bloghead..................................................
Group Blog
 
<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
18 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
เมื่อคืนผมนอนกับเกย์

เมื่อคืนผมนอนกับเกย์

ผมลังเลอยู่นาน ว่าจะเขียนบทความเรื่องนี้ดีหรือไม่ หากแต่ถ้าลองจะวิเคราะห์ให้ดี เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา แม้ว่าอาจกระทบกับความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจคนหลายคน อาจทำร้ายทำลายตัวตนที่ปิดบังอำพรางไว้จากครอบครัวหรือสังคม แต่ในขณะเดียวกัน แง่คิดที่ได้มา อาจเป็นอุทธาหรณ์สอนใจ สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคน ให้เข้าใจหัวใจของคนที่เรียกกันว่า เพศที่สาม ผมจึงจำต้องขออนุญาตเพื่อนร่วมเตียงเมื่อคืน นำพาบทสนทนาของเราสองคน เผยแพร่สู่สังคมภายนอก โดยจะพยายามอย่างที่สุด ที่จะไม่ให้เกิดผลกระทบกับชีวิตของใครก็ตามที่จะอยู่ในบทความนี้ จึงจำเป็นต้องใช้นามสมมติ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของทุกคนด้วย

ช่วงสายของเมื่อวาน ผมพบและรู้จักกับเอกโดยบังเอิญ ขณะเดินช้อปปิ้งเสื้อผ้าในร้านค้าใจกลางเมือง ด้วยหลังเทศกาลคริสมาสต์ในประเทศอังกฤษ จะมีช่วงสัปดาห์ลดราคาสินค้ากระหน่ำครั้งใหญ่ในรอบปี จึงเป็นโอกาสเดียวที่ผมจะได้มาซื้อเสื้อหนาว ในราคาเพียงครึ่งเดียวของราคาปกติ เพื่อดำรงชีวิตฝ่าความความเย็นเยียบยามย่างเข้าสู่ฤดูหนาวนี้ ข่าวพยากรณ์อากาศบอกว่า ใกล้จะถึงวันหิมะตกเข้ามาทุกที และปีนี้จะหนาวจัดกว่าปีที่ผ่านมา

ผมมาคนเดียว เดินเก้ๆกังๆ ดูลังเลและงกๆเงิ่นๆ เพราะไม่เคยซื้อเสื้อหนาวหนาๆราคาแพงใส่มาก่อน ถ้าของราคาถูก ก็อาจไม่ช่วยให้ความอบอุ่นเพียงพอ กลายเป็นเสียเงินเปล่าไปอีก ลองแล้วลองอีกอยู่หลายแบบหลายตัว ทั้งเสื้อหนัง เสื้อขนเป็ด ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ จนมีชายหนุ่มแต่งตัวดูดี ท่าทางเป็นกันเอง เดินเข้ามาทัก

"เรือรบใช่มั้ยครับ เราชื่อเอก รุ่นเดียวกันแหละ ได้ยินชื่อนายมานานแล้ว แต่ไม่เคยเจอซักที" เอกยิ้ม

ผมทำหน้าเอ๋อ "อ๊ะ ใช่ครับ แล้วเอ่อ...เอก รู้่จักผมได้ยังไง" ผมประหลาดใจพอสมควร

"ก็เราเป็นนักเรียนที่นี่แหละ อยู่ปีสุดท้ายแล้ว ยุ่งๆกับการเขียนทีสิส เลยไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยเลยในระยะหลังๆนี้ วันก่อนมีเพื่อนๆคนไทย บอกอยู่ว่ามีเพื่อนใหม่เพิ่งย้ายมา" พูดพลางมองผมอย่างขำๆที่เห็นผมหอบเสื้อผ้าอยู่หลายตัว

“อ้อ กำลังช้อปปิ้งอยู่เหมือนกันหรอ หาของเจอมั้ย วันนี้คนเยอะหน่อย ปีนึงจะลดราคาเยอะๆสักครั้ง"
เอกพูดพลาง โชว์ถุงเสื้อผ้าเต็มสองมือให้ผมดู

