|
|
|
- ธรรมไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน เป็นไฉน? การแยก จิต การแยก ธรรม
- ปู่..ย่า..ตา..ยาย...ไม่มีใครเคยเห็น...พระมีเมียได้ ..เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- พระอาจารย์ตั๋นกล่าวชอบแล้ว...สิ่งที่คิดไม่ใช่จิต..แต่เป็นเหตุปัจจัย..ในมหาปัฏฐานในพระอภิธรรม
- don't worry baby..สิ่งที่คิด..ไม่ใช่จิตอยู่แล้ว ..ถ้าแยกตามเหตุปัจจัย
- การพิจารณาเห็น จิตในจิต..
- บทบาทที่สำคัญของพระสงฆ์ในสังคมไทย. พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- การโกหกใส่ร้ายพระกรรมฐานว่าทำคุณไสย์ อย่าสงสัย ว่าพวกมันทำไปเพื่ออะไร
- การรักษาพระธรรมวินัย ด้วยชีวิต....พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- ระวัง...ลัทธิสัตว์นรก มันมาอีกแล้ว ลัทธิ พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- เติมคำในช่องว่าง....พระดีๆไม่มีเมีย ...พระ "......ๆ" มีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- ผลกรรมของการ โกหกใส่ร้าย พระกรรมฐาน ย่อมนำทุกข์ มาให้ไม่สิ้นสุด
- การ ดองกิเลส เลี้ยงตัณหา โดยการห้ามจิตกำหนดรู้ เป็นวิธีของมาร
- การมี สติสัมปชัญญะ เอาเงิน ญาติโยมให้เมีย
- การมี สติสัมปชัญญะ โกหกใส่ร้าย พระกรรมฐาน ว่าทำคุณไสย์
- ปัญหาว่าใครจะบรรลุธรรม.......พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- ความรัก..ครอบครองทุกอย่าง...พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- พระแท้. พระดี. ไม่มีเมีย พระเลว พระชั่ว มีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- พระชั่ว. ใส่ร้าย พระกรรมฐาน. ว่าทำคุณไสย์.
- ผลกรรมที่เกิดจากการ ขัดขวาง ห้ามเผยแผ่ ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ........ อวิชชาสวะ เป็นไฉน ?........
- ระวัง....พระที่ทำตัวเหมือน..สัตว์นรก... มันอยู่กับเมีย
- ปฏิสนธิจิตเป็นวิญญาณขันธ์. ........
- อะไรคือความผ่องใส อะไรเป็นกาก ของพรหมจรรย์นี้ในพระศาสดา
- .................ผลจิต............
- ใครจักรู้แจ้งแผ่นดินนี้ ใครจักรู้แจ้งยมโลกและมนุษยโลกนี้ พร้อมกับเทวโลก
- อรรถกถา.....ทิฐิกถา...
- ........วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ........
- .........กรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ .....
- ......วิญญาณเป็นมาร ......วิญญาณเป็นมารธรรม....
- ๓. ภวเนตติสูตร ว่าด้วยกิเลสที่นำไปสู่ภพ
- .ใคร ? มีหน้าที่ขัดขวาง ไม่ให้ปฏิบัติตาม ตำสอนของพระพุทธเจ้า
- ลัทธิเดียรถี เห็นวิญญาณ ( เวียนว่ายตายเกิด ) เป็นของ ของตน
- สัญโญชนสัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ปฏิจจวาร ปัญหาวาร
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด เป็น สังโยชน์ ( สักกายทิฐิ
- .......[๓๕๘] ทิฐิวิบัติ ๓ ทิฐิสมบัติ ๓ ฯ........
- มิจฉาทิฐิ. ความเชื่อว่ามนุษย์ไม่มีวันออกจากวัฏฏสงสารได้
- ....สัมมาวายามะ.....การปฏิบัคิธรรมที่ใจ....ทำทีไหนก็ได้...
