ความเป็นมา และ ข้อมูลทั่วไป ของ สาธารณรัฐอินเดีย ( Republic of India)
สาธารณรัฐอินเดีย
Republic of India

ข้อมูลทั่วไป ที่ตั้ง: ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้ ทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฏาน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน ทิศตะวันออกติดบังกลาเทศ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดพม่า ทิศตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงใต้ติดมหาสมุทรอินเดีย
พื้นที่ : 3,287,590 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก
เมืองหลวง : กรุงนิวเดลี (New Delhi)
เมืองสำคัญ : มุมไบเป็นศูนย์กลางทางการค้า การเงิน และการคมนาคม เป็นเมืองท่าสำคัญ และเป็นแหล่งผลิตภาพยนตร์ฮินดีที่ใหญ่ที่สุด
: บังกาลอร์ เป็นเมืองศูนย์กลางของอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อิเล็กทรอนิกส์ การบิน และอวกาศ
: เจนไนเป็นศูนย์กลางธุรกิจในภาคใต้ของอินเดีย อุตสาหกรรมหลัก คือ อุตสาหกรรมรถยนต์
: กัลกัตตา เป็นเมืองหลวงเก่าของอินเดีย และเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2
ภูมิอากาศ : มีสภาพภูมิอากาศแตกต่างกันอย่างมากเนื่องจากมีพื้นที่กว้างใหญ่ ตอนเหนืออยู่ในเขตหนาว ขณะที่ตอนใต้อยู่ในเขตร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยในที่ราบช่วงฤดูร้อน ประมาณ 35 องศาเซลเซียส และฤดูหนาว ประมาณ 10 องศาเซลเซียส
ประชากร : 1,102 ล้านคน มากเป็นอันดับ 2 ของโลก (2548)
เชื้อชาติ : อินโด-อารยัน ร้อยละ 72 ดราวิเดียน ร้อยละ 25 มองโกลอยด์และอื่นๆ ร้อยละ 3
ภาษา : ภาษาฮินดีเป็นภาษาที่ใช้โดยประชาชนส่วนใหญ่ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในวงราชการและธุรกิจ นอกจากนั้นยังมีภาษาท้องถิ่นอีกนับร้อยภาษา แต่ที่ใช้กันมากมี 14 ภาษา คือ อูรดู เตลูกู เบงกาลี ทมิฬ และปัญจาบี
ศาสนา : ฮินดู ร้อยละ 81.3 มุสลิมร้อยละ 12 คริสต์ร้อยละ 2.3 ซิกข์ร้อยละ 1.9 อื่น ๆ (พุทธ และเชน) ร้อยละ 2.5
วันสำคัญ : วันชาติ (Republic Day) วันที่ 26 มกราคม
: วันเอกราช (Independence Day) วันที่ 15 สิงหาคม
การศึกษา : อัตราการรู้หนังสือโดยเฉลี่ยร้อยละ 59.5 (ชาย ร้อยละ 70.2 หญิง ร้อยละ 48.3)
หน่วยเงินตรา : รูปี (Indian Rupee)
1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 44.1 รูปี
GDP : 797.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2548)
รายได้เฉลี่ยต่อหัว : 724 ดอลลาร์สหรัฐ
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ : ร้อยละ 7.6 (ปี 2548)
ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ : 145 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (มกราคม 2549-เมษายน 2549)
อัตราเงินเฟ้อ : ร้อยละ 4.6 (ปี 2548)
ดุลการค้า : ขาดดุล 12.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (เมษายน 2546-มกราคม 2547)
มูลค่าการส่งออก : 98.13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2548)
มูลค่าการนำเข้า : 149.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2548)
สินค้าส่งออก : ผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรม (Engineering Goods) พลอยและอัญมณี ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์การเกษตร แร่ธาตุ เครื่องหนัง สินค้าหัตถกรรม
สินค้านำเข้า : ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ต้นทุนการผลิต ทองและเงิน ไข่มุกและพลอยต่างๆ เวชภัณฑ์และสารเคมี เหล็กและโลหะ สินแร่โลหะและเศษเหล็ก น้ำมันสำหรับบริโภค
ประเทศคู่ค้า :สหรัฐฯ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกง อังกฤษ เยอรมนี จีน ญี่ปุ่น เบลเยี่ยม
ตลาดนำเข้า : จีน สหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน ออสเตรเลีย เบลเยี่ยม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สิงคโปร์
ตลาดส่งออก : สหรัฐฯ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร เยอรมนี เบลเยี่ยม อิตาลี ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์
ระบอบการเมือง : ประชาธิปไตยระบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy)
ระบบการปกครอง : สาธารณรัฐ (Federal Republic) แบ่งเป็น 28 รัฐ และดินแดนสหภาพ (Union Territories) อีก 7 เขต
ประมุขของรัฐ : นาย Abdul Kalam ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2545
ประธานวุฒิสภา(ราชยสภา) : นาย Bhairon Singh Shekhawat รองประธานาธิบดี ทำหน้าที่ประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง (Chairman of Rajya Sabha) เข้ารับตำแหน่ง เมื่อเดือนสิงหาคม 2545
ประธานสภาผู้แทนราษฎร (โลกสภา) : นาย Somnath Chatterjee (Speaker of Lok Sabha) เข้ารับตำแหน่ง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2547
คณะรัฐบาล เข้ารับตำแหน่ง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2547
: Dr. Manmohan Singh นายกรัฐมนตรี และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
: นาย P. Chidambaram รัฐมนตรีคลัง
: นาย Kamal Nath รัฐมนตรีพาณิชย์
การเมืองการปกครอง
อินเดียเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ และกระจายอำนาจการปกครองในลักษณะสหพันธรัฐ (Federal System) แบ่งออกเป็นรัฐต่างๆ 28 รัฐ โดยล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2544 โลกสภาได้เห็นชอบร่างรัฐบัญญัติในการจัดตั้งรัฐใหม่ 3 รัฐ คือ รัฐฉัตตีสครห์ (Chattisgarh) รัฐอุตตะรันจัล (Uttaranchal) และรัฐฉรขันท์ (Jharkhand) ซึ่งแยกออกจากรัฐมัธยประเทศ อุตตระประเทศ และรัฐพิหาร ตามลำดับ และสหภาพอาณาเขตของรัฐบาลกลาง (Union Territories) อีก 7 เขต
รัฐธรรมนูญอินเดียแบ่งแยกอำนาจระหว่างรัฐบาลกลาง (Government of India) และรัฐบาลมลรัฐ (State Government) อย่างชัดเจน โดยรัฐบาลกลางดำเนินการเรื่องการป้องกันประเทศด้านนโยบายต่างประเทศ การรถไฟ การบิน และการคมนาคมอื่นๆ ด้านการเงิน ด้านกฎหมายอาญา ฯลฯ ส่วนรัฐบาลมลรัฐมีอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยและรักษากฎหมาย การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของมลรัฐ

(1) การบริหารรัฐบาลกลาง
ฝ่ายนิติบัญญัติ
ประกอบด้วย 2 สภา คือ ราชยสภา (Rajya Sabha) หรือวุฒิสภา และโลกสภา (Lok Sabha) หรือสภาผู้แทนราษฎร การตรากฎหมายต่างๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองสภา
ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติให้ราชยสภามีสมาชิก 250 คน ปัจจุบันมีสมาชิก 245 คน โดย 12 คนจะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีทุกๆ 2 ปี และอีก 233 คน มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม เป็นผู้แทนของรัฐและ Union Territories
โลกสภามีสมาชิก 545 คน โดยสมาชิก 543 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรง (530 คน มาจากแต่ละรัฐ ส่วนอีก 13 คน มาจาก Union Territories) และอีก 2 คน มาจากการคัดเลือกของประธานาธิบดี จากกลุ่มอินโด-อารยันในประเทศ ทั้งนี้มีวาระคราวละ 5 ปี เว้นเสียแต่จะมีการยุบสภา
ฝ่ายบริหาร
ประธานาธิบดี เป็นประมุขของรัฐ และเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหาร (Head of Executive of the Union) ซึ่งประกอบด้วยรองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมจากผู้แทนของทั้ง 2 สภา รวมทั้งสภานิติบัญญัติของแต่ละรัฐ ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวาระที่ 2 ได้
รองประธานาธิบดี ได้รับการเลือกตั้งทางอ้อมจากผู้แทนของทั้ง 2 สภา ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี และเป็นประธานราชยสภาโดยตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ที่มีอำนาจในการบริหารอย่างแท้จริง ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี (Council of Ministers) ซึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรี (Ministers) รัฐมนตรีที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี (Ministers of State - Independent Charge) และรัฐมนตรีช่วยว่าการ (Ministers of State) รับผิดชอบโดยตรงต่อโลกสภา
ฝ่ายตุลาการ
อำนาจตุลาการเป็นอำนาจอิสระ ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ปกป้องและตีความรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา (Supreme Court) เป็นศาลสูงสุดของประเทศ ผู้พิพากษาประจำศาลฎีกา มีจำนวนไม่เกิน 25 คน แต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ระดับรัฐ มีศาลสูง (High Court) เป็นศาลสูงสุดของแต่ละรัฐ รองลงมาเป็น Subordinate Courts ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ
(2) การบริหารระดับรัฐ
โครงสร้างของฝ่ายบริหารในแต่ละรัฐ ประกอบด้วยผู้ว่าการรัฐ (Governor) เป็นประมุข ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี รัฐบาลมลรัฐ (State Government) ประกอบด้วยมุขมนตรี (Chief Minister) เป็นหัวหน้า และคณะรัฐมนตรีประจำรัฐ (State Ministers) ทั้งนี้ รัฐบาลแห่งรัฐจะมาจากพรรคการเมือง หรือได้รับแต่งตั้งจากสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ (Legislative Assembly)

ประวัติศาสตร์โดยสังเขปอินเดียมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสต์กาล ชาวดราวิเดียน (Dravidian) และชาวอารยัน (Aryan) ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินเดีย โดยได้สร้างอารยธรรมอันเป็นพื้นฐานของอารยธรรมฮินดูที่มีความคงทนต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ เช่น ศาสนาฮินดู ภาษาสันสกฤต และระบบ ชั้นวรรณะ อารยธรรมอารยันหรือฮินดูรุ่งเรืองมาจนถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 แต่มีระยะหนึ่งที่อารยธรรมพุทธรุ่งเรืองในอินเดีย คือ ตั้งแต่พุทธกาลถึงราว 3 ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราชในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
ต่อมาอารยธรรมอิสลามได้เริ่มขยายอิทธิพลเข้ามาในอินเดียตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 โดยพ่อค้ามุสลิมจากตะวันออกกลาง และจักรวรรดิอาหรับได้ส่งกองทัพมาโจมตีแคว้นซินด์ (ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน) จักรวรรดิที่มีความยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น คือ จักรวรรดิโมกุล (คริสต์ศตวรรษที่ 16 -18) เป็นสมัยที่มีการแพร่ขยายอิทธิพลวัฒนธรรมโมกุลอย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านการปกครอง ภาษา ศิลปะ สถาปัตยกรรม และศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ดี ในสมัยของพระเจ้า Aurangzeb ซึ่งเป็นผู้เคร่งศาสนาอิสลาม ได้ออกกฎหมายที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวฮินดูและมุสลิม และเป็นเหตุให้ชาวอินเดียต่อต้านอำนาจของจักรวรรดิ เมื่อสิ้นอำนาจของพระเจ้า Aurangzeb ในปี 2250 จักรวรรดิโมกุลก็ค่อยๆ แตกแยกและเสื่อมลง เป็นโอกาสให้อังกฤษเข้ามามีอำนาจแทนที่ และอังกฤษเริ่มเข้าไปมีอิทธิพลในอนุทวีปตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อค้าขายพร้อม ๆ กับครอบครองดินแดนและแทรกแซงในการเมืองท้องถิ่น จนกระทั่งอินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ในปี 2420 โดยมีสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียแห่งอังกฤษทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งอินเดีย หลังจากการรณรงค์ต่อสู้กับการปกครองของอังกฤษมาเป็นเวลานาน ภายใต้การนำของมหาตมะ คานธี อินเดียจึงได้รับเอกราชและร่วมเป็นสมาชิกอยู่ภายใต้เครือจักรภพ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2490 โดยยังมีพระมหากษัตริย์ของอังกฤษเป็นประมุข และทรงแต่งตั้งข้าหลวงใหญ่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ ต่อมาในวันที่ 26 มกราคม 2493 ได้มีการสถาปนาสาธารณรัฐอินเดีย โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และนายเยาวหราล เนห์รู ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย

นโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ด้านการต่างประเทศ
1. ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ (Independent Foreign Policy) เน้นผลประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก ส่งเสริมความเท่าเทียมกันในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา และส่งเสริมหลักการ Multi-Polarity
2. ให้ความสำคัญสูงสุดกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิด (Neighbourhood Diplomacy) คือ ประเทศสมาชิกของสมาคมความร่วมมือแห่งภูมิภาคเอเชียใต้ (South Asia Association for Regional Cooperation : SAARC) 7 ประเทศ ได้แก่ บังคลาเทศ ภูฏาน เนปาล มัลดีฟส์ ปากีสถานและศรีลังกา
3. นอกจากประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม SAARC แล้ว ยังให้ความสำคัญกับ อัฟกานิสถาน อิรัก อิหร่าน และอาเซียน ซึ่งถือเป็นประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดเช่นกัน โดยให้ความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายมองตะวันออก (Look East) อย่างต่อเนื่อง
4. ส่งเสริมความสัมพันธ์กับจีน โดยเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเรื่องพรมแดน
5. กระชับความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้วกับรัสเซียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านการทหารและเทคโนโลยีด้านอวกาศและนิวเคลียร์
6. ขยายความร่วมมือกับสหรัฐ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
7.เพิ่มความสำคัญต่อความสัมพันธ์กับตะวันออกกลาง โดยคำนึงถึงรากฐานความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดกับอิสราเอลโดยเฉพาะด้านการทหาร
8. แสดงบทบาทเป็นประเทศผู้ให้ต่อภูมิภาคแอฟริกา โดยจัดตั้งกลุ่ม Team-9 โดยอินเดียเป็นศูนย์กลางและให้ความช่วยเหลือภายใต้กรอบ UNDP แก่ประเทศแอฟริกาตะวันตกอีก 8 ประเทศ คือ Bukina Faso, Cote d’Ivoire, Ivory Coast, Equatorial Ginea, Ghana, Ghinea Bissau, Mali และ Senegal ในด้านความมั่นคงทางอาหาร การขจัดความยากจน การพัฒนาการเกษตร โดยคำนึงถึงประชาชนเชื้อสายอินเดียที่อาศัยในภูมิภาคนี้เป็นจำนวนมาก