“เจอครับ แต่ผมเลือกไม่ถูกน่ะ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า ราคามันเหมาะสมมั้ย คือไม่อยากซื้อของแพง เพิ่งมาถึง เงินเก็บก็ยังไม่ค่อยมี" ผมเปิดใจสารภาพความเป็นจริงกับเพื่อนใหม่

“อืม ไม่เป็นไร มาใหม่ก็เป็นแบบนี้ เห็นอะไรก็แพงไปหมด ไม่กล้าซื้อ เราซื้อของเสร็จพอดี ตอนนี้ก็ว่างแล้ว งั้นเราจะพาไปร้านประจำของเราที่ลดเยอะๆ แบบก็สวยนะ แล้วจะช่วยนายเลือกแล้วกัน " เพื่อนใหม่หยิบยื่นไมตรีให้ผมอย่างเต็มใจ

“โอ้ งั้นก็ดีเลยครับ ผมกำลังอยากได้คนช่วยแนะนำเลย แล้วก็จะได้ถือโอกาสคุยกับเอกเสียหน่อย เป็นเพื่อนนักเรียนไทยด้วยกัน จะได้ทำความรู้จักกันไว้ และผมคงมีเรื่องขอคำปรึกษาหลายเรื่องทีเดียว" ผมดีใจที่ได้เพื่อนใหม่โดยไม่คาดคิด ในยามตกที่นั่งลำบากพอดี

หลังจากนั้นสามชั่วโมง เอกก็พาผมเดินตระเวนเข้าร้านนู้น ออกร้านนี้อย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับแนะนำวิธีเลือกซื้อเสื้อกันหนาว เสื้อโค้ทที่ใส่แล้วดูดี ราคาไม่แพง การมีที่ปรึกษาอีกสักคนช่วยตัดสินใจ ทำให้ผมมั่นใจในการซื้อของมากขี้น จนซื้อของได้เกือบครบถ้วนตามที่ต้องการ แบบสบายกระเป๋าซะด้วย ยังขาดแต่รองเท้าบู้ท และถุงมือขนสัตว์

“อ้อ ที่นี่นะ จะมีเอาท์เลทอยู่ชานเมือง ของถูกมากกว่าในเมืองอีก มีร้านรองเท้าดีๆอยู่ด้วย นายอาจจะได้ของที่ต้องการเพิ่มเติมอีก วันนี้เย็นแล้ว ไว้พรุ่งนี้เราค่อยไปกันก็ได้" เอกเสนอ หลังจากเดินกันมาสักพักใหญ่ๆ หอบถุงหลายใบ จนแขนและขาเริ่มบ่นว่าล้า

เรามานั่งพักเหนื่อยในร้านกาแฟตรงหัวมุมถนน หลังจากได้หย่อนก้นลงโซฟานุ่มและจิบเครื่องดื่มร้อนๆแล้ว เราก็เริ่มแลกเปลี่ยนซักถามประวัติความเป็นมาของแต่ละคน คุยกันเรื่องการเรียน การใช้ชีวิตไกลบ้านในต่างแดน จนไปถึงประสบการณ์การท่องเที่ยวตามเมืองและประเทศต่างๆในทวีปยุโรปของเอก

ผมรู้สึกประทับใจในความเป็นกันเองของเอก อีกทั้งยังได้รับความรู้ใหม่เยอะแยะจากการพูดคุยเพียงไม่นาน เอกเป็นคนร่าเริง การที่มาเรียนมีประสบการณ์ในต่างแดนมาหลายปี ทำให้รู้กว้างและเยอะ ด้วยเป็นคนเก็บรายละเอียดได้ดี แถมชอบถ่ายรูปและท่องเที่ยวเหมือนผมอีก เราเลยคุยกันถูกคออย่างกับเพื่อนเก่าผู้รู้จักกันมาอย่างดี เอกบอกว่า พอรู้จากเพื่อนๆคนไทยว่ามีทหารเรือมาเรียนต่อ ก็เลยเสิร์ชลองเข้าไปหาข้อมูลดู เห็นบล็อคของผมน่าสนใจ เลยอ่านจนหมด เพราะเอกก็เขียนบล็อคอยู่เช่นกัน เราเลยมีเรื่องพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในงานเขียนของผมเพิ่มเข้าไปอีก