- ระวัง. เปรตที่เป็นสัตว์นรกมีจริง. พวกเปรตเมียพระ. ชอบหลอกลวงเงินญาติโยม
- ระวัง. เปรตเมียพระ. ออกหากินหลอกลวงเงินญาติโยมในเน็ต เพราะเมียพระร้อนเงิน
- [๓๗] คำว่า สัตว์เหล่านั้น เป็นผู้หลุดพ้นได้ยาก และไม่ยังบุคคลอื่นให้หลุดพ้น
- ว่าด้วยปัญญาที่เรียกว่าธี...
- ว่าด้วยปริญญา ๓ ประการ
- อวิชชาย่อมดับด้วยอาการเท่าไร.. ญาณด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา ๗๒ เป็นไฉน ฯ
- ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัยมิได้มี
- วิคตปัจจโย....อวิคตปัจจโย..
- จงจำไว้ พระโง่ โกหกใส่ร้ายพระกรรมฐานว่าทำคุณไสย์ เป็นบาป รู้สึกตัวซักที
- โปรโมชั่น. บาปตลอดชีวิต. โกหก ใส่ร้าย พระกรรมฐานว่าทำคุณไสย์
- สอนลูกหลานว่าพระมีเมียไม่ได้ จะได้ไม่เกิดลัทธิ พระมีเมียได้ เพราะ พ่อแม่พวกมันไม่สั่งสอน
- วันนี้" วันพระ " ..ระวัง. ".วันเมียพระ"จะมาถึงในไม่ช้า..เพราะ พระมีเมียได้..เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- สนิทสฺสนสปฺปฏิฆา ธมฺมา ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้
- ทำบุญกับพระดี ได้สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร..ทำบุญกับพระชั่ว แค่สร้างบ้านให้ผัวเมีย
- ความทรงจำที่เจ็บปวด เพราะเจตนากรรม...โกหกใส่ร้ายพระกรรมฐาน.ว่าทำคุณไสบ์
- ระวัง..พระชั่ว บิดเบือน พระธรรมวินัย..พระมีเมียได้..โกหกไม่ผิดศีลธรรม
- อนุปาทาปรินิพพาน ใน ปัจจุบัน
- สังขารที่เป็นกาย สังขารที่เป็นวาจา สังขารที่เป็นใจ....ไม่ใช่ของของ..เรา
- ต้องเชื่อก่อนจึงจะเห็น หรือ...ต้องเห็นก่อนจึงจะเชื่อ....นิพพาน
- พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า มี ๒ อย่าง คือ สมมติเทศนา (เทศนาเกี่ยวกับสมมติ) ๑ ปรมัตถเทศนา (เทศ
- วิวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ปริยายวาร ที่ ๖
- ถ้าเกิดชาติหน้า ไม่มีพระพุทธศาสนา ขอให้รู้ไว้ว่า ชาตินี้นี่แหละ ที่เราปล่อยให้ถูกทำลาย
- ๓. อรรถกถาสมาธิภาวนามยญาณุทเทส ว่าด้วยสมาธิภาวนามยญาณ
- มิจฉาทิฐิ พระโกหกได้ ไม่ผิดศีล ไม่บาป ...ถ้าทำเพื่อเมีย
- อินทรีย์ ๕ มีนิมิตเหตุปัจจัยเครื่องปรุงแต่ง
- อย่ายอมให้ความรู้สึก มาโกหก บิดเบือนพระธรรมวินัย พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยม...ให้เมีย
- ทฤษฎี พระมีเมียได้ แล้วเมียพระจะร่ำรวยด้วยเงินของญาติโยม มีมาแต่โบราณ
- ที่สุดแห่งอดีต ( สัญญา ) ....ที่สุดแห่งอนาคต ( สังขาร )
- ธรรม และ จิต..... และ ธรรมเกิดคล้อยตาม จิต
- ใจ. ชนะ. ใจ. กรรม. ชนะ. กรรม.
