|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ย้อนอดีตเยือนเมืองแห่งแรกของชนชาติไทย โยนกนาคพันธุ์-หิรัญนครเงินยาง
บล็อกประวัติศาสตร์บล็อกแรกของปีนี้ขอเปิดฉากด้วยประวัติศาสตร์ยุครุ่งอรุณแห่งชนชาติไทยครับ ตามที่เรารู้กันแล้วว่าในสุวรณภูมิแห่งนี้มีเมืองและอาณาจักรโบราณเกิดขึ้นและแตกดับไปมากมาย ก่อนจะกลายเป็นประเทศไทยดังทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นสุโขทัย อยุธยา ทวาราวดี ละโว้ สุพรรณภูมิ ศรีวิชัย ล้านนา หริภุณชัย พิมาย นครศรีธรรมราช ฯลฯ แต่เราถือว่าพระนครศรีอยุธยาคือแกนหลักของสยามรัฐที่ประเทศไทยทุกวันนี้ได้สานต่อมรดกทางวัฒนธรรมของอาณาจักรอยุธยาที่ยิ่งใหญ่มา
ก่อนหน้านั้นรัฐไทยได้เกิดขึ้นกระจัดกระจายในพื้นที่นี้ แต่ยังมีบทบาทไม่เท่าอาณาจักรที่ชนชาติอื่นๆเป็นใหญ่ ดังเช่นทวาราวดีหรือหริภุญชัยที่เป็นของชนชาติมอญ และโจฬะเป็นของพวกทมิฬ คำว่า "ชนชาติไท" นั้นหมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีเชื้อสายคนไทหรือใช้ภาษาไทย แบ่งเป็นกลุ่มย่อยหลายกลุ่มทั้ง ชาวสยาม (ไทยภาคกลาง), ไทยวน (ภาคเหนือ), ไทโคราช (อีสาน), ไทใต้ (ภาคใต้), ไทลื้อ, ไทโยเดีย (อยุธยาที่ถูกกวาดต้อนไปพม่า), ฯลฯ
แล้วเมืองของชนชาติไทยแห่งแรกในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันเริ่มต้นขึ้นที่ไหนล่ะ?
ตามที่เราเรียนกันมาว่าชนชาติไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตนั้นเป็นบทเรียนฉบับสร้างชาติที่เอาประวัติศาสตร์ฉบับหลวงวิจิตรวาทการมาเขียน ซึ่งประวัติศาสตร์ฉบับที่ว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่เน้นความภาคภูมิใจในความเป็นมาของประวัติศาสตร์ไทยและความรู้สึกร่วมของการเป็นคนไทยมากกว่า
นักประวัติศาสตร์หลายท่านเชื่อว่าคนไทยอพยพมาจากตอนใต้ของประเทศจีน ในขณะที่อีกหลายท่านเชื่อว่าคนไทยกระจัดกระจายอยู่บนแผ่นดินสุวรรณภูมิแห่งนี้มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
ประวัติศาสตร์ภาคเหนือมีเรื่องราวของคนไทยที่ค่อนข้างเก่าแก่กว่าพื้นที่อื่นๆ แต่ส่วนมากเป็นตำนานคำบอกเล่ามากกว่าการบันทึกประวัติศาสตร์ จึงมักเต็มไปด้วยปาฏิหารย์และมีตัวละครอย่างนาคหรือฤาษีปรากฏอยู่บ่อยๆ นักประวัติศาสตร์เลยไม่ค่อยสนใจ แต่ในการศึกษาประวัติศาสตร์ยุคหลังเริ่มให้ความสำคัญกับตำนานพื้นบ้านเหล่านี้มากขึ้น เนื่องจากเป็นหลักฐานที่มีความเก่าแก่ และพบว่ามีเค้าโครงของเรื่องจริงสอดคล้องกับหลักฐานอื่นๆหลายอย่าง หากตัดปาฏิหารย์ต่างๆออกและคัดเลือกชำระแล้วจะสามารถใช้เติมจิ๊กซอว์ของประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่เกินพงศาวดารจะกล่าวถึงได้
ตำนานสิงหนวัติได้เล่าถึงเรื่องของเจ้าชายสิงหนวัติผู้นำกลุ่มคนไทยอพยพจากตอนใต้ของจีน มาตั้งรกรากที่ลุ่มน้ำโขง ตามคำบอกเล่าของนาค ชิงดินแดนของพวกกล๋อม (ขอมดำ) แล้วสร้างเมืองโยนกนาคพันธุ์ขึ้นเป็นเมืองแห่งแรกของคนไทยในดินแดนแห่งนี้ โยนกหรือเมืองยวน มีความหมายว่าเมืองของยวน นั่นเป็นเพราะกลุ่มคนไทยที่สร้างเมืองนี้ขึ้นเป็นคนไทยวน ซึ่งต่อมาได้เป็นชนกลุ่มใหญ่ของทั้งล้านนาและจังหวัดในภาคเหนือปัจจุบันนั่นเอง
