Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
21 พฤศจิกายน 2549
 
All Blogs
 
รายงาน "ค่ายปลายฝนต้นฝัน" ชมรมวรรณศิลป์ '49




ในที่สุดก็ได้มาเขียนเรื่องค่ายเสียที...หลังจากที่รอรูปมาให้ยลโฉมกันนานพอดู

ก่อนอื่นผมคงต้องขอ Intro กันให้เข้าใจร่วมกันก่อนว่า ค่ายปลายฝนต้นฝัน เป็นค่ายของชมรมวรรณศิลป์ ส.มช. (ไม่สังกัดคณะใด ๆ และไม่แบ่งแยก) ที่จัดต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยมีจุดประสงค์....เอ่อ...เปลี่ยนไปทุกปี ตามระดับความติสท์ของประธานในปีนั้น บวกกับความผันผวนของนโยบายมหาวิทยาลัยที่ออกโดยท่านผู้บริหารบริคูณที่โคตรคุโรมาตี้ ออกนโยบายอะไร เมื่อไหร่ ก็ชวนให้ นศ. กุมขมับไปตาม ๆ กัน (โชคดีที่ช่วงนี้แกดูเงียบ ๆ ไป)

โดยจุดประสงค์ของปีนี้คือ "บริกรกิจกรรม" เราเก็บทุกบาททุกสตางค์มาเป็นค่ากิจกรรมให้พวกเอ็งใช้แล้ว เอ็งก็ต้องใช้ให้ได้รับประโยชน์โดยเท่าเทียม ดีมาก!!! กูคงลากทุกคนในมหาวิทยาลัยไปค่ายได้หมดเลยกระมัง ทำกูเป็น "บริกร" เสื่อมศักดิ์นักกิจกรรมยังไม่พอ ยังยัดเยียดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้มาเป็นเงื่อนไขในการจะ ให้-ไม่ให้ งบกูอีก ยังไม่ทันถามว่าไอ่กะตังค์ถังถุง ที่คุณท่านเองเก็บไว้ 15% (ข่าวด่วนล่าสุด เทอมปัจจุบันเฮียแกกั๊กเงินนักศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 20% !!) อ้างว่าเผื่อทสึนามิมาท่วมเชียงใหม่เนี่ย...พอเชียงใหม่ไม่เกิดทสึนามิแล้ว คุณท่านจะเอาไปทำอะไรครับ... (ไม่ต้องเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เบื้องต้นก็รู้ว่า ทสึนามิ มันจะมาเชียงใหม่ได้ไงฟะ!! อีกอย่าง เชียงใหม่ในช่วงนี้ก็ไม่น่าจะมีภัยพิบัติอะไร นอกจากงาน "พืชสวนโลก" อุ๊บบบบสส์!!!)

- จบพื้นที่บ่นก่อนดีกว่า ให้พูดถึง ท่าน ผบ. คุโรมาตี้ ผู้ Absurd ยิ่งกว่า Waiting for Godot คนนี้คงใช้สัก 10 Blogs ถึงจะพอ -




โดยในค่าย (ผู้อ่านที่ปรับอารมณ์ไม่ทัน อนุญาตให้เลื่อนขึ้นไปดูหัวข้อ Blog ครับ) จะมีการเชิญวิทยากรมาร่วมแจมด้วย หลากหลายสาขาที่เกี่ยวกับวงการหนังสือและวรรณกรรม ตามแต่จุดประสงค์ของแต่ละปี อย่างปีที่แล้วจุดประสงค์จะกว้างมาก เอาตั้งแต่ นักอ่าน-นัก(อยาก)เขียน-(อยากเป็น)บรรณาธิการ-(อยากเปิด)สำนักพิมพ์-(อยากทำ)ร้านหนังสือ เลยได้วิทยากรเป็นพี่ ๆ ร้าน'เล่า (ร้านหนังสือที่น่ารักที่สุดในเชียงใหม่-ชมอย่างไม่อายฟ้าดิน) มาเป็นวิทยากร นอกจากนี้ยังมีพี่มีน-อภิชาติ เพชรลีลา ผู้ที่เป็นทั้งนักเขียนและบก. สำนักพิมพ์ นกดวงจันทร์ มาร่วมเป็นวิทยากรและอยู่กับพวกเราไปจนจบค่าย (เป็นวิทยากรที่น่ารักมาก...มีตอนที่ Staff กำลังง่วนกับอุปกรณ์อยู่ เห็นพี่แกหลบไปทำอะไรบางอย่างแถวก็อกน้ำ ปรากฎว่าพี่มีนท่าน ช่วยล้างหม้อ !!)

