ความเชื่อ : สภาพจิตใจย่ำแย่เกิดขึ้นจากลักษณะนิสัยส่วนตัว
ข้อเท็จจริง : ไม่ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยของคนนั้นเพียงอย่างเดียวที่เป็นสาเหตุสำคัญ แต่มาจากสภาพร่างกาย จิตใจและสังคมรอบๆ ตัวด้วย เคยมีการศึกษาและพบว่าปัจจัยทางพันธุกรรมและชีววิทยามีผลต่ออาการจิตเภท อาการซึมเศร้าและติดแอลกอฮอล์เรื้อรัง นอกจากนี้ปัจจัยทางสังคมก็ส่งผลกระทบเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การสูญเสียคนรักหรือหน้าที่การงาน หรือปัจจัยอื่นๆ ก็นำไปสู่ความผิดปกติทางจิตใตอื่นๆ ได้ ทั้งนี้รวมถึงการเลี้ยงดูและเติบโตในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ เช่น ครอบครัวแตกแยก ความรุนแรงภายในบ้าน เหล่านี้ล้วนแต่มีผลกระทบต่อสภาพจิตใจทั้งสิ้น

ความเชื่อ : คนที่มีแนวโน้มป่วยทางจิตหรือเก็บกดอารมณ์มักจะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
ข้อเท็จจริง : จากการศึกษาของสถาบันสุขภาพจิตแห่งสหรัฐอเมริการายงานว่า ประสิทธิภาพการทำงานของคนที่มีปัญหาสภาพจิตใจ ไม่ได้แตกต่างมากหรือน้อยกว่าคนปกติ ยิ่งไปกว่านั้นจากการสอบถามนายจ้างพบว่า ในแง่ของแรงจูงใจ คุณภาพการทำงาน ตำแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบ การให้ความร่วมมือ และทำงานตรงเวลา คนที่มีปัญหาด้านจิตใจอาจมีมากกว่าหรือสูงกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ

ความเชื่อ : คนที่มีปัญหาด้านจิตใจไม่สามารถทนต่อความเครียดระหว่างการทำงานได้
ข้อเท็จจริง : ไม่แน่เสมอไป เพราะคนแต่ละคนมีความอดทนหรือสามารถเผชิญต่อความเครียดที่แตกต่างกัน ในเรื่องทำงานก็เช่นกัน ความเครียดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือชนิดของงานที่รับผิดชอบด้วย อย่างไรก็ตามการทำงานให้ประสบผลสำเร็จเกิดจากความลงตัวระหว่างความต้องการของคนทำงานเอง นายจ้าง สภาพแวดล้อมการทำงานและผลงาน ไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีปัญหาด้านจิตใจหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นไปได้ว่าความเครียดอาจส่งผลกระทบต่ออาการหรือกระตุ้นให้อาการแย่ลง เช่น คนเป็นโรคหัวใจ คนที่มีปัญหาด้านจิตใจ

ความเชื่อ : คนที่มีแนวโน้มป่วยทางจิตหรือเก็บกดอารมณ์อาจเป็นอันตรายและก่อความรุนแรง
ข้อเท็จจริง : คนทั่วไปมักกังวลหรือมีทัศนคติในแง่ลบต่อคนที่มีแนวโน้มป่วยทางจิตหรือเก็บกดอารมณ์ว่าจะเป็นอันตรายต่อตนเองหรือคนรอบข้าง สาเหตุส่วนหนึ่งของทัศนคติที่ไม่ดีมาจากสื่อที่นำเสนอข่าว หรือเหตุการณ์ที่มีต้นเหตุมาจากผู้ผิดปกติทางจิต ทำให้เกิดทัศนคติแง่ลบและสร้างความเข้าใจที่ผิด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่อันตรายหรือมีแนวโน้มก่อความรุนแรง หากเปรียบเทียบเป็นสัดส่วนถือว่าน้อยมาก