แต่สุดท้ายเมืองโยนกได้ล่มเป็นหนองน้ำไป เชื้อพระวงศ์และประชาชนเสียชีวิตเกือบหมด คนนอกเมืองที่เหลือรอดได้ย้ายมาตั้งเมืองใหม่ทางตอนใต้ โดยมีขุนลังขึ้นเป็นผู้นำและเริ่มการปกครองแบบประชาธิปไตย การตัดสินใจใดๆจะต้องทำประชามติ จึงเรียกเมืองนี้ว่าเวียงปรึกษา หรือเวียงเบิกสา แต่อยู่ได้ 93 ปี เวียงปรึกษาก็ถูกพุกาม (พม่า) เทคโอเวอร์ไป
ประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานชัดเจนของภาคเหนือจะเริ่มต้นในยุคหิรัญนครเงินยางที่รุ่งเรืองในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-18 ผู้ปกครองเมืองเงินยางคนแรกคือลวจักราชหรือปู่เจ้าลาวจก ผู้นำของชาวลัวะ ที่ว่ากันว่าเป็นโอปปาติกะ (กำเนิดเองโดยไม่มีพ่อแม่) ลงจากสรวงสวรรค์มาที่บริเวณดอยตุง
การอ้างว่าเป็นโอปปาติกะนี้มีเหตุผลทางการเมืองครับ กล่าวคือในยุคของโยนกนั้นคนไทยเป็นใหญ่ เหนือชาวลัวะซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิม แต่ชนชาติอื่นๆสามารถรับสิทธิ์ความเป็นไทยได้หากตั้งใจยอมรับวัฒนธรรมไทย และผ่านกระบวนการ "ทำให้เป็นไทย" เช่นเดียวกับที่จอมพล ป. ทำกับคนภาคอื่นๆเพื่อหลอมรวมความเป็นไทย กลุ่มของลวจักราชนี้แม้จะมีชาติกำเนิดเป็นลัวะ แต่ก็ถูกทำให้กลายเป็นคนไทยในสมัยโยนกนี้เอง น่าเสียดายที่ผู้นำคนไทยจมน้ำตายไปหมดแล้วตอนที่เมืองโยนกล่มเป็นหนองน้ำไป ทำให้คนในพื้นที่ขาดผู้นำและผู้สืบเชื้อสาย ไม่อาจมีผู้นำที่มีบารมีทัดเทียมกันไปคานอำนาจกับผู้นำของเมืองอื่นๆในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างพุกามหรือหริภุญชัย ในเมื่อไม่มีผู้สืบเชื้อเจ้า จึงสร้างปู่เจ้าลาวจกเป็นคนที่ฟ้าส่งมาเพื่อเป็นเจ้าคนใหม่ของพื้นที่แถบนี้ แล้วเมืองเงินยางก็เติบโตเรื่อยมา จนกระทั่งถึงยุคของพญามังรายผู้สืบเชื้อสายของลวจักราชองค์ที่ 24 ได้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองเงินยางไปสร้างเมืองเชียงราย ก่อนควบรวมนครหริภุญชัย และเมืองอื่นๆ สร้างอาณาจักรล้านนาที่รวมรัฐไทยในภาคเหนือเป็นหนึ่งเดียวมายาวนาน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ ส่วนเมืองเงินยางนั้นพญาแสนภูหลานของพญาเม็งรายได้ทำการบูรณะสร้างเป็นเมืองเชียงแสน (คนรุ่นหลังจึงเรียกรวมกันเป็นเมืองเงินยางเชียงแสน) ซึ่งเรื่องของเชียงราย เชียงแสน และเชียงใหม่นั้นผมจะขอกล่าวถึงในบล็อกต่อๆไปนะครับ
บล็อกนี้จะเล่าถึงเมืองที่เก่าแก่กว่านั้นอย่างหิรัญนครเงินยาง และเมืองในตำนานอย่างโยนกนาคพันธุ์และเวียงปรึกษา ก่อนอื่นเรามาดูแผนที่ตำแหน่งที่ตั้งคร่าวๆของเมืองทั้งสามก่อนครับ ยังไม่สามารถระบุขอบเขตเมืองที่ชัดเจนได้และมีการสร้างเมืองทับเมืองในพื้นที่นี้กันมาก (เช่นเมืองเชียงแสนสร้างทับเมืองเงินยาง) ทำให้ยากแก่การศึกษาว่าโบราณสถานต่างๆเกิดขึ้นมาในยุคใดกันแน่ ตำนานของวัดมักกำหนดให้วัดต่างๆมีอายุเก่าแก่เกินความเป็นจริง เช่นอ้างว่าพระธาตุดอยเวาสร้างขึ้นในยุคโยนกตั้งแต่ พ.ศ. 296 ทั้งที่จากหลักฐานชั้นดินชี้ว่าคนในพื้นที่นี้เพิ่งพ้นความเป็นยุคหินมาเมื่อพันกว่าปีที่แล้วเท่านั้นเอง
นครโยนกนั้นไม่มีอะไรหลงเหลือ เพราะล่มสลายกลายเป็นหนองน้ำหมด จะเหลือก็เพียงสิ่งก่อสร้างนอกเมืองที่ถูกอ้างว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยโยนก ทำให้โยนกนาคพันธุ์เป็นเมืองในตำนานของไทยที่ลึกลับน่าค้นหามากที่สุดแห่งหนึ่ง