ในปีนี้ก็ได้ พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง กับพี่ โจ้ วชิรา (บก. a day คนที่สอง) มาเป็นวิทยากร ส่วนผม.
..คราวนี้ไม่ใช่ประธานค่ายอีกแล้ว มาในฐานะผู้นำ(กระ)สันทนาการ ผู้ฉกชิงอุปกรณ์ Propaganda (โทรโข่ง) มาไว้กับตัวไม่ให้ห่าง แถมค่ายปีนี้ยังมี Option (ของเล่น) ใหม่ In Trend สุด ๆ มันคือ DEATH NOTE !!! โดยมี Staff ผลัดกันเป็นคิระ คอยจดรายชื่อคนทำผิดกฎค่ายไว้ลงโทษวันสุดท้าย (ที่สุดแล้วไอ่ชื่อใน Note มันก็เป็น Staff ด้วยกันเองแทบทั้งนั้น !!)

แล้วเนื่องจากในเทอมนี้(เป็นต้นไป) มช.เปลี่ยนจากการหยุดวันศุกร์เพื่อกิจกรรม มาเป็นหยุดวันพุธ (นโยบายสุดบรรยายของ ผบ.คุโรมาตี้ อีกเช่นเคย) ทำให้วันศุกร์บางคนยังติดเรียนอยู่ จึงต้องเว้นวรรครถไปสองเที่ยว คือเที่ยว 4 โมงเย็น กับ 5 โมงเย็น แต่กระนั้นมันก็มีคนมา 6 โมงเย็น - แถมอีตานั่นยังเป็น Staff อีกด้วย!! ผมซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ขึ้นไปรอก่อนบนค่าย นั่งรอก้นเหี่ยว จนเดินไปล้างถังน้ำได้สอง-สามรอบ ถึงจะมากันเลท แต่ก็ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้ปกติแจกข้าวกันกิน ชี้แจงนั่นนู่นนี้โน่น จึงปล่อยพักไปจนถึงเวลา สักสองทุ่ม พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยงก็ขึ้นมาที่ค่าย ในทีแรกพี่จุ้ยว่าจะมาช่วยสอนเขียนให้ทั้งวัน แต่ดันติดธุระ มาให้ได้คืนวันแรก จึงเปลี่ยนเป็นนั่งพูดคุยกันตามสะดวก คุยกันจนได้ที่แล้ว พี่แกก็คว้ากีต้าร์มาร้องเพลง (บางคนแอบรอช่วงนี้มานาน) แม้แต่ตอนร้องเพลง พี่แกก็สอนเขียนไปด้วยในตัว และเพลงที่ยกตัวอย่างก็เป็นเพลงที่น่ารักมากอย่างเพลง "ยางลบ" ประมาณว่า "ดูสิเรื่องของที่ว่าเมื่อเธอไปแล้วฉันจะยืมยางลบใครล่ะ มันดูเล็ก ๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นภาพ ให้เรารู้สึกได้ โดยใช้ยางลบเป็นตัวแทน" อา...

แล้วพี่จุ้ยก็จากไปพร้อมทิ้งท้ายบทเพลงไว้หลายเพลง แต่เชื่อว่าแทบทุกคนต้องประทับใจเพลง "ยางลบ" ของพี่แกแน่ ๆ จบกิจกรรมนี้ไปแล้ว หลายคนก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรง พากันกลับเข้าที่พัก บ้างก็ยังคงวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่แถวขนมปี๊บ มาม่า และ ขนมปัง