- น่าสงสาร พระโง่ ที่ไม่รู้ว่าการโกหก ใส่ร้าย พระกรรมฐาน เป็น ...บาป
- ระวัง พระมีเมียเป็น อนุสัย ตามนอนเนื่อง เพราะมี อาสวะ กับเงินญาติโยม เป็น สังโยชน์ ผูกใจใว้ด้วยกัน
- สองพี่น้องจากเปอร์เซีย คนหนึ่งนับถือพุทธ คนหนึ่งนับถืออิสลาม
- พระกรรมฐาน (. สมถะวิปัสสนา ). ชนะกรรมทั้งปวง
- ใครจะยอมโง่ หลงเป็นเหยื่อให้พระชั่ว หลอกเงินให้เมีย........เป็นรายต่อไป
- ขบวนการใส่ร้ายพระดี. มีจริง. มันใส่ร้ายพระกรรมฐาน ว่าทำคุณไสย์
- ใจ ล้าง ใจ กรรม ล้าง ...กรรม
- เพราะไม่มีจึงไม่เป็น เพราะไม่เป็นจึงไม่ใช่. ตัวตน
- กลับตัว กลับใจเสีย ... กรรมก็พร้อมจะอโหสิกรรม ...เพราะผู้ที่อโหสิกรรม...ย่อมได้บุญ
- อะไรที่ปนอยู่ในเจตนา.........สิ่งนั้นคือ...กรรม
- การทำกรรมดีอะไร หนักแน่นและดีที่สุด สมาธิ ( สมถะวิปัสสนา ) กรรมทีปนี
- กรรมมีแล้ว วิบากกรรมจักมี กรรมที่ใส่ร้ายพระกรรมฐานผู้บริสุทธิ เร็วและ แรง ทันตา
- มารห้ามเพ่ง มารห้ามกำหนดรู้. พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย มันทำลายศาสนาจริงๆ
- การใส่ร้ายพระกรรมฐาน ทั้งอดีตปัจจุบันและอนาคต ว่าไม่มี มรรคผล นิพพาน เป็นการทำลายสงฆ์
- ภัยลูกผู้หญิง. ระวังมีพระชั่วมาบอกว่าเป็นลูก. เพื่อหลอกเงินให้เมีย
- พระโง่ ใส่ร้ายพระกรรมฐานผู้บริสุทธิ. กรรมตามทัน. ไม่ตายก็เลี้ยงเมียไม่โต
- อนุศาสนีย์พระศาสดา. จงเพ่ง จงกำหนดรู้. ระวังลัทธิมาร มันห้ามเพ่ง ห้ามกำหนดรู้
- อย่า เวียนว่ายตายเกิด โดยไม่มีทิศทาง....ทิศทางของการเวียนว่ายตายเกิด
- ฝากเงินแทนใจ ฝากพระไปบำรุงพระศาสนา แต่พระชั่วช้า เอาไป บำรุงเมีย
- ต้องใช้เงินบริสุทธิของญาติโยมอีกเท่าใด จึงจะหล่อเลี้ยงความรักของเมียได้ ตลอดกาล
- ขบวนการทำลายพระพุทธศาสนา มีจริง เริ่มจากให้ พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- รักษาพระธรรมวินัยเท่าชีวิต ดีกว่ามีชีวิตโดยไม่มีพระธรรมวินัย พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- พระที่ปาราชิกเพราะพูดโกหกไปแล้ว. มันไม่ใช่พระ เป็นแค่ เดนคน
- น่าสงสารพระโง่ ซึ้งในความรักของเมีย. มากกว่าซึ้งในรสพระธรรม
- วจีสังหาร จาก มโนสังขาร. สมาธิไม่เกี่ยวกับ มรรคผล นิพพาน ที่พระชั่วมันกล่าว
- ทิฐิที่ไปนิพพาน. คือความระลึกรู้ว่า ตอนนี้กำลังอยู่ในวัฏฏสงสาร ( คือทุกข์)
- พวกมารยกกองทัพมาตั้งพัน. หมายทำลายโพธิบัลลัง( สมาธิ )ของพระศาสดา