ส่วนตัวแล้วผมเชื่อตามหลักฐานทางโบราณคดีว่าโยนกนาคพันธุ์ดำรงอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-16 ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นปี พ.ศ. ที่สร้างพระธาตุต่างๆหรือที่บอกว่าโยนกล่มสลายใน พ.ศ. 1088 ขอให้ลืมซะให้หมด และในบล็อกนี้จะไม่พูดถึงด้วยครับ ไทม์ไลน์ของโยนกนาคพันธุ์ขอใช้ตามนี้
- กษัตริย์องค์ที่ 1 พระเจ้าสิงหนวัติ ครองราชย์ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 สร้างเมืองโยนกนาคพันธุ์ขึ้น - กษัตริย์องค์ที่ 3 พระเจ้าอชุตราช สร้างพระธาตุดอยตุง - กษัตริย์องค์ที่ 8 พระองค์เกิง บรรจุพระบรมธาตุเพิ่มเติมในพระธาตุดอยตุง - กษัตริย์องค์ที่ 10 พระองค์เวา สร้างพระธาตุดอยเวา - กษัตริย์องค์ที่ 15 พระองค์งาม สร้างเจดีย์จอมผาเล็งโลก - กษัตริย์องค์ที่ 21 พระองค์พิง สร้างพระธาตุผาเงา - กษัตริย์องค์ที่ 43 พระเจ้าพังคราช โยนกตกอยู่ใต้การปกครองของขอม แต่พระเจ้าพรหมบุตรชายกู้เอกราชได้สำเร็จ เปลี่ยนชื่อเมืองโยนกเป็นโยนกไชยบุรี สร้างเมืองไชยปราการ สร้างพระธาตุจอมกิตติ - กษัตริย์องค์ที่ 46 พระมหาชัยชนะ เมืองโยนกล่มเป็นหนองน้ำ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16
ส่วนองค์อื่นๆที่มีชื่อเสียงมากแต่ไม่ได้ครองเมืองโยนกไชยบุรีได้แก่พระเจ้าพรหม ราชบุตรของพระเจ้าพังคราช ซึ่งตีเมืองโยนกนาคพันธุ์คืนจากขอมได้สำเร็จ ให้บิดาปกครองเมืองต่อโดยเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นไชยบุรี (หรือชื่อเต็มคืออาณาจักรโยนกไชยบุรีศรีช้างแสน) และตนเองไปสร้างเมืองไชยปราการและไชยนารายณ์ขึ้น คนยุคหลังยกให้พระเจ้าพรหมเป็นมหาราชองค์แรกของไทย ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าตำแหน่งมหาราชของกษัตริย์ต่างๆนี้ใครเป็นคนตั้งและยอมรับได้มากแค่ไหน หลังยุคพระเจ้าพรหม พระเจ้าชัยศิริโอรส ขึ้นครองเมืองไชยปราการต่อ พวกขอมได้บุกโจมตีทำให้พระเจ้าชัยศิริต้องหนีข้าศึกลงมาทางตอนใต้และสร้างนครไตรตรึงษ์ขึ้น ประวัติศาสตร์ส่วนนี้เข้าใจว่าเพื่อเพิ่มความสำคัญให้เมืองโบราณทางตอนบน ว่าเป็นต้นกำเนิดของเมืองโบราณของไทยอื่นๆในพื้นที่ภาคกลางต่อมา ในความเป็นจริงเมืองและเจ้าเมืองต่างๆของภาคกลางอาจไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับราชวงศ์สิงหนวัติเลยด้วยซ้ำ
ในยุคของพระมหาชัยชนะ ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของเมืองโยนกนั้น ตำนานเล่าว่าชาวบ้านจับปลาไหลเผือกได้ จึงนำมาแล่แบ่งกันกิน ยกเว้นแม่ม่ายคนหนึ่งซึ่งไม่ได้กิน ตกกลางคืนมีเทพบุตรลงมาเตือนแม่ม่ายว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คืนนี้ห้ามออกจากบ้าน แล้วคืนนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงจนนครโยนกนาคพันธุ์ล่มเป็นหนองน้ำ เหลือเพียงบ้านของแม่ม่ายอยู่กลางหนองน้ำขนาดใหญ่เรียกว่า "ดอนแม่ม่าย" คนส่วนใหญ่ในเมืองรวมทั้งเชื้อพระวงศ์เสียชีวิตทั้งหมด เป็นอันสิ้นสุดนครโยนกลงในคืนเดียว
จากการศึกษาภูมิศาสตร์ปัจจุบันพบว่าเรื่องแผ่นดินไหวจนเมืองล่มสลายนั้นมีมูลครับ เพราะตำแหน่งของเมืองโยนกนั้นอยู่ในแนวแผ่นดินไหวพอดี และบริเวณที่เมืองโยนกล่มสลายไปนั้นหลายๆคนเชื่อกันว่าคือทะเลสาบเชียงแสนในปัจจุบัน ทะเลสาบแห่งนี้มีเกาะกลางน้ำซึ่งชาวบ้านให้ชื่อว่า "เกาะแม่ม่าย" เชื่อกันว่าเป็นพื้นที่บ้านแม่ม่ายที่ไม่ได้จมลงไปด้วย