สถานการณ์ที่สำคัญ
การเมืองภายใน
พรรค Indian National Congress เป็นฝ่ายได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุด (ครั้งที่ 14) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2547 อย่างพลิกความคาดหมาย และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสม (14 พรรคพันธมิตร) เรียกว่า The United Progressive Alliance (UPA) โดยมี Dr. Manmohan Singh เป็นนายกรัฐมนตรีชาวซิกข์คนแรกของอินเดีย
ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นประธานโลกสภา (สภาผู้แทนราษฎร) คือ นาย Somnath Chatterjee ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ (Communist Party of India (Marxist) ) คนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว นาย Rajnath Singh ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค BJP เป็นผู้นำฝ่ายค้านและพันธมิตรซึ่งเรียกว่า National Democratic Alliance (NDA) ประกอบด้วยพรรค BJP เป็นแกนนำร่วมกับพรรคอื่นๆ อีก 8 พรรค
การบริหารประเทศครบรอบ 2 ปี ของรัฐบาลนาย Manmohan Singh (พ.ค. 2549)
รัฐบาลซึ่งเป็นรัฐบาลผสม (United Progressive Alliance – UPA) ประกอบด้วยพรรคพันธมิตรต่างๆ 19 พรรค และมีพรรค Congress เป็นแกนนำ แถลงในโอกาสครบรอบ 2 ปีว่า สามารถพัฒนาประเทศตามแผน National Common Minimum Programme ได้อย่างดี โดยสามารถแก้ปัญหาความมั่นคงภายในประเทศ ลดปัญหาความรุนแรงในสังคมและความขัดแย้งระหว่างชนชั้นวรรณะ ดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในการพัฒนาและส่งเสริมบทบาทของประชาชน ส่งเสริมการตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐบาลเพื่อสร้างธรรมาภิบาล ให้โอกาสทางการศึกษาแก่ประชาชนที่ด้อยโอกาส และประสบผลสำเร็จในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศมหาอำนาจ และประเทศอื่นๆ ที่เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลนี้ได้ผ่านพ้นการบริหารประเทศครบสองปีในบรรยากาศไม่ดีนัก เนื่องจากแรงกดดันของพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและพรรคร่วมรัฐบาลที่เฝ้าตรวจสอบและโจมตีนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ตลอดเวลาทำให้บางโครงการต้องสะดุดลง โดยพรรค BJP ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้านกลับไม่มีบทบาทในการกดดันรัฐบาลมากนัก เนื่องจากมีปัญหาภายในพรรค BJP พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายได้โจมตีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในกิจการค้าปลีก (FDI in retail sectors) กิจการประกันภัย กิจการธนาคาร และการปรับปรุงท่าอากาศยาน และยังโจมตีการดำเนินนโยบายกับสหรัฐฯ และอิหร่าน นอกจากนี้ รัฐบาลยังล้มเหลวในการแก้ปัญหาราคาสินค้าและน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ปัญหาหนี้สินของเกษตรกร และล่าสุดโดนโจมตีอย่างหนักหลังรัฐบาลประกาศขึ้นโควต้าที่นั่งในสถาบันการศึกษาชั้นสูงแก่ชนชั้นล้าหลังเป็นร้อยละ 27 (เดิมร้อยละ 22.5)
กระบวนการปรับความสัมพันธ์กับปากีสถาน
อินเดียกับปากีสถานต่างอ้างสิทธิเหนือดินแดนแคชเมียร์ เนื่องจากผู้ปกครองแคว้นเป็นชาวฮินดู และเลือกที่จะอยู่กันอินเดีย แต่ประชาชนส่วนมากเป็นชาวมุสลิม ซึ่งมีความเหมาะสมกว่าที่จะอยู่กับปากีสถานซึ่งเป็นประเทศมุสลิม อินเดียยือนกรานว่าแคว้นแคชเมียร์เป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย และกรณีพิพาทจะต้องได้รับการแก้ไขในกรอบทวิภาคีเท่านั้น จึงปฏิเสธบทบาทจของประเทศ / องค์การที่สามโดยเด็ดขาดขณะที่ปากีสถานต้องการให้มีการลงประชามติ และต้องการจะ “Internationalize” ปัญหา แคชเมียร์ โดยประสงค์ให้นานาประเทศ / องค์การที่สามเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย
ความสัมพันธ์สองประเทศมีพัฒนาการดีขึ้น เมื่ออดีตนรม. Atal Bihari Vajpayee และปธน. Musharraf ได้ประกาศกระบวนการเจรจา Composite Dialogue ภายหลังการประชุมสุดยอด SAARC (ม.ค. 2547) ที่กรุงอิสลามาบัด ซึ่งเป็นการรื้อฟื้นการเจรจาอีกครั้งภายหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายที่รัฐสภาอินเดียในปี 2544 โดย Composite Dialogue เป็นกระบวนการเจรจาที่มี roadmap ระบุเงื่อนเวลาการเจรจาอย่างชัดเจนครอบคลุมทุกประเด็น เช่น การแก้ไขปัญหาเขตแดนโดยเฉพาะปัญหาในแคชเมียร์ (ปากีสถานให้ความสำคัญ) เรื่องการก่อการร้าย (อินเดียให้ความสำคัญ) กระบวนการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และการส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชนสู่ประชาชน ขณะนี้ได้เจรจามาสามรอบแล้ว และมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เหตุระเบิดที่มุมไบ เกือบพร้อม ๆ กัน 7 แห่งต้นเดือน ก.ค. 2549 ที่มีผู้บาดเจ็บ 700 คน และเสียชีวิต 200 คน นั้น อินเดียเชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้าย Lashkar-e-Taiba (LeT) ที่มีฐานอยู่ในเขตแคชเมียร์ของปากีสถาน ที่มีหน่วยข่าวกรอง Inter-Service Intelligence (ISI) ของปากีสถานให้การสนับสนุนอยู่ โดยอาจจะร่วมมือกับขบวนการ Islamic Movement of India (SIMI) ซึ่งเป็นขบวนการผิดกฎหมายในอินเดีย แม้กลุ่ม LeT จะออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายดังกล่าวตั้งแต่ต้น แต่จากการที่เชื่อมั่นว่าปากีสถานอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว กอปรกับกระแสความรู้สึกต่อต้านปากีสถานของประชาชนชาวอินเดียที่มีอยู่ขณะนี้ ทำให้ทางการอินเดียได้แจ้งขอเลื่อนการเจรจาระดับปลัด กต. ของทั้งสองฝ่าย จากเดิมที่จะมีขึ้นในกรุงนิวเดลีในวันที่ 21 ก.ค. ออกไปก่อนจนกว่าจะสามารถกำหนดวันใหม่ได้ ซึ่งการเจรจาระดับปลัด กต. นี้ก็เพื่อทบทวนความคืบหน้าการเจรจา Composite Dialogue รอบที่สามที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเร็วๆ นี้ กับเพื่อกำหนดวันสำหรับการเจรจาในสาขาต่างๆ สำหรับรอบที่สี่ต่อไป ทั้งนี้ ความตึงเครียดได้ลดลงเล็กน้อย เมื่อ ปลัด กต. สองฝ่ายมีโอกาสหารือกันในระหว่างการประชุม SAARC ระดับ ปลัด กต. ที่กรุงธากา เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2549 โดยสองฝ่ายเห็นร่วมกันที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการระเบิดที่มุมไบ แต่ยังไม่ได้ตกลงเรื่องการประชุม Composite Dialogue

เศรษฐกิจการค้า
นโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน
1) อนุรักษ์ ปกป้อง และส่งเสริมความสมัครสมานสามัคคี และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม
2) ทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อยู่ในระดับ 7-8 % อย่างมีเสถียรภาพ
3) ส่งเสริมสวัสดิการและความอยู่ดีกินดีของเกษตรกรและแรงงาน
4) ส่งเสริมบทบาทของสตรี ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และกฏหมาย
5) ให้โอกาสอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะการศึกษาและการจ้างงาน แก่ชาวอินเดีย วรรณะต่ำและชนกลุ่มน้อย
6) ส่งเสริมบทบาทภาคเอกชน นักวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และวิชาชีพอื่นๆ ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญของสังคม

สภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจ
อินเดียเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำ ประชากรกว่าร้อยละ 60 ยังประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปัญหาความยากจนและการว่างงานเป็นปัญหาสำคัญ เนื่องจากการปิดประเทศและดำเนินนโยบายปกป้องอุตสาหกรรมภายในมานาน อย่างไรก็ดี อินเดียเริ่มเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ เมื่อปี 2534 เนื่องจากต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง จุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งส่งผลให้มีการลงทุนจากต่างชาติในกิจการด้านไฟฟ้า พลังงาน และอุตสาหกรรมต่างๆ นอกจากนี้ ได้เปิดเสรีด้านโทรคมนาคมและการสื่อสารในปี 2543 ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของอินเดียดีขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันอินเดียเป็นตลาดใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างยิ่งจากนานาชาติ
ในปี 2547 เศรษฐกิจอินเดียเติบโตเป็นอันดับที่ 12 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในเอเชียรองจากญี่ปุ่นและจีน โดยมี GDP 505.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เศรษฐกิจอินเดียไตรมาสสุดท้ายของ ปี 2546 เติบโตถึงร้อยละ 10 เนื่องจากเก็บเกี่ยวผลิตผลทางการเกษตรได้เต็มที่ การส่งออกเติบโตถึงร้อยละ 10 รายได้จากการลงทุนโดยตรงของต่างชาติมีจำนวน 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราดอกเบี้ยต่ำลง อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับร้อยละ 4.91 ตลาดเงินทุนแข็งแกร่ง เงินทุนสำรองต่างประเทศสูงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

การสร้างเมืองเทคโนโลยีสารสนเทศเเห่งอินเดีย (Silicon Valley)อินเดียมีความเจริญก้าวหน้าในด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นอย่างยิ่ง โดยเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา สร้างรายได้จาก 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2534 เป็น 17.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2545 ซึ่งเป็นมูลค่าการส่งออกซอฟต์แวร์และบริการถึง 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2547 ทั้งนี้ เพราะอินเดียมีประชากรร้อยละ 6 ที่มีความเป็นอยู่และการศึกษาดีในระดับนานาชาติ และมีสถาบันการศึกษาคุณภาพสูงที่เน้นการผลิตบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ อินเดียยังเห็นว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เป็นอุตสาหกรรมสะอาดปราศจากมลพิษ เป็นการสร้างทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมีการลงทุนต่ำและมีมูลค่าเพิ่มในการส่งออกสูงมาก ประกอบกับการสนับสนุนอย่างจริงจังของภาครัฐ ทั้งในระดับรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น มีการจัดตั้งองค์กรเฉพาะของภาครัฐ ที่ทำหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาการส่งออกซอฟต์แวร์ คือ Software Technology Parks of India (STPI)
รัฐกรณาฏกะ (Karnataka) เป็นรัฐที่มีศักยภาพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสูงที่สุดของประเทศ โดยเฉพาะที่เมืองบังกาลอร์ซึ่งเป็นเมืองหลวง โดยมีบริษัทชั้นนำกว่า 30 บริษัท ได้ชื่อว่าเป็น Silicon Valley แห่งอินเดีย ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐอินเดีย
ด้านการทูต
ไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอินเดีย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2490 ขณะนี้ไทยมีสถานเอกอัครราชทูตตั้งอยู่ที่กรุงนิวเดลี และมีสถานกงสุลใหญ่อีก 3 แห่ง ที่เมืองกัลกัตตา เมืองมุมไบ และเมืองเจนไน ปัจจุบัน นายจีระศักดิ์ ธเนศนันท์ ดำรงตำเเหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐอินเดีย โดยเข้ารับตำเเหน่ง เมื่อปี พ.ศ. 2546 ส่วนอินเดียมีสถานเอกอัครราชทูตที่กรุงเทพฯ และมีสถานกงสุลใหญ่ที่เชียงใหม่ และกำลังจะเปิดที่สงขลา โดยมีนายวิเวก กาฏชู เป็นเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย และเข้ารับต่ำแหน่งเมื่อ พฤษภาคม 2548

ด้านการเมืองในช่วงสงครามเย็นและสงครามกัมพูชา ความสัมพันธ์ไทย-อินเดียค่อนข้างห่างเหิน เนื่องจากไทยเห็นว่าอินเดีย (ภายใต้การนำของนางอินทิรา คานธี) มีความใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียต และรับรองรัฐบาลเฮง สัมริน ในขณะที่ไทยเป็นสมาชิก SEATO ซึ่งอินเดียเห็นว่าไทยมีความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรกับปากีสถาน อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ ไทย-อินเดียใกล้ชิดขึ้นในปลายทศวรรษที่ 1980 เมื่ออินเดียเริ่มดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในปี 2534 และดำเนินนโยบายมองตะวันออก (Look East Policy) ที่ให้ความสำคัญกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายมองตะวันตก (Look West Policy) ของไทย ที่ให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจึงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น โดยมีการเปลี่ยนแปลงการเยือนระดับสูงหลายครั้ง ในช่วงปี 2544-2546 ในสมัยรัฐบาลพรรค BJP ของอดีตนายกรัฐมนตรี Vajpayee และรัฐบาลชุดใหม่ของอินเดียภายใต้การนำของพรรคคองเกรส ได้แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนว่าต้องการกระชับความสัมพันธ์กับไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น กลไกความร่วมมือทวิภาคีที่สำคัญ คือ คณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission for Bilateral Cooperation) จัดตั้งเมื่อปี 2532 และมีการประชุมไปทั้งหมดแล้ว 4 ครั้ง นอกจากนี้ จากผลการเยือนอินเดียของนรม. เมื่อ 3 มิ.ย. 2548 สองฝ่ายได้จัดตั้งกลไกคณะกรรมการร่วม (Joint Working Group) ระดับอธิบดี เพื่อติดตามและเร่งรัดความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ครอบคลุมทุกสาขา และเพื่อเสริมกลไกความร่วมมือคณะกรรมาธิการร่วม (JC) ที่มีอยู่เดิมแล้ว โดยได้มีการประชุมครั้งที่ 1 ไปเมื่อวันที่ 9-10 มกราคม 2549