ตื่นมาเช้าอีกวันหนึ่ง ปล่อยให้ลูกค่าย และ Staff ที่ยังไม่ตื่นดีได้อ้อยอิ่งและเอื่อยอืดกันไปสักระยะหนึ่งก็เข้าสู่กิจกรรมหนังสือเล่มโปรด โดยเราจะแจกหนังสือมั่วซั่วให้แต่ละคน โดยให้ทายกันว่า หนังสือที่ได้รับไปนั้นเป็นของใคร งานนี้ทีแรกผมกะจะเอา The Double ของดอสโตเยฟสกี้ ที่เพิ่งอ่านจบไป แต่ถ้ามันตกไปอยู่ในมือคนในชมรม ก็เป็นได้รู้กันแน่เพราะผมเคยเอามาอ่านให้เห็นกันอยู่ เลยเอาเล่มที่ไปขโมยอ่านจากคนอื่นมา อย่างเรื่องสั้นขนาดยาว "บ้านเก่า" ของ กนกพงศ์ ...T_T... ที่บางคนบอกว่ามันเป็นแนวโรแมนติกเพื่อชีวิต แต่ก็มีคนทายได้อยู่ดี

หลังจากแนะนำหนังสือกันไปแล้ว ก็มีการแนะนำ สิ่งของที่เป็นตัวแทนของตนเองกันอีก และเช่นทุกปี ต้องมีคนนิยามตัวเองเป็นสายลม เป็นถุลีดิน สิน่า...แต่... ผมดันลืมไปแล้วว่าผมนิยามตัวเองเป็นอะไร !!!

จบจากกิจกรรมนั่งหมอนนอนเสื่อ ก็เข้าสู่กิจกรรม เดินวิ่งกลิ้งเต้น กันให้หายเมื่อย นั่นคือ Walk Rally คราวนี้ผมเป็น หนึ่งในผู้คุมฐาน นั่นคือฐาน "หมอผีขี้จุ๊" เป็นฐานเดียวในค่ายที่ใช้สมอง ฮ่า-ฮ่า โดยจะให้สมาชิกฐานฟังเรื่องเล่าจากปากหมอผี (ผมเอง) แล้วหาความขัดแย้ง-ไม่สมจริง ที่เกิดขึ้นจากในเรื่อง เช่น "อีตานี่มันโดนหมากัดนิ้วกุดทุกนิ้วจนกลายเป็นมือโดราเอม่อนไปแล้วทำไมมันยังจับคอร์ดกีต้าร์ได้เป็นต้น" โดยน่าสนใจว่าทุกกลุ่มจะจับผิดได้ 4 ใน 5 ของทั้งหมด แถมข้อที่เหลือ ยังเป็นข้อที่ต่างกันอีกด้วย

เอ้อ...สิ่งที่สนุกฮาอีกอย่างหนึ่งจากเกม Walk Rally นี้ ก็คือ RC ที่ได้รับไปจากแต่ละฐาน จะมีคำแปลก ๆ หรือวลีชวนคุ้นเคยอย่าง "หึ หึ หึ มนุษย์นี้มันน่าสนุกจริง ๆ" , "ไม่กินผักทำไมไม่บอก" , "เหลี่ยมจัดง่า..." ฯลฯ เอามาเล่นในกิจกรรมต่อไปคือ "ปั้นตัวเป็นน้ำ" ให้ช่วยกันแต่งเรื่องจากวลีบ้า ๆ พวกนี้ให้ได้

บ่ายคล้อยหลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ลมเย็น ๆ พักมาปะทะกับแสงแดดแผ่จ้า ย้อนแย้งกันอย่างลงตัว ชวนให้โลกนิทราน่าพิสมัย แต่ก็ยังหลับกันไม่ได้นะก๊ะ เพราะตอนบ่ายวิทยากรคนสำคัญอีกคนนึงจะมา นั่นก็คือ พี่โจ้ วชิรา (ใครอยากเห็นรูปพี่เขาไว้รอ Blog ต่อไปครับ พี่เขาไม่ชอบให้ใครถ่ายรูป เลยแอบไปถ่ายตอนเสวนาบนเวทีไว้ในงาน Indy Festival 2549) ขึ้นมาพูดเรื่องการทำหนังสือ แต่พี่แกพูดแบบ Freestyle หน่อย เลยได้มาหลายเรื่อง a day ไปจนถึงเรื่องระบอบการเมืองจอมปลอมของประเทศเรา ที่ตอนนี้เปลี่ยนแค่หน้ากาก ไม่รู้ไส้ในที่เละเป็นชิ้น ๆ แล้ว จะกู่กลับยังไง (อุ๊ !! เสียงจิ้งจกร้องทัก)