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนฟ้าเริ่มครึ้ม เอกมองนาฬิกาแล้วบ่นดังๆ "เอ้อ แย่จริง เราคงต้องไปแล้ว วันนี้มีงานที่ร้าน ผู้จัดการลาด้วย เราเป็นมือขวา เลยต้องคุมร้านแทน ยุ่งมากๆแน่คืนนี้"

“อื้อ ไปเถอะ ขอบคุณนายมากนะเอก วันนี้ได้อะไรเยอะเลย แล้วหนังสือท่องเที่ยวที่เราจะขอยืมนาย ไว้พรุ่งนี้เจอกันอีก แล้วเราจะหาโอกาสไปเอาที่บ้านนะ จะได้เลือกดูด้วย" ผมนัดแนะ ก่อนที่เราจะได้แยกย้ายจากกันไป

ผมกลับบ้าน จัดเก็บข้าวของเข้าที่ ทำอาหารรับประทาน อาบน้ำและขึ้นห้องนอนเพื่อเตรียมตัวอ่านหนังสือ เวลาผ่านไปจนเกือบสามทุ่ม มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นสายของเอกนั่นเอง

“เรือรบ เราเอกนะ พอดีวันนี้ลูกค้าไม่ค่อยมี เราว่าจะปิดร้านเร็วหน่อย แล้วคิดว่าจะแวะเอาหนังสือไปให้นายด้วย แล้วพอดีมีเสื้อโค้ทที่พี่ๆยกให้มา แต่เราตัวเล็กใส่ไม่ได้ คิดว่านายอาจจะใช้ได้ด้วย จะเอาไปให้นายลองใส่ดู"

“อ้อ แต่ตอนนี้ดึกแล้ว นายจะมาถูกหรือ เดี่๋ยวพรุ่งนี้เราไปเอาก็ได้" ผมเสนอเพราะไม่อยากให้เพื่อนลำบาก

“ไม่เป็นไร เราอยากเห็นบ้านนาย เห็นรูปในเฟสบุ๊ค สวยดี แล้วเรามีจักรยาน ขี่ไปแป๊บเดียว บอกที่อยู่มาได้เลย ว่าแต่จะขอค้างหน่อยนะ เพราะว่าพรุ่งนี้เช้า เราจะได้พานายไปช้อปต่อที่เอาท์เลทชานเมือง ไปสายเดี๋ยวของหมด"

“เอางั้นเหรอ เกรงใจนะ แต่ก็ดีเหมือนกัน บ้านเราอยู่ใกล้เอาท์เลทกว่า เราจะได้ไม่ต้องย้อนไปเอาของบ้านนายก่อน แล้วย้อนกลับมาอีก หมดวันพอดี" ผมเออออ อย่างเห็นดีด้วย

อีกสองชั่วโมงถัดมา เอกก็มาถึงบ้านผม แถมเอาเสื้อโค้ท ผ้าพันคอ หนังสือ และขนมติดไม้ติดมือมาฝาก ผมยินดีมาก ไม่รังเกียจของมือสอง เป็นผู้ชายไม่ต้องเรื่องมาก แค่มีใส่ ดูดี แถมฟรีอีกต่างหาก

มาถึงเรื่องการนอน แม้ว่าวันนี้เพื่อนร่วมบ้านของผมจะไม่อยู่เพราะกลับไปเยี่ยมครอบครัว แต่ผมก็ไม่อยากให้เอกไปนอนห้องเค้า หรือจะถือวิสาสะเอาเครื่องนอนหมอนผ่าห้มเค้ามาใช้ เพราะไม่ได้ขออนุญาตเอาไว้ก่อนนั่นเอง และเนื่องจากผมมาอยู่ใหม่ ยังไม่มีเครื่องนอนสำรอง และเห็นเอกเป็นผู้ชายเหมือนกัน ตัวก็เล็กกว่าผม เลยตกลงกันว่า จะให้เอกนอนบนเตียงเดียวกับผม แม้ไม่ใหญ่นักแต่ถ้านอนไม่ดิ้นก็คงไม่ถึงกับอึดอัดรำคาญนัก หวังว่าไม่มีใครนอนกรนก็พอ จะเดือดร้อนอีกคนอย่างช่วยไม่ได้