- ผลกรรมที่เกิดจากก่ารใส่ร้ายพระกรรมฐาน มีจริง และวิบากนั้นก็จะให้ผลในชาตินี้นี่แหละ
- หมั่นตรวจสภาพจิต ดูแลสภาพใจ อย่าให้ อกุศลเจตนาเกิดขึ้นได้ จะพ้นภัยกรรมเวร
- ในวัฏฏสงสารที่ยาวนาน จิตที่ไม่เคยรับการตรวจสภาพเลย ...มีอยู่
- ตรวจสภาพจิต ก่อนหลับ และ ก่อนตื่น ว่ามีอะไรที่ปรุงแต่งจิตได้อยู่
- ระวังมิจฉาชีพ ที่หากินด้วยการ รับตรวจสภาพจิตผู้คน
- ตรวจดูสภาพจิตด้วยตนเอง โดยพระไตรปิฏก หลีกเลี่ยงมิจฉาชิพที่หากินกับศรัทธาของคน
- ขบวนการทำลายพระพุทธศาลนา มีจริง เริ่มจาก. ให้พระมีเมียได้. เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- กรรมของพระขี้อิจฉา. เมื่อคนรู้ว่า พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- สมาธิคือ สมถและวิป้สสนา คนไม่เคยอ่านพระไตรปิฏกไม่มีว้นรู้และเข้าใจ. พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้ภรรยา
- 真実 は 嘘 を 嘘 から は 真実 を 夢中 で 探して きた けど
- ความใจกว้าง ที่เกินกว่าพระธรรมวินัยจะทนรับไหว พระมีเมียได้ เอาเงินญาติให้เมีย
- ความละอายใจต่อบาป....ความไม่ละอายใจต่อบาป.....พระมีเมียได้..เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- นรกอยู่ข้างล่าง...สวรรคอยู่ข้างบน...ถ้าไม่มีความสงสาร...จิตย่อมไม่พ้นจากความไม่ละอาย
- คนที่คอยแก้ต่างให้พระชั่ว ย่อมได้รับผลกรรมเดียวกัน
- การสงสารลูกผู้หญิ่งที่โดนพระชั่ว หลอกลวงเงินไปให้เมีย เป็นบุญ
- ถึงกลุ่มคนชั่ว ที่มาโขมยใช้ blog shadee829
- ผม shadee829 โดย ขโมย blog
- ตัณหาอันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ฯ
- ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ถึงธรรมโดยไว
- การ "หลงสภาวะ" เพราะไม่เพ่ง ไม่กำหนดรู้ เป็น วิปัสสนูกิเลส
- อรหัตตมรรค ยังมีเวทนาให้กำหนดรู้.......อรหัตตผล..ไม่มีเวทนา
- .........พระพุทธองค์ยังทรง..รออยู่..
- การ กำหนดจิต รู้ใจตนเอง..และผู้อื่น..ป้องกันการหลอกลวงจากพวก..มิจฉาชีพ
- วิชชา.....สลับวิญญาณ....เพื่อความเบื่อหน่าย..คลายกำหนัดจากวิญญาณ
- โลกนี้....โลกหน้า..ไม่มีใน พระนิพพาน...ปฐมนิพพานสูตร..
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด...เป็นเหตุแห่ง..ทิฏฐินิสัย..และเป็น..ทิฏฐิสังโยชน์
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด....สตตวิญาณฏฐิติวณณนา...
- ความท้อแท้..และ..ความเพ่งเฉพาะ..ความเป็นกลางแห่งจิต.
- ตายแล้วจะไปไหน....ทูลถามพระพุทธเจ้า..อย่าไปเอง...เดี๋ยวหลง..