ในช่วงต่อไปคิดว่าจะให้ อ.สุพรรณ ทองคล้อย อาจารย์ประจำชมรม ผู้เป็นหนึ่งในวิทยากรลับ ผู้จะมาคอยให้คำแนะนำด้านงานเขียน แต่เนื่องด้วย ความล่าช้าของกิจกรรม บวกกับวิกฤติรถติด (หนึ่งในผลพวงจากภัยพิบัติที่ชื่อ "งานพืชสวนโลก") ทำให้ไปรับอาจารย์ล่าช้า และเมื่อไปถึง วิทยากรลับของเรา ก็กลายเป็นวิทยากรลับไปจริง ๆ คือหายลับไปเลย...

มาได้ข่าวเอาทีหลังจากที่อาจารย์ท่านบอกกับประธานชมรมเราว่า "อ๋อ...ผมรอคุณนานแล้วไม่เห็นมา เลยเดินเข้าวัด (ที่อยู่ใกล้ ๆ) ไปเลย"
ถึงแม้อาจารย์จะไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไร แต่ผมก็ขอโทษอาจารย์ผ่าน Blog นี้อีกทีหนึ่งครับ

ถึงตรงนี้ คุณ ๆ ลูกค่ายทั้งหลาย ก็เกิดอาการว่าง !! ถึงแม้จะมีกิจกรรม Magazine ค่ายซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกิดจากการขโมยไอเดียกันซึ่ง ๆ หน้า จากชมรมหนังสือทำมือของ ม.แม่ฟ้าหลวง (อย่าเก็บค่าลิขสิทธิ์ผมนะ) แต่ก็รู้สึกเป็นอิสระเสรี ได้รับการปลดปล่อย จึงพากันเล่น Chill ไปจนถึงช่วงเย็นที่ทำอาหารกินร่วมกัน

อาหารเย็นของชาวค่ายในวันที่สองนั้นประกอบไปด้วย ไข่เจียวสารพัดนึก (ไข่เจียวผักกาด , ไข่เจียวพริก , ไข่เจียวตำลึง , ไข่เจียว...อะไรก็ได้ที่ผมหาเจอแถวนั้นก็จับใส่ลงไปตีกับไข่ให้หมด !!) ต้มจืดอืดวุ้นเส้นที่แถมยังปราศจากคนอร์ , ยำปลากระป๋องแดงเดือด และ ไอ่ตัวที่น่าจะดูเป็นตัวเป็นตนที่สุดคือ ผัดผักบุ้ง

หลังอาหารเย็น ก็ได้เวลาทำ Magazine ค่ายกันต่อไปจนถึงช่วงสามทุ่ม Magazine ค่ายในที่นี้แบ่งกลุ่มกันทำครับ แบ่งเป็น 6 กลุ่ม 6 คอลัมน์ Staff บางส่วนก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นทั้งที่ปรึกษาประจำคอลัมน์นั้น ๆ ไอ่ตัวผมก็ได้ที่ปรึกษาคอลัมน์สัมภาษณ์ไป ซึ่งกลุ่มนี้ก็ไม่สัมภาษณ์ที่ไหนไกล ประธานค่ายของเรานี่เอง เสร็จสรรพ์ช่วงสามทุ่มก็พากันขึ้นไปรอบกองไฟเพื่อที่จะ Present ส่วนต่าง ๆ ของ Magazine กัน ตัวตูพยายามหันซ้ายแลขวาว่า กองไฟมันไปไหนฟะ !!! มีแต่ Spotlight สาดส่องเศษไม้ แต่ก็ช่างหอกมัน...Present กันทั้งอย่างนี้เนี่ยแหละ !!

อ้อ...จะได้กองไฟจริง ๆ ก็หลังจากเสร็จกิจกรรม Present Magazine กันแล้วนั่นแล...