เราปิดไฟนอนคุยกันไปอีกหลายชั่วโมง เอกมีนิสัยหลายอย่างคล้ายๆกับผม เราแลกเปลี่ยนชีวิตของแต่ละคนอย่างถูกคอ นานๆผมจะเจอเพื่อนผู้ชายคุยเก่งๆอย่างนี้สักที เพราะโดยมาก ผู้ชายจะไม่ค่อยคุยกันมากมาย โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว ถ้าไม่ได้อยู่ในวงเหล้า วงไพ่ โต๊ะบอล ก็ไม่ค่อยจะมีเรื่องคุยกันสักเท่าไหร่ ผมจึงมักคบเพื่อนผู้หญิงมากกว่า เพราะผมเป็นคนชอบรับฟัง และชอบคุยเรื่องชีวิต เรื่องลึกๆเกี่ยวกับความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ หรือการเดินทางเรียนรู้ชีวิตของแต่ละคน ผู้หญิงจะละเอียดอ่อนในเรื่องเหล่านี้มากกว่าผู้ชาย แต่ถ้าปล่อยผู้หญิงหลายๆคนอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ ก็จะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ผมไม่รู้จักทันที เช่น พระเอกละคร ดารา เครื่องสำอางค์ และของลดราคา

เมื่อคนสองคนคุยกันไปหลายเรื่อง หลายด้านในชีวิต และสนิทกันถึงขั้นหนึ่ง ก็คงมีเรื่องปรับทุกข์เล่าสู่กันฟังเป็นธรรมดา ผมก็จะทำหน้าที่เป็นผู้รับฟังที่ดี เพราะที่ผ่านมาถ้าเพื่อนได้ระบายความอัดอั้นตันใจแล้วสบายใจขึ้น ผมก็รู้สึกดีไปด้วยทุกครั้ง

“เรามาเรียนนอกหลายปี ก็นึกอยู่แล้วว่าความห่างไกล จะทำให้เค้าเปลี่ยนไป แม้รู้ทั้งรู้ แต่ก็นึกเสียดายเวลาที่คบกันมา" เอกแบ่งปันเรื่องรักระคนเศร้าของตน

“แต่นายคิดดู แค่พอเค้าทำท่าจะไป เราก็ทำใจไม่ได้แล้ว แต่ไม่นานก็มีคนใหม่เข้ามา เราเจอกันในอินเตอร์เนท คุยกันอย่างถูกคอ ไม่นานเค้าก็มาขอให้เราเป็นแฟน ด้วยความเหงา เราก็ตกลงทันที" เอกเล่าต่อ

“เรายังไม่ได้เลิกกับคนเก่า แต่คนใหม่ก็รุกหนักเหลือเกิน พอเราติดทำงาน ก็โทรตามจิกเรา จนแฟนเก่าเรารู้ เค้าก็เป็นห่วงเรา เลยขอกลับมาคืนดี แต่เราก็ยังไม่รู้จะทำยังไงกับคนใหม่ ดูท่าทางรักแรง หึงแรง" เรื่องชักซับซ้อน ผมตามไม่ค่อยทัน ก็ได้แต่ฟังและพยักหน้าหงึกๆอยู่ในความมืด

“เราเลือกไม่ถูกว่าเรารักใครแน่ แฟนเก่าแม้จะคบมานาน แต่การศึกษาเค้าน้อย คุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่เค้าเอาใจใส่เราดี และรักเรามาก ส่วนคนใหม่ คุยกันถูกคอ มีหลายอย่างคล้ายกัน ฐานะก็ดี อะไรก็ดูเหมาะสมกว่าคนเก่ามาก ระยะยาวน่าจะลงตัวกว่า เราจะทำยังไงดี" เอกเริ่มถามผมบ้าง