- สัมมาทิฏฐิ...ว่าด้วยความเห็นชอบ..สาธยายโดยท่านพระสารีบุตร
- ฝั่งนี้.....และ.ฝั่งโน้น...ที่น้อยคนจะไปถึง เพราะติดอยู่ในบ่วงมาร.
- เนื่องในวันมาฆบูชา....การส่งเสริมผู้อื่นทำสมาธิ....เป็นบุญมหาศาล..ประมาณไม่ได้
- เนื่องในวันมาฆบูชา....การห้ามผู้อื่นทำสมาธิ..เป็นบาปอย่างยิ่ง
- กราบท่านเซ็น ท่านจิต ท่านปล่อย ท่านดาญาณ และท่านฐานาฐานะ เนื่องในวันมาฆบูชาครับ
- ปุคคลบัญญัติ......การบัญญัติ..แจกแจง...จำแนก...บุคคล
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด.....สักกายทิฐิ.....ปฏิสนธิวิญญาณ..
- วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด คือสักกายทิฐิ ( ความยึดมั่น ถือมั่น ว่าวิญญาณเป็นตัวตน )
- การถอดองค์ประกอบของปัจจัยแห่งวิญญาณ เพื่อทำลายสักกายทิฐิ
- กราบขอบพระคุณท่าน ฐานาฐานะ ที่เอื้อเฟื้อ พระสูตรนี้
- สัมมาทิฏฐิ ของผู้มีความเห็นซื่อตรง ต่อ พระนิพพาน
- เมื่อพวกมาร ไม่สามารถใส่ร้าย ผู้ปฏิบัติ สมถะและวิปัสสนาได้
- ตัวของเราในชาติหน้า ย้อนกลับมาบอกเราในชาตินี้ ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง
- ทำไมต้องกลับบ้าน,,,,,เพราะวิญญาณย่อมเวียนกลับนามรูป,, ไม่เลยไปอื่นเลย
- ทิฏฐิที่กำหนด เพื่อเกิดในภพน้อย และภพใหญ่
- เพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย,,,,,,,,,โพธิกถา,,,,,,,,,,,,,
- อะไร คือ เหตุปัจจัย
- อะไรที่ มีจริง,,,,,,ไม่มีจริง,,,,,,,,มีจริงๆ,,,,,,,,ไม่มีจริงๆ
- สมาธิ เป็น มรรค เพราะอรรถว่าเป็น ประธาน
- กราบขอบพระคุณท่านโชติ ท่านเซ็นเถรวาทปฐมสังคายนาครับ ( f = 9b )
- โลกนี้..มีแต่นิทาน....มหานิทานสูคร
- จิตว่างๆ ที่ยังว่างได้อีก เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิต ที่ค่อยๆสิ้นอาสวะ
- จิตตสหภูธรรม
- การเพิกถอน การถือว่าเรานี้มีอยู่ นิสสารณียธาตุ ๖
- ชาติหน้าของคนอื่น ( สัสสตทิฏฐิ ) ชาติหน้าของตัวเรา ( อัสสาททิฏฐิ )
- ความทะเลาะ ความวิวาท มีมาแต่อะไร กลหวิวาทสุตตนิเทสที่ ๑๑
- กตัญญูกตเวทีบุคคล ทำบุญอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ อิโตทินนกถา
- สมาธิสูตร .... ว่าด้วยสมาธิเป็นเหตุเกิดปัญญา
- ธรรมเทศนา กับธรรมเทศนา หรือ อนุศาสนี กับอนุศาสนี
- กุศลธรรม เป็นปัจจัยแก่กุศลธรรม โดยอารัมมณปัจจัย
- อิจฉาวจรอกุศล อนังคณสูตร
- การสมมุติตามความเป็นจริง " เราทั้งหลายกำลังจะตาย เพราะเราทั้งหลายได้ตายมาแล้ว " มรณานุสติ
- อภิภายตนะ ( คือเหตุเครื่องครอบงำธรรมอันเป็นข้าศึกและอารมณ์ ) และ กสิณายตนะ (เพื่อ อภิญญา )
- ความเป็นผู้ชำนาญในการเข้าสมาธิ โดยท่านพระสารีบุตร
- พรหมจรรย์นี้ในพระศาสดา
- อวิคตปัจจโย
- ความรู้สึกไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ที่เข้มแข็ง ตั้งมั่น เป็นสมาธิ
- ธรรมเป็นอุปาทาน และสัมปยุตด้วยอุปาทาน เป็นไฉน ?