ปัจจุบันทะเลสาบเชียงแสนเป็นแหล่งดูนกยอดนิยมมีบริการที่พักริมทะเลสาบ มีถนนเข้าถึงได้สะดวก ครับ
อีกสถานที่หนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็นตำแหน่งที่เมืองโยนกจมลงไปนั้นคือบริเวณที่มีลักษณะเป็นหนองน้ำลึก ครอบคลุมพื้นที่ ต.โยนก ใน อ.เชียงแสน และ ต.จันจว้า-ต.ท่าข้าวเปลือก ใน อ.แม่จัน ทางตะวันตกของทะเลสาบเชียงแสน สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า "เวียงหนองล่ม" (หรือชาวบ้านในพื้นที่เรียกเวียงหนองหล่ม) มาตั้งแต่ยุคโบราณกาล เป็นพื้นที่ๆไม่สามารถใช้งานอะไรได้ ไม่ว่าจะเพาะปลูก หรือสร้างสิ่งก่อสร้าง ไม่นานทุกอย่างก็จะถล่มจมหนองน้ำไป ภาพที่ถ่ายนี้คือเวียงหนองล่มซึ่งต้องเข้าจากถนนใหญ่ขับรถไปตามแนวคันดินถึง 4 กม. กรมทรัพยากรน้ำเพิ่งทำการปรับพื้นที่เวียงหนองล่มและฟื้นฟูแหล่งน้ำให้สามารถใช้เป็นสาธารณะประโยชน์ได้ในปี พ.ศ. 2552 ครับ
ชาวบ้านต่างหวาดกลัวพื้นที่แห่งนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขารู้เรื่องประวัติศาสตร์ของเมืองโยนกแต่อย่างใด แต่ช่วงกลางคืนหลายครั้งพวกเขาจะได้ยินเสียงกลองและเสียงชาวบ้านโห่ร้องเหมือนมีงานเทศกาลดังขึ้นมาจากหนองน้ำ ผมเองก็อยากลองไปฟังตอนดึกๆสักครั้ง ถ้ามันเป็นเครื่องบันทึกเสียงดึกดำบรรพ์ที่จะพาเราไปฟังเสียงของงานเฉลิมฉลองของผู้คนในโยนกนาคพันธุ์ตั้งแต่เมื่อพันกว่าปีก่อนนะครับ นอกจากนี้ชาวบ้านยังดำหนองลงไปพบโบราณวัตถุและนำไปเก็บตามวัดต่างๆบ่อยๆด้วย เป็นไปได้มากว่าหนองน้ำแห่งนี้คือตำแหน่งที่เมืองโยนกจมลงไปและใต้หนองน้ำคงมีนครโบราณที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันบางส่วน รอให้มีผู้ค้นพบ
ปกติผมไม่เขียนบล็อกแนวต่วยตูนนะ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมืองในตำนานที่น่าค้นหานั้นมีอยู่จริงในประเทศไทย
กลางหนองน้ำแห่งนี้มีวัดพระพุทธทศพลญาณ หรือวัดป่าหมากหน่อ ซึ่งสร้างอยู่บนเกาะกลางหนองน้ำ หรือก็คือ "ดอนแม่ม่าย" ในตำนาน(ส่วนแม่ม่ายได้รับการช่วยเหลือจากคนนอกเมือง พาไปเวียงปรึกษาที่สร้างขึ้นมาใหม่ครับ) ซึ่งเดิมทีเกาะนี้อยู่ห่างชายฝั่ง 200 เมตร จนกระทั่งคนในยุคหลังได้ปรับพื้นที่ทำคันดิน ถมหนองจนสามารถเข้าถึงตัววัดแห่งนี้ได้ และผู้มีจิตศรัทธาได้ทำการบูรณะวัดในปี พ.ศ. 2523 จนใหม่เอี่ยมปิ๊งๆ ผมว่าผมต้องรีบตระเวนเที่ยวโบราณสถานทั่วประเทศก่อนถูกคนจับบูรณะแล้วครับ
เนินทางขึ้นวิหารมีรูปปั้นปลาไหลเผือกตามตำนานด้วย ส่วนงูเหลือมอีกข้างไม่รู้มาจากตำนานไหน
วิหารใหม่ที่สร้างขึ้นบนเนินวิหารเดิม ดาบทองทิพย์นาคพันธุ์เป็นหนึ่งในโบราณวัตถุที่ชาวบ้านงมขึ้นมาจากในเวียงหนองล่มและเก็บรักษาไว้อย่างดีในวิหารแห่งนี้ครับ
ด้านหลังวิหารคือพระธาตุโยนกนครแสงคำ มีผึ้งขึ้นไปทำรังมากมายจนน่าขนลุก รอบๆเจดีย์ยังมีกองอิฐเก่าให้ดูบ้าง มีบ่อน้ำโบราณซึ่งใช้ตักน้ำบูชาพระเจดีย์ด้วย ปัจจุบันสร้างพญานาคล้อมขอบบ่อไว้
นอกจากวัดป่าหมากหน่อแล้ว ในอำเภอเชียงแสนยังมีโบราณสถานสำคัญต่างๆที่ตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยโยนกหลายแห่ง เช่นวัดพระธาตุผาเงาและวัดพระธาตุจอมกิตติ ส่วนที่แม่สายมีพระธาตุดอยเวา และที่แม่ฟ้าหลวงมีพระธาตุดอยตุง แต่ก็ต้องฟังหูไว้หูครับ บางทีคนที่เขียนตำนานวัดต่างก็ต้องการกำหนดอายุให้เก่าแก่ไว้ก่อน ตำนานพระธาตุหลายแห่งอ้างว่าพระพุทธองค์เดินทางมาถึงสุวรรณภูมิแล้วดึงผมตัวเองแจกให้คนเอาไปใส่พระธาตุตั้งแต่สมัยพุทธกาลด้วยซ้ำ