เพราะในยามค่ำคืนที่สอง ก็มีบางส่วนที่ยังไม่อยากล้มตัวลงหมอน ก็พากันมานั่งร้องเพลง เล่นกีต้าร์ ควักขนมปี๊ปที่เหลือ ๆ อยู่กินกัน แต่เนื่องจากเป็นคนที่ไม่เคยสนิทสนมกับเพลงในหนังสือคอร์ดกีต้าร์ทั้งหลายเลยแม้แต่น้อย จึงได้แต่นั่งฟังไป บทจะร้องก็ไปเปลี่ยนเนื้อเขาหมด นั่งกันจนดึกดื่นลืมเวลา มันควรจะเป็นคืนที่หนาว แต่ตัวฉันรู้สึกอุ่นดีจริง ๆ

ก่อนจะพร่ำเพ้อไปมากกว่านี้ ผมก็ลืมตาตื่นจากคืนที่หลับโดยไม่ทันได้ฝันมาในวันสุดท้ายของค่าย มันเป็นค่ายที่ทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเสมอน่ะแหละ ไม่ว่าจะตั้งแต่ปีหนึ่งที่เป็นลูกค่าย ปีสองที่เป็นประธานแล้วก็ต้องพบพานปัญหานานาชนิดแทบแก้ไม่ทันแต่ก็ผ่านพ้นไปได้ ปีสามที่ผมประทับใจกับมันที่สุดเพราะเป็นปีที่ผมมีไฟบ้าคลั่งมากที่สุด (โดดเรียนมันทุกวิชาเพื่อทำค่าย) แม้ว่าจะไม่ได้กินข้าวเที่ยงในวันที่สอง เพราะมัวออกไปรับวิทยากร แต่ตกเย็นมาก็มีกับข้าวที่ทำกันเองวางอยู่เต็มโต๊ะ และรอผมกินด้วยกัน (แต่ก็ไม่วายมีเสียงเตือนว่าให้ผมอาบน้ำด้วย) มีวิทยากรค่ายที่มาอยู่ร่วมกัน (และช่วยล้างหม้อร่วมกัน-อันนี้ผมเล่าที่ไร ก็ทั้งอดขำ และอดประทับใจไม่ได้) มาจนถึงปีที่สี่ที่ผมไม่ได้เป็นประธานแล้ว แม้จะตะกุกตะกักไปบ้าง แต่ก็เป็นปีที่ทำค่ายได้ดีเลยทีเดียว ถึงจะไม่ประทับใจเท่าปีที่แล้ว แต่ก็มีอย่างนึงที่ทำให้ผมมีความสุข...

ผมปิดผนึกซองจดหมาย ในกิจกรรมเขียนจดหมายถึงตัวเอง ซึ่งก็ไม่ได้เขียนอะไรมากนักในปีนี้
"คนเราแก่ตัวขึ้น จะอยากเขียนอะไรถึงตัวเองน้อยลง"

มันก็เป็นเช่นนี้แล...








Playlist:

1.)
Title - A Pocketful of Stones
Artist - David Gilmour
Album - On An Island


2.)
Title - 'Cello Song
Artist - Nick Drake
Album - Five Leaves Left



3.)
เพลง - ภูเขาและทะเล
ศิลปิน - ศุ บุญเลี้ยง
(ไหน ๆ เขียนถึงพี่จุ้ยแล้ว ก็อันเชิญเพลงพี่แกมาลงด้วย...)




ในที่นี้ขอบคุณ "พล" สำหรับรูปค่ายด้วย



Create Date : 21 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2549 3:54:25 น. 14 comments
Counter : 1003 Pageviews.

 
ไว้รอดูรูปโจ้ วชิรานะจ๊ะ
ช่วงนี้ฟังเพลงของ Dylan และ Jackson Brown บ่อยๆ

ป.ล.อยากฟังเพลงยางลบ ของพี่จุ้ยจัง


โดย: grappa วันที่: 21 พฤศจิกายน 2549 เวลา:8:18:42 น.  

 
เจ้าของบล็อกทำ playlist ได้แล้ว

ดีใจด้วยครับ

อ่านเรื่องค่ายของคุณแล้วสนุกดี
ขำท่าน ผบ. คุโรมาตี้ด้วยครับ ฉายานี้ทำให้เห็นภาพเลย 555

วิทยากรน่าสนใจและน่านับถือทั้งนั้นเลยนะครับ (ชอบพี่จุ้ยกับคุณอภิชาติ เพชรลีลา)

รออ่าน+ดูรูปบล็อกหน้าครับ


โดย: King Of Pain วันที่: 21 พฤศจิกายน 2549 เวลา:10:09:17 น.  