“ความรักนะ มันไม่ได้มาจากการพูดคุยแค่ชั่วประเดี๋ยวหรอก มันต้องมาจากความผูกพัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ต้องอาศัยเวลา นายใจเย็นๆก็ได้ ดูๆไปก่อน" ผมพยายามช่วย แม้จะทำได้ไม่มากนัก

“เราเสียเวลาไปกับเรื่องรักๆใคร่ๆมาพักใหญ่ ทำให้งานที่ต้องส่ง ช้ากว่ากำหนดไปหลายเดือนแล้ว แต่เราไม่มีกำลังใจทำเลย รู้ทั้งรู้ว่าไม่เป็นสาระ แต่พอแก้ปัญหาไม่ตก ก็ไม่มีอารมณ์ทำอะไรเลย"

“เอก นายรักษาศีลถึงพร้อม ดีอยู่รึ" อยู่ๆอะไรดลใจให้ผมเริ่มตั้งคำถามนี้ขึ้นมาหนอ

“หือ นายหมายความว่าไง ศีลห้าเรอะ มันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ" เอกสงสัย

“ก็... ถ้านายมีศีล นายจะมีความเป็นปกติ เมื่อนายมีความปกติ สติก็จะมั่นคง คิดอ่านการใดก็จะทะลุปรุโปร่ง และควบคุมอารมณ์จิตใจตนเองได้ดี นี่คือภาวะพื้นฐานที่เราจะขาดไม่ได้" ผมค่อยๆเรียบเรียง

“นายพูดมีเหตุผล เราเป็นบาร์เทนเดอร์ด้วย ก็อยากเลิกเหล้าอยู่ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ ต้องคอยชิมอยู่เรื่อย"
“เรามีแฟนแล้ว และกำลังมีกิ๊กอีกคน ถึงได้มีเรื่องวุ่นๆอยู่อย่างนี้" เอกนิ่งไปอีกสักพักใหญ่
“แล้วก็... ในฐานะที่นายถือว่าเราเป็นเพื่อน เราก็ไม่อยากโกหก หรือปิดบังนายต่อไป เราเป็นเกย์นะ"

ผมอึ้งไปหนึ่งอึดใจ ไม่เฉลียวใจคิดว่าเอกจะเป็น และที่สำคัญเค้าไม่จำเป็นต้องบอกผมเลย นอกจาก...

“เอ้อ นายบอกมาก็ดีแล้ว เราขอบใจมากที่นายจริงใจกับเรา" ผมทำเสียงสบายๆ แต่ไม่รู้จะทำยังไงต่อ
“เอางี้ นายบอกว่าอยากเลิกเหล้า อยากรักษาศีล คิดไว้รึยังว่าจะเริ่มเมื่อไหร่" ผมพยายามหาเรื่องคุย ไม่ให้เกิดความเงียบ เพราะสภาวะตอนนี้ ผมคงนอนหลับได้อย่างไม่สนิทใจนัก

“เอ่อ ก็ไม่รู้สิ คิดไว้เฉยๆนานแล้ว ยังไม่ได้กำหนด" เอกตอบสั้นๆ เหมือนรอดูท่าทีบางอย่างของผม
"แล้วนี่ นายคิดจะทำอะไรน่ะ" เอกถามทันทีเมื่อเห็นผมขยับตัวจากท่านอนลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอย่างรวดเร็ว

“โอเค อย่าช้าอยู่เลย ลุกขึ้นนั่งสิ แล้วลงมือได้เลย" ผมเชื้อเชิญในความมืด
“นะโม ตัสสะ ภควะโต.. อ้าว ว่าตามสิ" ผมพูดพร้อมกับพนมมือขึ้น เริ่มด้วย ตั้งนโมฯ 3 จบแล้วต่อด้วยการอาราธนาศีล โดยที่เอกก็งงๆ แต่ยอมทำตามอย่างว่าง่าย แถมกล่าวพร้อมกันได้อย่างคล่องแคล่ว