เที่ยวเชียงรายรอบนี้ผมไม่ได้ขึ้นดอยตุง เพราะเคยขึ้นไปสามรอบแล้วครับ
แล้วหน้าตาพระธาตุดอยตุงที่เห็นมาก็ไม่เหมือนกันสักรอบ ยิ่งบูรณะยิ่งสวยลงๆ
พระธาตุดอยตุง เป็นเจดีย์เก่าแก่ของล้านนาอีกแห่งหนึ่ง ตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยของพระเจ้าอชุตราช กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งแคว้นโยนก เพื่อบรรจุกระดูกไหปลาร้าของพระพุทธเจ้า แล้วทำตุงยาว 1000 วาปักลงบนดอย ปลายธงปลิวไปถึงไหนก็กำหนดให้เป็นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นในยุคของพญาเม็งรายได้สร้างเจดีย์ขึ้นข้างๆกันอีกองค์ เลยไม่รู้ว่าอันไหนของแท้ อันไหนของก้อป
รอยปักตุงเมื่อพันกว่าปีก่อนครับ
เทียบกับดอยอื่นๆแล้ว ดอยตุงมีความสูงมาก จุดที่สร้างพระธาตุดอยตุงนั้นสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,415 เมตร มองลงไปด้านล่างเห็นทะเลหมอกสวยงาม แต่คนถ่ายถ่ายไม่ค่อยสวย
ทางขึ้นสวยงามเต็มไปด้วยระฆังเรียงราย มีกาดดอยตุงขายของพื้นบ้านอยู่เชิงดอยด้วยครับ
หากมาดอยตุง ก็ไม่ควรพลาดที่จะแวะชมสวนแม่ฟ้าหลวง (ค่าเข้า 80 บาท) ที่เชิงดอยมีดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์สวยงาม มีลานประติมากรรม สวนหิน น้ำพุ ปลา และเป็ด ส่วนพระตำหนักดอยตุงและหอแห่งแรงบันดาลใจเก็บตังค์เหมือนกัน แต่ผมไม่เคยเข้าไปดู
ตอนเที่ยวช่วงปลายปีที่ผ่านมา วันที่ขึ้นแม่สาย ผมได้แวะพระธาตุดอยเวา ซึ่งพระองค์เวา กษัตริย์แคว้นโยนกได้สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุ แต่ที่เห็นนี่บูรณะแล้วนะครับ
ดอยแห่งนี้ถูกเรียกว่าดอยเวา ตามชื่อของพระองค์ (เวาเป็นภาษาเหนือ หมายถึงแมงป่องช้าง) เมื่อมองลงมาจากด้านบนข้ามด่านศุลกากรแม่สายไปก็จะสามารถเห็นถึงฝั่งพม่าได้เลย
ด้านบนอากาศยามเช้าสดชื่นมาก มีคนขึ้นมาตั้งเต๊นท์กันบนนี้เลย (ไม่ควรนะ ) นอกจากพระธาตุแล้วยังมีรูปเคารพสมเด็จพระนเรศวร, พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ, หุ่นขี้ผึ้งของพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงหลายรูป, ฯลฯ แต่ที่นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปมากที่สุดก็เจ้าแมงป่องช้าง (เวา) นี่ละครับ
ข้างๆเจ้าเวามีร้านกาแฟและขายอาหาร ผมเลยกินข้าวเช้าที่นี่เลยครับ ร้านอาหารประจำแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นแนวบังคับกิน รสชาติหมาถุย แต่ร้านนี้อาหารอร่อยกว่าที่คิดมากๆ
ด้านล่างก่อนลงไปถึงตลาดจะมีพิพิธภัณฑ์ภูมิปัญญาพื้นบ้าน ด้านในมีพระเจ้าอินสาน เป็นพระสานด้วยไม้ไผ่ชุบทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยครับ
ตลาดดอยเวา ข้างล่างเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมของผู้เยี่ยมชมแม่สาย เดินออกไปหน่อยนึงจะถึงจุดผ่านแดนแม่สายที่ติดกับท่าขี้เหล็กของพม่าครับ ถึงจะไม่ได้ข้ามไปพม่า แต่ช้อปปิ้งแถวตลาดแม่สายนี้ก็คุ้มแล้ว
พระธาตุผาเงา เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมมีคนเข้ามาสักการะหลวงพ่อผาเงาและพระธาตุกันไม่ขาดสาย พระธาตุผาเงาเป็นเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิส่วนหัวเข่า สร้างขึ้นโดยขุนผาพิงผู้ครองนครโยนก บนหินใหญ่ที่มีลักษณะยื่นออกจากผาให้ร่มเงา จึงเรียกว่า "พระธาตุผาเงา"