ด้านความมั่นคงไทยและอินเดียมีความร่วมมือด้านความมั่นคงในกรอบคณะทำงานร่วมด้านความมั่นคง ไทย-อินเดีย (Thailand-India Joint Working Group on Security) ฝ่ายไทยมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหัวหน้าคณะ ฝ่ายอินเดียมีปลัดกระทรวงการต่างประเทศซึ่งรับผิดชอบงานด้านความมั่นคงเป็นหัวหน้าคณะ มีการประชุมกันแล้ว 4 ครั้ง เมื่อเดือนพฤษภาคม ธันวาคม 2546 สิงหาคม 2547 และตุลาคม 2548 โดยไทยจะเป็นเจ้าภาพในการประชุมครั้งที่ 5 ในช่วงเดือนต.ค. - พ.ย. 2549 นี้

ด้านเศรษฐกิจ
ไทยให้ความสำคัญต่อการดำเนินความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอินเดียอย่างยิ่ง โดยคำนึงถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดีย ทั้งในแง่ของการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและขนาดของตลาด ซึ่งมีประชากรระดับกลาง-สูง ที่มีกำลังซื้อสูง ประมาณ 300 ล้านคน ตลอดจนความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลไกที่สำคัญได้แก่ คณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee) ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส จัดตั้งเมื่อปี 2532 มีการประชุมครั้งล่าสุด เมื่อเดือนกันยายน 2546

การค้าการค้าไทย-อินเดียในปี 2548 มีมูลค่า 2,807.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 1.23 ของมูลค่าการค้าไทยต่อโลก เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.01 ไทยส่งออก 1,531.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากอินเดีย 1,275.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยได้ดุลครั้งแรกในปี 2548 มูลค่า 255.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.ค. 2549 มีมูลค่า 1,786.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยส่งออก 905.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 881.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2548 อินเดียเป็นคู่ค้าลำดับที่ 19 ของไทย และมูลค่าการลงทุนของไทยในอินเดียเป็นลำดับที่ 3 ในกลุ่มอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย

การจัดตั้งเขตการค้าเสรี ไทย-อินเดีย (Free Trade Area : FTA)
ไทยและอินเดียได้ร่วมลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรี ไทย-อินเดีย เมื่อเดือนตุลาคม 2546 ในระหว่างการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีอินเดีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญที่จะขจัดอุปสรรคทางการค้าและช่วยขยายการค้าระหว่างกัน นอกจากนี้ เขตการค้าเสรียังจะดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติด้วย สาระสำคัญของกรอบความตกลงฯ คือ
1) เริ่มการเจรจาการค้าสินค้าในเดือนมกราคม 2547 ให้แล้วเสร็จเดือนมีนาคม 2548 และกำหนดเปิดเสรีลดภาษีเหลือ 0 ภายในปี 2553
2) ให้ทยอยเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุนในสาขาที่มีความพร้อมก่อน โดยเริ่มเจรจาเดือนมกราคม 2547 และให้เสร็จภายในเดือนมกราคม 2549
3) สินค้าเร่งรัดการลดภาษี (Early Harvest Scheme : EHS) 82 รายการ เริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 1 กันยายน 2547 โดยจะเริ่มลดภาษีลง 50% จากอัตราภาษี ณ วันที่ 1 มกราคม 2547 จากนั้นวันที่ 1 กันยายน 2549 จะลดภาษีลง 75% และในวันที่ 1 กันยายน 2550 ลดลง 100% หรือภาษีเป็น 0

การลงทุนในปี 2548 (ม.ค.-ก.ย.) ไทยลงทุนในอินเดียมูลค่ารวม 192 ล้านบาทในสาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว นอกจากนั้น มีกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปลงทุนในเจนไน บริษัท Delta Electronic, Stanley Electric Company และ Stanley Automative ในกัวร์กาวน์ (Gurgaon) ธนาคารกรุงไทยในมุมไบ และมีการลงทุนร่วมระหว่าง Thai Summit กับ Neel Auto โดยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โครงการของอินเดียในไทยได้รับการอนุมัติมี 106 โครงการ มีมูลค่า 38,471.8 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนขนาดเล็กและกลาง โครงการส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมเบา สาขาเคมีภัณฑ์ และกระดาษ สาขาอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และสาขาเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร ในปี 2548 โครงการลงทุนจากอินเดียที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน มีจำนวน 16 โครงการ ลดลง 3 โครงการ จากปี 2547 ในแง่มูลค่าการลงทุนมีการลงทุนทั้งสิ้น 1,105.9 ล้านบาทจากในปี 2547 โครงการส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในสาขาเคมีภัณฑ์และกระดาษ และสาขาอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยปัจจุบันบริษัท Tata ได้เข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมรถปิกอัพและอุตสาหกรรมเหล็กที่ไทยแล้ว