- ความตรัสรู้ด้วย สมถะ และ วิปัสสนา ด้วยความว่ามีกิจเป็นอันเดียวกัน
- มโนธาตุ เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา
- สมาธิภาวนามยญาณ สภาพในความเป็นสมาธิแห่งสมาธิ
- ธรรม เพื่อความไม่เกิด ( อีก ) ต่อไป ... ปังคิยมาณวกปัญหา
- ธรรมจักร ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมจักรกถา
- เครื่องสลัดออกแห่งอุปทานขันธ์ ๕ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้
- คำอธิษฐานเวลาทำบุญ ขอมีส่วนรู้ เห็น ในธรรมที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสรู้
- จิตตุปบาท ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ เป็นไฉน ?
- ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิ เข้ายึดครอง และไม่เข้ายึดครอง
- ทุกขนิโรธคามินีปฏปทา และ พระนิพพาน
- อายตนะ ๑๑ เป็น โนจิตตะ อายตนะ ๑๑ เป็น อเจตสิกะ
- โยนิโสมนสิการ เป็น นิมิต แห่งอริยมรรค โยนิโสมนสิการสัมปทาสูตร
- สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐานกถา
- มโนสัญเจตนา ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป เพราะ อวิชชา
- โคตรภูญาณ ด้วยอำนาจ สมถะ ๘ วิปัสสนา ๑๐
- กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓ เหตุโคจฉกะ
- กฏ แห่ง กรรม
- จูฬสงคราม ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้เข้าสงคราม และประโยชน์ของพระวินัย
- อนุปาทาปรินิพพานสูตร ข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน
- เหตุเกิดวิบาก วิปากติกะ ปฏิจจวาร
- คำถามที่พระพุทธองค์ไม่ทรงพยากรณ์ และ อนุปาทาปรินิพพาน
- วิมุตติ ความหลุดพ้น
- ดับ อวิชชา ด้วย สมาธิ ที่ ปฏิสังยุต ด้วย อานาปานสติ
- วิปัสสนาญาน และ นิพพาน
- มโนมยิทธิ กับวิชาธรรมกาย
- ชวนปัญญา ในมหาปัญญา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- การบัญญัติ อนุปาทาปรินิพพาน ในปัจจุบัน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- อินทรีย์เพื่อความ ตรัสรู้ ตามพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ความเป็นผู้ชำนาญในอินทรีย์ ๓ โดยอาการ ๖๔ เป็น อาสวักขยญาณอย่างไร ?