 
อิอิ น่าสนุกแฮะ

พี่ไม่เคยไปค่ายไหนกับใครเขาเลย เพราะไม่เคยอยู่ชมรมไหนเลยครับ (เคยไปอยู่วรรณศิลป์ได้อยู่สามสี่วัน 555)

พี่ยีนส์ พี่บอลนี้ก็ไม่ได้รู้จักจากวรรณศิลป์ มารู้จักกันที่หลังนอกชมรม

ป.ล. ฝากบอกลีนาด้วยนะครับว่าไม่จัดฉายหนังแล้วหรอ....


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 21 พฤศจิกายน 2549 เวลา:10:48:28 น.  

 
อ่านแล้วรู้สึกว่าสนุกจังเลย

อยากกลับไปสมัยเรียนอีกจัง


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 21 พฤศจิกายน 2549 เวลา:14:27:25 น.  

 
คราวหลังอย่าลืมชวนนะ (แต่ก็ไม่ได้ไปอยู่ดี )


โดย: strawberry machine gun วันที่: 21 พฤศจิกายน 2549 เวลา:14:30:02 น.  

 
กิจกรรมน่าสนใจและน่าสนุกดีนะคะ

อ่านตอนท้ายจบแล้วอยากจะบอกว่า

คนเราเวลาแก่ตัวขึ้น ก็ยิ่งพูดถึงความแก่น้อยลงนะ


โดย: DropAtearInMyWineGlass วันที่: 23 พฤศจิกายน 2549 เวลา:3:00:36 น.  

 
ชมรมวรรณศิลป์นี่มีสาวแว่นเยอะดีนะ
สมัยเรียนไม่เคยคิดเข้าชมรมนี้ เพราะตอนนั้นดราม่า สาวสวยตรึม


โดย: sTRAWBERRY sOMEDAY วันที่: 23 พฤศจิกายน 2549 เวลา:3:01:13 น.  

 
อ่านแล้วอดคิดถึงสมัยเรียนไม่ได้

เสียดายรูปน้อยจัง


โดย: เจ้าชายไร้เงา วันที่: 24 พฤศจิกายน 2549 เวลา:13:22:31 น.  

 
น้องเงาที่รัก มันทำให้คุณพี่ดาริ คนสวยนึกถึงสมัยตอนเป็นวัยรุ่น (ย้ำว่าวัยรุ่น) มันสนุกสนานบานตะไทมากเลยเชียวแหละ ไอ้การออกค่ายเนี่ย มันทำให้เราได้พบเพื่อนใหม่ ประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ เกิดความฮึกเหิมขึนในใจ และสร้างอุดมการณ์ใหม่ขึ้นมาพร้อมกัน

ถ้าถามว่าทำไม พี่ดาริ มาเป็นครู
เหตุผลหนึ่งก็มาจากเรื่องที่ เคยออกค่ายนั่นแหละ



"เพื่อประเทศที่เกิดและบ้านเมืองที่เติบโต"


ปล. น้องเงาเล่าสนุก ^_^ ชอบๆๆๆ



โดย: ดาริกามณี วันที่: 25 พฤศจิกายน 2549 เวลา:10:08:05 น.  

 
น้องชาโดว์เล่าได้มันส์มากเลย แปลกนะพวกน้องๆ ที่กำลังเรียนมหาลัยปีสามปีสี่เนี่ยมักจะมีความรู้สึกว่าตัวเองแก่ (เคยเป็นเหมือนกัน) คงเพราะไปเปรียบเทียบกะรุ่นน้องหน้าใสๆ ละมั้ง แต่เดี๋ยวพอเรียนจบไปเริ่มงานใหม่ความรู้สึกเป็นหนุ่มเป็นสาวจะกลับมาอีกครั้ง แล้วก็จะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองแก่อีกเมื่อเข้าเลขสองปลายๆ 555 แต่พอสามสิบต้นๆ ก็จะเริ่มร่ำร้องในใจว่า "กรูยังไม่แก๊ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" แล้วพอสามสิบห้าอัพก็จะอีกฟามรู้สึกหนึ่ง เหอๆๆ เอะ นี่เอาฟามรู้สึกตัวเองเป็นบรรทัดฐานป่าวหว่าเนี่ย