การท่องเที่ยว
ตลาดนักท่องเที่ยวอินเดียเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยเป็นตลาดใหญ่อันดับที่ 14 เมื่อเทียบกับตลาดขาเข้าจากประเทศอื่นๆ ของไทย และมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 2.05 ชาวอินเดียนิยมมาท่องเที่ยวที่ไทยเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ โดยในปี 2545 มีจำนวน 253,110 คน คิดเป็นร้อยละ 5 ของนักท่องเที่ยวอินเดียทั้งหมด โดยไทยมีเป้าหมายเพิ่มนักท่องเที่ยวอินเดียเป็น 3 แสนคนในปี 2547 โดยเน้นนักท่องเที่ยวตลาดบน ซึ่งมีจำนวนกว่า 100 ล้านคน และมีเป้าหมายให้มาใช้บริการ ด้านสุขภาพ การพักผ่อนหย่อนใจ ธุรกิจ/การประชุมสัมมนา สำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปอินเดีย ประมาณ 18,000 คนต่อปี ส่วนใหญ่เพื่อไปเยี่ยมชมสังเวชนียสถาน หรือเพื่อการศึกษา

ด้านการบินเมื่อเดือนตุลาคม 2546 อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย (นาย Vajpayee) ประกาศว่าจะดำเนินนโยบายเปิดน่านฟ้าเสรี (Open Skies Policy) โดยอินเดียให้สิทธิไทยบินไป เดลี กัลกัลตา เจนไน มุมไบ 7 เที่ยวต่อสัปดาห์ และให้บินไปเมืองท่องเที่ยวอีก 18 เมือง โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยวบิน โดยมีเงื่อนไขคือไม่ให้ Fifth Freedom Rights (ในการบินต่อไปยังจุดอื่น) และให้สายการบินทำความตกลงทางพาณิชย์ (มิใช่ให้สิทธิบินเสรีโดยอัตโนมัติ) ในขณะที่ไทยให้สิทธิอินเดียบินมายังกรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ และเมืองอื่นๆ ได้ 7 วันต่อสัปดาห์ โดยในผลการเจรจาการบินล่าสุด เมื่อวันที่ 9-10 ก.พ. 2549 ที่กรุงเทพ ไทยเจรจาได้สิทธิความจุที่ประมาณ 18,000 ที่นั่ง/สัปดาห์ จากเดิม 8,606 ที่นั่ง/สัปดาห์ โดยเป็น quota ที่อินเดียจะทยอยให้ในระยะ 3 ปี และไทยได้สิทธิบินไปเมืองไฮเดอราบาด 3 เที่ยว/สัปดาห์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในช่วง ต.ค. 2549 – มี.ค. 2550 นอกจากนี้ยังสิทธิในการบินไปบังกะลอร์และเจนไน 7 เที่ยว/สัปดาห์ จากเดิม 5 เที่ยว/สัปดาห์ และเพิ่มเที่ยวบินกรุงเทพฯ-นิวเดลี 7 เที่ยวเป็น 14 เที่ยว แต่ให้มีผลบังคับใช้ในเดือน มี.ค. 2551-ต.ค. 2552 ซึ่ง ครม. ได้มีมติอนุมัติผลการเจรจาดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2549 ขณะนี้อินเดียอยู่ระหว่างการสรรหาผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูต เพื่อให้ผลการเจรจามีการบังคับใช้ต่อไป

การเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคม
ในปี 2544 นายกรัฐมนตรีไทยและอินเดียเห็นพ้องให้มีความร่วมมือไตรภาคีในการเชื่อมโยงถนนระหว่างไทย-พม่า-อินเดีย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน โดยเชื่อว่า การเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคมดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาเซียน ไทยและพม่าได้ลงนามสัญญาก่อสร้างเส้นทางระยะแรก 18 กม. (แม่สอด-เมียวดี-เชิงเขาตะนาวศรี) เมื่อ ก.พ. 48 แล้ว และอยู่ในระหว่างการดำเนินการ นอกจากนี้ ไทยและพม่าได้ลงนาม MOU เพื่อสำรวจเส้นทางและออกแบบเส้นทางระยะต่อจากกม.ที่ 18 ยาว 40 กม. (เชิงเขาตะนาวศรี-กอกะเร็ก) โดยครม.มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2548 ให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าทั้งหมดมูลค่า 15 ล้านบาท สำหรับการทำ feasibility study ทั้งนี้ จะมีการประชุมคณะทำงานด้านเทคนิคและการเงินที่กรุงนิวเดลี ระหว่างวันที่ 6-7 กันยายน 2549

ด้านการศึกษา
ไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-อินเดีย ในการเยือนอินเดียของนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนมิถุนายน 2548 ซึ่งเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านการศึกษาร่วมกัน โดยครอบคลุมถึงการแลกเปลี่ยนการวิจัย ข้อมูลและเครื่องมือการสอน การแลกเปลี่ยนนักศึกษา นักวิชาการ คณาจารย์ระหว่างกัน การจัดสัมมนา การประชุมร่วมกัน การให้ทุนการศึกษา เป็นต้น ซึ่งจะยังประโยชน์ให้กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของทั้งสองประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านสังคมและวัฒนธรรม
ไทยกับอินเดียได้จัดทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรม เมื่อปี 2520 แต่ยังขาดการดำเนินการที่ต่อเนื่อง และไม่มีผลเป็นรูปธรรมชัดเจน ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ 4 เมื่อกุมภาพันธ์ 2546 ฝ่ายไทยจึงได้เสนอให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Plan of Action) เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนกิจกรรมในอันที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมและความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนกับประชาชน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนและมีผลอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากความร่วมมือทางวัฒนธรรมจะเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่ความร่วมมือในด้านอื่นๆ ต่อไป ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการจัดทำแผนปฏิบัติการดังกล่าว
นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทยได้จัดตั้งศูนย์อินเดียศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และศูนย์สันสกฤตศึกษาที่มหาวิทยาลัยศิลปากร และเมื่อครั้งที่อดีตนายกรัฐมนตรีนาย Vajpayee เยือนไทยเมื่อเดือนตุลาคม 2546 สองฝ่ายเห็นชอบที่จะให้มีการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทยและอินเดียในแต่ละประเทศ ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในระหว่างการหาสถานที่ที่เหมาะสม