สถานที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะสำรวจได้บุกเบิกแผ้วถางป่าและนายจันทา พรมมา หนึ่งในคณะสำรวจได้ฝันถึงภิกษุโบราณผิวดำร่างใหญ่มาเข้าฝันว่าให้นิมนต์พระ 8 รูปมาสวดถอนพื้นที่ และทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษที่คอยปกป้องที่แห่งนี้อยู่ แล้วลงมือบูรณะวัดจะพบกับสิ่งอัศจรรย์
เมื่อลงมือตามผีบอกก็พบว่าใต้ตอไม้หน้าฐานพระประธานมีอิฐก่อเรียงเป็นอย่างดี เมื่อรื้ออิฐออกก็พบแผ่นหน้ากากทึบก่อกั้นไว้ พอเอาหน้ากากออกก็พบพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงามและสมบูรณ์มาก ผู้คนได้ให้นามว่า "หลวงพ่อผาเงา" ปัจจุบันได้มีการสร้างวิหารครอบพระประธานองค์ใหญ่และหลวงพ่อผาเงาไว้ในบริเวณเดิมที่ค้นพบนั้นเอง ในรูปหลวงพ่อผาเงาคือองค์เล็กด้านหน้าฐานพระประธานครับ
ขึ้นมาต่อด้านบนมีพระธาตุจอมจัน ซึ่งเชื่อกันว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยของขุนลัง ผู้ครองเวียงปรึกษา ด้านหน้าของพระธาตุจอมจันมีอุโบสถที่สร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2536 โดยมีต้นแบบจากวัดเชีบงทอง หลวงพระบาง ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบล้านช้าง งดงามมากครับ ถึงจะไม่ใช่ของเก่า แต่ได้เห็นความสวยงามระดับนี้แล้วก็คุ้มค่า
ตัวพระธาตุจอมจันอยู่ด้านหลังของอุโบสถ บนนี้เป็นดอยสูงวิวแม่น้ำโขงสวยงาม แต่ยังมีต่อให้ขึ้นไปด้านบนอีกครับ
ด้านบนสุดของดอยนี้มีพระธาตุเจ็ดยอด สร้างไว้ตั้งแต่สมัยขุนลังเช่นเดียวกัน และในปี พ.ศ. 2525 มีการสร้างพระบรมธาตุพุทธนิมิตรเจดีย์ครอบไว้
ภายในพระบรมธาตุมีรูปอัครสาวกและรูปจำลองพระพุทธรูปดังจากที่ต่างๆ ล้อมองค์พระธาตุเจ็ดยอดอยู่ ตัวพระธาตุเก่าแก่ตากแดดตากฝนมานานมากจนไม่เหลือสักยอดแล้วครับ กลายเป็นแค่กองอิฐเท่านั้นเอง
บนนี้สามารถชมวิวแม่น้ำโขงอันสวยงามได้ ด้านขวาของภาพนี้หากไปต่ออีกจะเป็นบริเวณปากแม่น้ำกก ฝั่งลาวจะเป็นบริเวณเมืองเก่าอาณาจักรสุวรรณโคมคำของพวกขอมที่สร้างขึ้นก่อนโยนกนาคพันธุ์ และทลายลงแม่น้ำโขงไป แต่ก็เป็นเพียงคำบอกเล่าในตำนาน ปัจจุบันไม่เหลืออะไรให้ดูแล้วนอกจากสันดอนกลางลำน้ำ และผมไม่ได้เลยไปดูครับ
พระธาตุจอมกิตติ สร้างโดยพระเจ้าพังคราชและพระเจ้าพรหมเพื่อบรรจุเส้นผมของพระพุทธเจ้าตั้งแต่สมัยโยนก และในยุคเชียงแสน หมื่นเชียงสงได้ทำการบูรณะเจดีย์ที่เหลือเพียงซากอิฐเป็นทรงปราสาทในปี พ.ศ. 2030 ซึ่งก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนที่เห็นหลังการบูรณะอีกครั้งในปี พ.ศ. 2498 นี่ละครับ ด้านหน้าพระธาตุคือฉัตรที่หักลงมาตอนเกิดแผ่นดินไหวในปี พ.ศ. 2550
ก่อนถึงพระธาตุจอมกิตติบนดอยเดียวกันนี้มีพระธาตุจอมแจ้ง ซึ่งสร้างโดยเจ้าสุวรรณคำล้านนาเจ้าเมืองเชียงแสน ในปี พ.ศ. 2030 พร้อมกับที่สั่งให้หมื่นเชียงสงไปบูรณะพระธาตุจอมกิตติ
ในเชียงรายมีวัดหลายแห่งที่สร้างบนดอย สามารถชมทิวทัศน์อันสวยงามได้ และอุโบสถของวัดจอมแจ้งนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เชิงบันไดทางขึ้นพระธาตุจอมกิตติมีเจดีย์ซึ่งเชื่อกันว่าบรรจุอัฐิของพระเจ้าพังคราชและพระมเหสีไว้ครับ บริเวณนี้ถูกเรียกว่าวัดสวนสนุก บริเวณนี้ทั้งหมดทั้งวัดจอมแจ้งและวัดสวนสนุกก็ถือเป็นบริเวณวัดพระธาตุจอมกิตตินะครับ