เพลงบ๊อกนี้ฟังเพลินมากเลยคับทำให้อ่านบ๊อกได้จนจบอะ จริงๆ อ่านจบไปตั้งนานแล้วนะ แต่งงๆ ว่าทำไมไม่ได้เม้นท์หว่า สงสัยจะแก่จนเพี้ยน หลงๆ ลืมๆ


โดย: Together In 80s Dream วันที่: 25 พฤศจิกายน 2549 เวลา:14:42:41 น.  

 
ขอบคุณมากที่ซื้ออัลบั้ม The Devine Comedy แล้วนะครับ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 25 พฤศจิกายน 2549 เวลา:17:20:13 น.  

 
เหอๆๆๆๆๆๆ
แก่เหรอ
อืม....................ไม่เม้นท์ดีกว่า


โดย: spunky..ล้า..ลา... IP: 61.91.193.116 วันที่: 10 ธันวาคม 2549 เวลา:9:24:13 น.  

 
ฝากข่าวประชาสัมพันธ์
รับสมัครสมาชิกสมาคมนักเขียนเชียงใหม่
จังหวัดเชียงใหม่ เป็นแหล่งรวมเหล่านักประพันธ์หลายท่าน และยังเป็นแหล่งรวมคนมีความสามารถมากมายเหลือคณานับ ผมในฐานะนักเขียนคนหนึ่ง ที่แม้จะไม่มีความสามารถมากนัก แต่ก็อยากจะพัฒนาศักยภาพของตนเองและพัฒนาวงการนักเขียนของไทยในจังหวัดเชียงใหม่ จึงขอประกาศเปิดรับสมัครสมาชิก เพื่อก่อตั้งสมาคมนักเขียนเชียงใหม่ เพื่อเป็นสังคมนักเขียนในจังหวัดเชียงใหม่ หรืออาจรวมถึงนักเขียนจากจังหวัดใกล้เคียง และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือขอข้อเสนอแนะว่าด้วยเรื่องงานเขียนได้อย่างง่ายดายขึ้น ทั้งนี้ยังเป็นการสานสัมพันธ์ของนักเขียนในจังหวัดเชียงใหม่ ดังนั้น สมาคมนักเขียนเชียงใหม่ จึงมีวัตถุประสงค์สำคัญดังนี้
1. เพื่อส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าในด้านการเขียนในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง
2. เพื่อเชิดชูยกย่องวรรณกรรมที่มีคุณค่าของนักเขียนเชียงใหม่ และเผยแพร่ให้เป็นที่ประจักษ์
3. เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสวัสดิภาพและความมั่งคงของนักเขียนเชียงใหม่
4. เพื่อเป็นที่ชุมนุมพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ ตลอดจนส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างนักเขียนเชียงใหม่ และนักเขียนทั่วประเทศ



ติดต่อสมาคมนักเขียนเชียงใหม่
ที่ทำการ "สมาคมนักเขียนเชียงใหม่"
สำนักงานสมาคม สำนักงานชั่วคราวตั้งอยู่ที่ 225/418 ซอยซอยย่า หมู่บ้านธารดง ตำบลบ้านแหวน อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ 50230 โทรศัพท์/โทรสาร 053-432319
ผู้ประสานงานฯ ชั่วคราว นายชลธี ตะพัง เบอร์ติดต่อ 089-8505025
อีเมล์ parn2545@yahoo.com

ปล.ด่วน+ต้องการอาสาสมัครมาเป็นคณะทำงานครับ


โดย: parn IP: 58.147.93.221 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:56:00 น.  

 
ไว้โตกว่านี้จะไปร่วมชมรมด้วย


โดย: ลาย แซ่ลี IP: 118.175.162.28 วันที่: 7 มกราคม 2551 เวลา:17:23:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ShadowServant
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add ShadowServant's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.