่าครับ ก่อนอื่นก็ขับรถออกจากเขตอุทยาน แล้วดิ่งขึ้นไปทางเหนือ จะพบเจดีย์พระพุทธบาทบัวบกที่แสนจะไม่งดงาม เพิ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2473 เพื่อครอบรอยพระพุทธบาทไว้ ข้างในเจดีย์มีพระบาทจำลองที่ทำครอบพระบาทจริงไว้อีกที ตั้งใจทำให้คล้ายพระธาตุพนมครับ ที่เรียกพระพุทธบาทบัวบก เพราะแถวนี้มีบัวบกขึ้นเยอะ บริเวณวัดยังมีหินรูปร่างประหลาดให้คนแต่งเป็นตำนานตั้งเป็นชื่อหินต่างๆมากมาย เช่น ถ้ำพญานาค, หินเจ้าแม่กาลีย์, หินเจ้าพ่อพญาธร, ฯลฯ
วัดนี้มีชื่อเสียงในฐานะแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่สุดของจังหวัดอุดรธานี ก่อนจะค้นพบบ้านเชียง
ด้านตะวันตกของวัดพระพุทธบาทบัวบกมีเส้นทางเดินลงไปชมแหล่งภาพเขียนสีมากมายหลายจุด ถึงจะน่าสนใจแต่เห็นป้ายบอกระยะทางแล้วพาลท้อแท้ เพราะเดินจากศูนย์ข้อมูลถึงวัดลูกเขยแค่ 600 เมตรก็รู้สึกว่าไกลแสนไกลแล้ว ถ้าต้องเดินเป็นกิโลคงถึงกับล้มลงสิ้นใจตาย...
แต่หนนี้ทีมเราเตรียมใจมาดีแล้วครับ ว่าแล้วก็มุ่งหน้าออกเดินเท้า โดยมีจุดหมายสุดท้ายคือรอยพระบาทหลังเต่า! อันที่จริงระยะทางไป-กลับ 5 กม. มันก็จิ๊บๆสำหรับเพื่อนบล็อกที่เดินเขาเป็นว่าเล่นอยู่แล้วนี่เนอะ
เส้นทางเดินจากพระพุทธบาทบัวบกไปยังพระบาทหลังเต่ามีวิวมีหินแปลกหินสวยให้ชมตลอดทาง จุดแรกที่พบคือแหล่งภาพเขียนสีโนนสาวเอ้ที่มีภาพเขียนยุคก่อนประวัติศาสตร์จำนวนมากเต็มเพิงผา อายุราว 2,000 - 2,500 ปี นับเป็นจุดที่มีภาพเขียนชัดเจนจำนวนมากที่สุดของภูพระบาทแล้วครับ
เอ้า เดินต่อไป~ นอกจากป้ายบอกทางไปสถานที่สำคัญจำนวนมากแล้ว ตามเส้นทางเขายังโรยหินนำทางไว้ไม่ให้เตลิดออกนอกเส้นทางด้วยนะ
ตรงจุดนี้เรียกว่าภาพเขียนสีกลุ่มเพิงหินด่านใหญ่ แต่มันกระจัดกระจายอยู่ตามหินหลายก้อน ผมหาภาพเขียนไม่เจอสักอัน
ภาพเขียนสีกลุ่มห้วยหินร่อง มีภาพเขียนลายเส้น อายุราว 2,000 - 2,500 ปี
ตั้งแต่เดินมายังไม่เจอนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นแม้แต่คนเดียว คงไม่ค่อยมีคนลงมานะครับ โชคดีที่หน้าหนาวแดดไม่แรง อากาศไม่ร้อน เลยเดินง่าย เห็นป้ายบอกระยะทางถึงจุดหมายสั้นลงเรื่อยๆ แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้ว่าต้องเดินกลับด้วยระยะทางเท่ากัน
และแล้วเราก็มาถึงรอยพระบาทหลังเต่า เป็นรอยสลักลงบนแผ่นหินเป็นรูปพระพุทธบาท อายุราว พ.ศ. 1500 (ยุคทวาราวดี) ส่วนกลีบบัวกลางฝ่าเท้าแกะขึ้นในสมัยล้านช้าง สาเหตุที่ชื่อพระบาทหลังเต่า เพราะบริเวณนี้มีหินทรายรูปร่างคล้ายกระดองเต่าอยู่ เคยมีการโบกปูนทำขอบรอบพระบาทให้สูงขึ้น และสร้างอาคารคลุม แต่รื้อไปหมดแล้วเพื่อคงสภาพให้เหมือนเดิมที่รอยพระบาทถูกทิ้งไว้กลางภูเขาหิน
พอบรรลุเป้าหมายแล้วเราก็ย้อนกลับมาทางเดิม แวะผาสวรรค์ชมวิวพักเหนื่อยแป๊บนุงก่อน
จากนั้นกลับมาที่รถ ขับต่อไปยังวัดพระพุทธบาทบัวบาน ทางตอนใต้ของภูพระบาท วัดนี้อยู่ห่างจากตัวอำเภอราว 12 กิโลเมตร ปลายทางยังเป็นถนนลูกรังอยู่เลยครับ
สิ่งก่อสร้างสำคัญของวัดนี้คือโบสถ์ที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท มีใบเสมาปักอยู่รอบ เป็นศิลปะสมัยทวาราวดีผสมกับลพบุรี
พอเที่ยวเก็บ achievement จนหนำใจแล้วเราก็ดิ่งตีรถกลับกรุงเทพฯครับ
แม้ภูพระบาทจะเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ที่คนยังรู้จักน้อยกว่าอุทยานประวัติศาสตร์อีก 9 แห่งที่เหลือ แต่ขอให้ลองไปกันสักครั้งเถอะครับ ความน่าทึ่งของภูพระบาทคือความกลมกลืนของแหล่งโบราณสถานกับธรรมชาติ ร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่สมัยหิน อารยธรรมมาถึงดินแดนแห่งนี้ตั้งแต่สมัยทวาราวดีซึ่งนับว่าเก่าแก่กว่าอุทยานประวัติศาสตร์อื่นๆ และความยาวนานของการใช้งานสถานที่แห่งนี้ที่มีผู้คนมาปักหลักอยู่ตั้งแต่ยุคหินจนถึงสมัยล้านช้าง นับว่ายาวนานยิ่งกว่าอุทยานประวัติศาสตร์ใดๆทั้งหมด
Create Date : 22 มกราคม 2557 |
|
48 comments |
Last Update : 22 มกราคม 2557 23:01:40 น. |
Counter : 8748 Pageviews. |
|
|
|
คุณชีริว แปลงร่างเป็น Tourist guide ไปซะแล้ว
ดีจุงเบย
ได้มาเที่ยวภูพระบาท
ไม่เคยไปเลยค่ะ
เห็นแล้วชอบๆๆๆ กด 1 like นำทางมาให้ก่อน
I'll come again.
Good night นะคะ
เจิมบล็อคบ้านนี้แล้วจะไปนอนแล้วค่ะ