สำหรับหิรัญนครเงินยางนั้น มีสิ่งก่อสร้างเก่าหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันบริเวณสามเหลี่ยมทองคำได้แก่ วัดพระธาตุภูเข้า ซึ่งนอกจากเป็นจุดชมวิวสามเหลี่ยมทองคำยอดนิยมแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตามตำนานมีปูยักษ์แม่ลูกออกทำลายไร่นาชาวบ้านได้รับความเสียหายมาก ลวจักราชจึงนำภารกิจตามล่าปูเป็นวาระแห่งชาติ โดยสั่งลูกชายทั้งสามนำกองทัพออกไปสู้กับปู ลาวเกลาบุตรคนสุดท้องสามารถกำจัดปูตัวลูกคนเล็กได้ 1 ตัว แต่ปูตัวแม่และลูกคนโตนั้นแข็งแกร่งมาก ฟันแทงไม่เข้า (เมพ!) มันหนีไปในถ้ำแห่งหนึ่งแล้วลงไปแม่น้ำโขง ทำให้การตามล่าประสบความล้มเหลว ลาวเกลาได้ครองเมืองเงินยางต่อจากความดีความชอบที่กำจัดปูได้ 1 ตัว เขาจึงสร้างวัดบริเวณที่ปูหนีไปนี้ เรียกชื่อว่าพระธาตุปูเข้า ต่อมาชื่อสถานที่แห่งนี้ก็เพี้ยนเป็นดอยภูเข้า บ้างก็เรียกว่าดอยเชียงเมี่ยง
เมื่อขึ้นมาด้านบนจะพบหลวงพ่อเชียงแสนสิงห์หนึ่ง ซึ่งสร้างขึ้นพร้อมพระธาตุ และพังทลายไปมาก ในอุโบสถใหม่มีพระพุทธรูปซึ่งจำลองจากลักษณะเดิมของหลวงพ่อเชียงแสนองค์นี้ครับ เป็นลักษณะที่เรียกว่าเชียงแสนสิงห์หนึ่งเช่นเดียวกับพระเจ้าล้านตื้อที่จมอยู่ในแม่น้ำโขง ซึ่งนับว่ามีความงดงามเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธรูปเชียงแสน
ขึ้นทางชันไปด้านบนต่อจะพบจุดชมวิวสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งสามารถขับรถขึ้นมาได้ และเมื่อขึ้นไปอีกจะพบพระธาตุภูเข้า ลักษณะเป็นมณฑปล้อมด้วยเจดีย์ 4 องค์ ตัวมณฆปถูกบูรณะไปแล้วเลยไม่น่าสนใจเท่าไหร่ ที่น่าชมคือเจดีย์รายที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยหิรัญนครเงินยางมากกว่าครับ ลักษณะทางสถาปัตยกรรมราวพุทธศตวรรษที่ 18-19 บริเวณนี้ยังมีอนุสรณ์สถานทหารญี่ปุ่นยุคสงครามโลกครั้งที่สองด้วยครับ
นับว่าเชียงรายเป็นจังหวัดที่มีความเป็นมาเก่าแก่ยาวนาน อีกทั้งยังมีเรื่องราวน่าค้นหามากมาย ซ่อนเป็นเงาอดีตอยู่ในดินแดนที่สวยงามแห่งนี้ หากสนใจประวัติศาสตร์ภาคเหนือและประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยที่เก่าแก่กว่าสมัยสุโขทัยแล้ว เชียงรายเป็นสถานที่ที่ต้องมาครับ
ผู้สนใจประวัติของเมืองโบราณในเชียงราย ขอแนะนำเว็บนี้ละเอียดที่สุดแล้วครับ //www.thaigoodview.com/library/contest2551/social04/13/chiangrai_in_partnew/index/yonok1.html แต่ปี พ.ศ. จะใช้ตามที่บันทึกในพงศาวดารเป็นหลัก ดังนั้นจะเก่าแก่เกินควรอย่างที่ว่าครับ
บล็อกต่อไปจะพาเที่ยวตัวเมืองเชียงรายตามรอยพญามังรายก่อนสร้างเมืองเชียงใหม่ และเที่ยวเมืองเชียงแสนซึ่งบูรณะขึ้นจากเมืองหิรัญนครเงินยางครับ
Create Date : 13 มกราคม 2556 |
Last Update : 23 กรกฎาคม 2560 16:06:19 น. |
|
54 comments
|
Counter : 29752 Pageviews. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:14:18:01 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:14:34:15 น. |
|
|
|
โดย: NET-MANIA วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:14:39:42 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:19:11:37 น. |
|
|
|