"มะยัง ภัณเต... ปาณาติปาตา... อทินนาธานา... กาเมสุมิจฉา... มุสาวาทา... สุราเมระยะ มัจฌะปะมา... เวระมณี สิกขาปะทัง สมาทิยามิ" เรากล่าวคำสัตย์สัญญา เพื่อรักษาศีลห้าพร้อมกันอย่่างตั้งใจ พร้อมกับก้มลงกราบหมอนสามครั้ง ถือว่านับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป เราทั้งสอง ถึงพร้อมด้วยการเป็นผู้มีศีล กลับมาสู่ความเป็นปกติ ปิดหนทางลงสู่อบายภูมิเบื้องต่ำ ตราบนานเท่าที่ความตั้งใจอันเป็นสัตย์นี้จะคงมั่นอยู่

เราล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เอกถอนใจเฮือกใหญ่ "เฮ้อ... เรือรบ เราสบายใจขึ้นมากจริงๆ อย่างไม่น่าเชื่อนะเนี่ย ตัวเบาเลย ขอบใจมาก ตั้งแต่มาเจอนาย เราเหมือนเจอทางสว่างของชีวิตจริงๆ"

“อื้ม ความหนักของนาย มันไม่ได้อยู่ที่ปัญหาหรอก เพราะปัญหาของนายมันยังไม่ได้ถูกแก้ไขเลย แต่มันอยู่ที่ใจต่างหากล่ะที่เข้มแข็งขึ้น ต่อไปนี้ นายจะตัดสินใจแก้ไขปัญหาอะไรได้ง่ายขึ้น แจ่มชัดขี้น" ผมเสริม

“จริงสินะ ก่อนหน้านี้ เราไม่มีแรงจะคิดจะทำอะไร เหมือนตกอยู่ในวังวนที่ไม่มีทางขึ้น แล้วมันก็มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ นี่ถ้าไม่ได้คุยกับนายวันนี้ อาจจะทำอะไรผิดพลาดเพิ่มขึ้นไปอีก" เสียงเอกสดใสขึ้นจริิงๆ

“ก่อนจะนอน เราถามหน่อย เราอยากรู้มานาน ว่าคนเราเกิดมาเป็นผู้ชาย ทำไมถึงเป็นเกย์ได้ เราหมายความว่า เด็กที่เกิดมาก็จะมีเพศของตน แล้วจุดไหน ทำให้นายเริ่มรู้สึกว่า นายชอบผู้ชาย" ผมถามตรงๆ เนื่องจากมั่นใจว่า เอกมีสติดีมั่นคงดีแล้ว และพร้อมที่แบ่งปันความจริงอันเร้นลับให้ผมบ้าง

“ตอนเด็ก เราถูกเลี้ยงมาโดยแม่กับป้า เล่นแต่กับผู้หญิง ช่วยงานในครัวมาตลอด ส่วนพ่อเรา ด้วยความที่เค้าเป็นเด็กกำพร้า ตั้งแต่จำความได้เค้าไม่เคยกอดหรือแสดงความรักกับเราเลย เรารู้สึกขาดอะไรบางอย่างไปในชีวิต" เอกย้อนรำลึกความหลังอย่างตั้งใจ

“อืม ฟังดูมีเหตุผล แต่เราเองก็โตมากับยาย ช่วยงานในครัวมาตลอด ทำกับข้าวก็ได้ ยายอบรมเข้มงวด ทำให้เรามีระเบียบเรียบร้อย เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ แล้วพ่อแม่ก็ทำงานต่างจังหวัดไม่เคยได้ใกล้ชิดกันนัก ก็คล้ายๆกับนาย" ผมเล่าเรื่องวัยเด็กของตนที่ก็คล้ายคลึกกับเอก

“ก็นั่นน่ะสิ เราเห็นนายครั้งแรก เราก็นึกว่านายเป็นเหมือนเรา" เอกพูดหน้าตาเฉย

“เอ่อ... ก็คงจะจริง เราเคยถูกเข้าใจผิดบ่อยเลย มีเกย์มาจีบ ตอนไปเที่ยวผับสมัยวัยรุ่น" ผมไม่เถียง
“แต่ตอนนั้นเราก็งงนะ ไปเที่ยวหวังได้แอ้มสาวแต่ไหงมีแต่เกย์มาให้ท่า" ผมเผยเรื่องตอนสมัยวัยซ่า