ความตกลงที่สำคัญกับประเทศไทย
1. ความตกลงทางการค้า (ปี 2511)
2. ความตกลงว่าด้วยการบริการเดินอากาศ (ปี 2512)
3. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรม (ปี 2520)
4. ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน (ปี 2528)
5. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของไทยและอินเดีย (ปี 2540)
6. ความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (ปี 2543)
7. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ (ปี 2543)
8. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ปี 2544)
9. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (ปี 2545)
10. ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการสำรวจและใช้ประโยชน์จากอวกาศส่วนนอก (ปี 2545)
11. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการเกษตร เทคโนโลยีการเกษตร และเศรษฐกิจการเกษตร (ปี 2546)
12. กรอบความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งเขตการค้าเสรี ไทย-อินเดีย (ปี 2546)
13. ความตกลงด้านความร่วมมือทางการท่องเที่ยว (ปี 2546)
14. ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ (ปี 2546)
15. โครงการความร่วมมือด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (ปี 2546)
16. สนธิสัญญาความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางกฎหมายในเรื่องทางอาญา (ปี 2547)
17. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา ไทย-อินเดีย (ปี 2548)
18. บันทึกความตกลงว่าด้วยมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับเมืองพอร์ตแบลร์ (ปี 2548)




Create Date : 26 กันยายน 2550
Last Update : 1 ตุลาคม 2550 5:08:28 น.
Counter : 936 Pageviews.

14 comments
  
thanx 4 da information man........
now i know tat u luv india ssoooo much dude
โดย: so IP: 117.97.139.43 วันที่: 9 ตุลาคม 2550 เวลา:2:31:23 น.
  
โดย: เคนโด IP: 222.123.202.248 วันที่: 31 ตุลาคม 2550 เวลา:21:28:44 น.
  
แอบเอาข้อมูลไปทำรายงานคับป่มๆๆๆๆๆ...
โดย: นู๋บาย....[by_satan] IP: 58.137.16.2 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:51:59 น.
  
อือๆ
มะรืนนี้จะสอบวิชา Indian Constitution อยู่พอดี
อ่านไว้ประดับความรู็(อันน้อยนิด) แหะๆ
โดย: shimmeringchild IP: 121.247.199.93 วันที่: 4 ธันวาคม 2550 เวลา:14:42:26 น.
  
อ่านไม่ค่อบเห็นเลยค่ะ
โดย: แอนท์ IP: 122.154.3.252 วันที่: 9 มกราคม 2551 เวลา:17:50:24 น.
  
อ่านไม่ค่อยเห็นเลยค่ะ
โดย: แอนท์ IP: 122.154.3.252 วันที่: 9 มกราคม 2551 เวลา:17:52:21 น.
  
มีประเทศแอฟริกาไหมคับ
โดย: nutlnw IP: 203.113.41.4 วันที่: 28 มกราคม 2551 เวลา:17:35:16 น.
  
โปรดบอกว่ามี
โดย: nutlnw2 IP: 203.113.41.4 วันที่: 28 มกราคม 2551 เวลา:17:39:12 น.
  
ทำไมถึงม่ายมีอะคับ
โดย: nutlnw IP: 203.113.41.4 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:43:47 น.
  
ทำไมถึงม่ายมีอะคับ
โดย: nutlnw IP: 203.113.41.4 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:43:52 น.
  
โดย: FF IP: 203.113.41.4 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:45:51 น.
  
ชอบกินโรตี aloo parartha
โดย: nozomi IP: 122.161.88.241 วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:6:38:24 น.
  
whenever you felt that your heart is going to breakdown
feel it with the love of God ask for his and then you will
find out what is the truth love in Your life as he does for me!

GOD always forgive your mistake
the one that you cant even forget,
he always does it and always being with us
to help and blesss us for us whose heart is full of him
โดย: da IP: 124.122.247.144 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:23:49:24 น.
  
อินเดียเป็นประเทศที่ผมชอบและอยากไปอยู่มาก ถึงแม้ว่า
การเข้าห้องน้ำ การใช้ชีวิต อะไรต่างๆนานา จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แต่ วิถีชีวิต ของผู้คน เขาค่อนข้างจะดูน่ารัก ดีอ่ะ (ส่วนตัวผมนะ)
แถม วงการไอที ที่นั่น ก้ดีมากด้วย
คนอินเดียมีความพยามสูงมาก(จริงๆนะ)
โดย: Claudio IP: 124.157.144.113 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:22:49:10 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

shariffyoto
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Product Marketing at Bacom Internetwork Co.,Ltd (Presently)
Founder of cha-leaf.com
Founder of shariffyoto.com
Webmaster of thaiskim.com
Webmaster of rajaparkcsc.com
Webmaster of thabeatlounge.com
Webmaster of kcmstylechamp.com
Personal Assistant to CEO at AQ Innova Philippine (PHP)
Web Developer & System Administrator Rajapark Institute (RI)
Graphic consultant & Designer of PEAK CORPORATION CO.,LTD
Graphic consultant & Designer True Vision - Yamaha Looktung Contest 9th 2554
Graphic consultant & Designer ชมรมนักศิลปกรรมบำบัด ประเทศไทย (ชนศท.)
Co-Coordinator Huahin Surf FM ประเทศไทย (คลื่นวิทยุ HUAHIN SURF FM 102.5 MHz)
Marketing & Customer Support Executive at Emerge Systems (Thailand)
กันยายน 2550

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
 
 
  •  Bloggang.com
  • MY VIP Friend