โดย: ริน IP: 27.130.70.140 วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:21:18:03 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:21:28:28 น. |
|
|
|
โดย: rommunee วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:21:48:08 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:22:38:23 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:23:10:01 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:23:17:03 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 13 มกราคม 2556 เวลา:23:21:15 น. |
|
|
|
โดย: Kavanich96 วันที่: 14 มกราคม 2556 เวลา:3:59:05 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 14 มกราคม 2556 เวลา:8:48:54 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 14 มกราคม 2556 เวลา:12:07:03 น. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 14 มกราคม 2556 เวลา:15:23:54 น. |
|
|
|
โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 15 มกราคม 2556 เวลา:22:44:08 น. |
|
|
|
โดย: NET-MANIA วันที่: 15 มกราคม 2556 เวลา:23:49:32 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 16 มกราคม 2556 เวลา:0:17:05 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 16 มกราคม 2556 เวลา:2:06:11 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 16 มกราคม 2556 เวลา:9:13:35 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 16 มกราคม 2556 เวลา:9:21:00 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 16 มกราคม 2556 เวลา:14:23:29 น. |
|
|
|
โดย: jamaica วันที่: 16 มกราคม 2556 เวลา:16:18:19 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 16 มกราคม 2556 เวลา:19:32:18 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 มกราคม 2556 เวลา:20:32:43 น. |
|
|
|
โดย: พายุสุริยะ วันที่: 16 มกราคม 2556 เวลา:21:06:21 น. |
|
|
|
โดย: **mp5** วันที่: 16 มกราคม 2556 เวลา:22:13:26 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 มกราคม 2556 เวลา:5:31:27 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 มกราคม 2556 เวลา:9:24:01 น. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 17 มกราคม 2556 เวลา:10:02:23 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 17 มกราคม 2556 เวลา:10:05:51 น. |
|
|
|
โดย: ถปรร วันที่: 17 มกราคม 2556 เวลา:11:34:12 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 17 มกราคม 2556 เวลา:13:15:59 น. |
|
|
|
โดย: อาคุงกล่อง วันที่: 17 มกราคม 2556 เวลา:14:42:12 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 18 มกราคม 2556 เวลา:0:35:25 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 มกราคม 2556 เวลา:6:50:27 น. |
|
|
|
โดย: oa (rosebay ) วันที่: 18 มกราคม 2556 เวลา:12:50:57 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 18 มกราคม 2556 เวลา:13:00:44 น. |
|
|
|
โดย: OniZukA-Lee วันที่: 18 มกราคม 2556 เวลา:20:48:51 น. |
|
|
|
|
|
|
|
.เหมือน จะกลับไปเรียนประวัติศาสตร์อีก เริ่มหาว แล้ว 555
ดูภาพ ไปพลางๆ
ไป ธุระ เด๋วมาใหม่ ก่อนอื่น ไหว้พระเอาฤกษ์ก่อน สาธุๆ