“ก็นายมันดูเรียบร้อยเกินผู้ชาย ไม่แปลกหรอก ที่จะถูกเข้าใจผิด" เอกตอกย้ำให้ผมช้ำใจเล่น

“เอาเหอะ สรุปว่า เราไม่ใช่ก็แล้วกัน แน่ใจด้วย" ผมรีบสรุป "แล้วคำถามของเราล่ะ ว่าเริ่มรู้ตอนไหน"

“จริงๆไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะ แต่สำหรับนาย เราไว้ใจ คือตอนเด็กๆเราเรียบร้อยและตัวเล็กบอบบาง ก็เลยเริ่มถูกเพื่อนล้อ แต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไร ตอนนั้นห้าหกขวบ วันหนึ่งเล่นอยู่กับเพื่อนบ้าน เล่นกันในห้องนอน แล้วมันก็เกิดมาลวนลาม มากอดจูบ ในจุดหนึ่งเราเกิดความรู้สึกดีขึ้นมา ไม่รูุ้ทำไม ตั้งแต่นั้น เราก็เลยเริ่มชอบผู้ชาย" เอกเปิดอกเปิดใจอย่างหมดจด

“อืม นายเป็นเด็กน้อย ที่่ไม่ได้รับการกอดจากพ่อ นั่นคือส่วนที่นายขาด แล้วมีผู้ชายที่รุ่นใกล้ๆกันมา กอด ทำให้นายเกิดรู้สึกดีโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็รู้สึกผิดด้วยในคราวเดียวเพราะเป็นเพศเดียวกัน นายก็เลยแอบคิดว่า นายคงชอบผู้ชายจริงๆ และในที่สุดก็เลยเป็นเกย์" ผมทวนเพื่อสะท้อนให้เอกได้ยินอดีต

“เอก แม้วันนี้นายจะเป็นเกย์ แต่อดีตนายไม่ใช่ นายก็เป็นแค่เด็กชาย ที่ต้องการความรักความอบอุ่นจากพ่อ นายโหยหาสิ่งนั้นมาจนโต นายไม่จำเป็นต้องไปหาความรักจอมปลอมจากเซ็กซ์ หรือจากอะไร แค่มอบความรักให้คนอีกคน นายก็จะได้ความรักนั้นกลับมาแล้ว ความรักจากเพื่อนก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย และถ้านายหาความรักจากสังคมที่มีเซ็กส์นำ การคบหากันเพื่อนอนด้วยกันแค่ข้ามคืน นายจะจมอยู่กับวังวนนั้น ถอยลงๆทุกวัน

คนเหล่านั้นไม่มีสติ รักแรง แค้นแรง แล้วนายจะเอาพลังชีวิตที่ไหน สร้างสรรค์การเรียน การทำงานของนาย นายมาเรียนปริญญาเอก ไม่ใช่ทำตัวยังไงก็ได้แล้วจะจบ หากหากัลยาณมิตรได้แม้เพียงสักคน มอบความรักความห่วงใยให้กันได้ นายก็จะไม่เหงาอีกต่อไป ไม่ต้องไปควานหาความรักมาเติมเต็มอีก และลองไปคิดดูนะ นายไม่จำเป็นต้องเป็นเกย์ เพียงเพราะการเข้าใจผิดของตัวนายเองในวัยเด็ก...”

