ความเชื่อ ( ทิฏฐิ ) ชักจูงความคิด ( สังขาร ปรุงแต่ง )
ความเชื่อ ( ทิฏฐิ ) ชักจูงความคิด ( สังขาร ปรุงแต่ง ) และความคิดก็ชักจูงความเชื่อด้วยเช่นกัน ก้าวพ้นความชอบที่จะเชื่อ ชอบที่จะไม่เชื่อเสีย ทั้งความชอบ (ตัณหา ) และความเชื่อ ( ทิฏฐิ ) ก็จะไม่มาทำให้เรากระวนกระวาย คับแค้นใจได้อีก อนึ่ง ความชอบที่จะเชื่ออย่างแรงกล้าว่า กายและใจ นี้เป็นของของเรา เป็นตัวเรา ย่อมชักจูงความคิดคือสังขารให้มาปรุงแต่ง จนทำให้เกิดความรู้สึก (วิญญาณ ) เป็นรูปเป็นร่าง (นามรูป ) เกิดสายสัมพันธ์ ( อายตนะ ) เกิดผัสสะ (การกระทบ ) เกิดความติดใจ อยากได้เพิ่ม อยากได้อีก ในผัสสะที่ชอบ ( ตัณหา ) ยิ่งทำให้เกิดความเชื่อมั่นฝั่งแน่นติดใจ (อุปทาน ) ถึงการมีอยู่ เป็นอยู่ ของตัวเราในที่นี้ (ภพ ) ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุขทั้งหลายจึงเกิดตามมา ก่อนจะเกิด เจตนาที่จะชอบ ก่อนจะเกิด เจตนาที่จะเชื่ออันใด ขอให้มีความระลึก (สติที่บริสุทธ์ ) ถึง ความเป็น กุศล และ อกุศล ( ในธรรมที่พระพุทธองค์ ทรงจำแนก หมวดหมู่ ไม่ระคนกันไว้ดีแล้ว ) เพราะกรรมที่เกิดจาก เจตนาใดๆนั้นแหละ ที่จะเป็นตัวกำหนด วิบากกรรม ในกาลต่อไป . ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น. อนุโมทนาสาธุครับ
Create Date : 25 มิถุนายน 2554 |
|
18 comments |
Last Update : 25 มิถุนายน 2554 8:57:13 น. |
Counter : 654 Pageviews. |
|
|
|