“แล้วก็ เราไม่ได้บอกว่า การเป็นเพศที่สามไม่ดี แต่ถ้านายต้องการกลับมาเป็นชาย ก็สามารถทำได้นับตั้งแต่วันนี้ นายสร้าง สภาวะความเป็นชาย ได้โดยใช้เวลาไม่นาน นายเพียงรักษาศีลให้ตั้งมั่น มีความมั่นคงในจิตใจ มีระเบียบวินัย สร้างสรรค์ริเริ่มเป็นผู้นำในการทำความดี ชักชวนหมู่มิตรสหายเข้าร่วมกิจกรรมทำบุญ ทั้งมีเจตจำนงอันแรงกล้า ที่จะก่อการนั้นๆให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี กุศลเจตนาเหล่านี้จะทำให้นายมีจิตใจเข้มแข็ง มั่นคง มุ่งมั่น เป็นคุณสมบัติและเสน่ห์แห่งความเป็นชาย ที่แม้ผู้ชายบางคนยังมีน้อยหรือหาไม่ได้เลย"

“เรือรบ ขอบใจนายมาก ไม่เคยมีเพื่อนคนไหนพูดกับเราแบบนี้มาก่อนเลย ที่ผ่านมา คนที่เข้ามาหาเราก็เรื่องอย่างว่าทัั้งนั้น แต่วันนี้ นายทำให้เราตาสว่างจริงๆ ถ้ามีนายเป็นกัลยาณมิตรแบบนี้แค่เพียงคนเดียว เราก็ไม่กลัวแล้วที่จะเหงาหรือขาดแคลนความรัก" เอกยิ้มและหลับตาลงอย่างมีความสุขบนเตียง เคียงข้างผม โดยที่ความเป็นเพื่อน บนหนทางสว่างแห่งธรรม ไม่อาจชักนำจิตใจกระตุ้นให้เขาคิดเกินเลย ต่ำลงไปได้แม้แต่นิดเดียว นับถึงนาทีนี้ เรารู้จักกันมาไม่ถึงหนึ่งวัน แต่อาจใกล้ชิดสนิทกว่าคนรู้จักกันมาหลายปี

สำหรับความรู้สึกของผม แม้เมื่อคืนผมนอนกับเกย์ แต่ก็เป็นคืนที่สำคัญคืนหนึ่งในชีวิต ที่ได้รับเกียรติอย่างสูงจากเพื่อนใหม่ ให้รับรู้เรื่องราวละเอียดอ่อนในชีวิตของเค้าอย่างเปิดเผย ได้รับการยอมรับให้เป็นกัลยาณมิตรผู้นำพาเพื่อนให้พ้นห้วงทุกข์ ได้ทบทวนความหมายของความเป็นชาย ทำไมแม้มีคนเข้าใจผมผิดแต่ใจผมไม่เคยสั่นคลอน และท้ายสุดมีความรักให้เพื่อนโดยไม่มีเงื่อนไข ไปพ้นสภาวะร่างกาย เพศ ได้สัมผัสจิตใจอันห่อหุ้มความดีงาม และพิสูจน์ความจริงแท้แห่งธรรม การรักษาศีล ที่นำพามวลสัตว์โลกขึ้นสู่ทางสีขาวบริสุทธิ์ สว่าง ได้อย่างมิอาจหาสิ่งใดเปรียบปาน







Create Date : 18 มกราคม 2553
Last Update : 18 มกราคม 2553 13:40:27 น. 5 comments
Counter : 36590 Pageviews.

 
อืมม์...ก็เข้าท่า แปลกดี

ชิงสอนศีลธรรมก่อนถูกปล้ำ

คงใช้ได้กับแค่บางคนเน้อะ



โดย: Dingtech วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:14:18:37 น.  

 
ดีจัง...เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามากมาย


โดย: Adija วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:14:54:49 น.  

 
นานาจิตตัง..ประสบการณ์นี้ดีหรือเปล่าอยู่ที่เราค่ะ...ถ้าสบายใจและไม่เดือนร้อนใคร..เป็นสิ่งที่ดีค่ะ


โดย: auau_pi วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:15:47:15 น.  

 
เป็นเรื่องที่เยี่ยมยอดมาก ขอบคุณที่แบ่งปัน


โดย: ============> (seasiri ) วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:21:16:00 น.  

 
คิดได้ละเอียดอ่อนดีจังค่ะ ชอบ


โดย: กันย์นลิน วันที่: 18 มกราคม 2553 เวลา:23:44:40 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

navyob
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add navyob's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.