- อภิภายตนะ ( ๑๗๘ ) ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
- กรรมมีแล้ว วิบากกรรมมีอยู่ การใส่ร้ายพระกรรมฐาน ของพวกมาร
- ความวิบัติ ที่เกิดจากวิบากอกุศลกรรม ใส่ร้ายพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ว่าทำคุณไสย์
- พระอริยะสงฆ์ อยู่กับ ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ และปัญญาขันธ์ พระชั่ว อยู่กับเมีย
- มโนสัญเจตนา อกุศลสังขาร ที่ไม่กำเริบ เพราะดับสนิทเด็ดขาด
- อวิชชาอาสวะ การยึดมั่น ถือมั่นอย่างแรงกล้าว่า ขันธ์ห้า เป็นของๆตน
- การสำนักได้ด้วยปัญญาว่าขันธ์ทั้งหลายเป็นเพียงที่ อาศัยระลึก อนาสวสัมมาทิฐิ
- ชวนจิต ชวนปัญญา อะนัญญัสสามีตินทรีย์ การเลื่อนฌาน การเลื่อนญาณ
- การกำหนดรู้ กุศล อกุศล พระมีเมียได้ เอาเงินญาติโยมให้เมีย
- การถือศีล แต่ไม่ทำสมาธิ และ ความไม่มั่นใจ ในธรรมะของพระพุทธองค์ เพราะมารห้ามเพ่ง
- อนุศาสนีย์พระศาสดา จงเพ่ง กำหนดรู้ นิกันติของมาร ไม่เพ่ง ไม่กำหนดรู้
- ทิฐิวิสุทธิ์ ของพระโสดาบัน
- การลบหลู่ไม่เคารพยำเกรง และ เนรคุณพระศาสดา พระศาสดาตรัส จงเพ่ง
- การมีอุปทานไปเองว่า สมาธิเป็นสิ่งไม่ดี ของสำนักเพื่อเมีย เพราะเมียร้อนเงิน
- การนับปัจจัยวิญญาณ ( มหาตัณหาสังขยสูตร ) ระวังมารห้ามเพ่ง มารห้ามรู้
- พระพุทธองค์ ตรัส จงเพ่ง แต่มารห้ามเพ่ง ดูเอาเองว่าใครเป็น มาร
- การไม่กำหนดรู้ เป็น อวิชชาสวะ อย่างไร ?
- โชคดีที่ไม่ได้เป็น โสดา เพราะโสดารับแจก จาก อรหันปลอมๆ เยอะแล้ว
- การทะนุถนอมเลี้ยงดู อนุสัยในจิตใจ ด้วยวิธีของมาร อย่าเพ่ง อย่ากำหนดรู้
- ท่านพุทธทาส กับ มหาตัณหาสังขยสูตร และภิกษุผู้กล่าวตู่พระศาสดา
- ถึงคุณ azazelzk เรื่องท่านพุทธทาส ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณ
- สติปํฏฐานสี่ พระมีเมียไม่ได้ แต่ มิจฉาสติของมาร พระมีเมียได้
- พระแท้ พระดี ไม่มีเมีย พระเลว พระชั่ว มีเมียได้
- อวิชชา ความไม่รู้ว่าความเกิดเป็นทุกข์ เพราะมารห้ามเพ่ง
- ความตระหนกเมื่อสังขารแปรเปลี่ยน และ ความตระหนักว่าสังขารย่อมแปรปรวน เป็น ญาณ
- ท่านพุทธทาส กับ ทิฐิกถา ผู้มีดวงตาเห็นธรรม
- ภวตัณหา ภวทิฐิ โลกนี้-โลกหน้า เป็น ทุกขสมุทัย
- เมื่อ อุปทานดับ ภพ ( โลกนี้-โลกหน้า ) จึงดับ เมื่อ วิญญาณดับ นามรูป ( กาย-ใจ ) จึงดับ
- ขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย บันดาลให้พ่อของท่านจิต อาการปลอดภัยโดยไว
- นับถอยหลังวัฏฏสงสาร มหาตัณหาสังขยสูตร และ อัสสุตวตาสูตร
- ตัณหาทิฐิ สิทธิส่วนบุคคล ชอบพระมีเมีย ไม่ชอบพระมีเมีย เชื่อพระมีเมีย ไม่เชื่อพระมีเมีย
- พระธรรมวินัยทรงตรัสไว้แทนองค์พระศาสดา บัดนี้ไม่รักษา ภายหน้าจักไม่มี
- มิจฉาสติ เมื่อระลึกเสมอว่า " พระมีเมียได้ " "อย่าเพ่งเดี่ยวเห็นเมีย"
- ลัทธิมาร มิจฉาทิฐิ "พระมีเมียได้ " ทำลายธรรมวินัย
- หยุดทำร้ายพระพุทธศาสนา มิจฉาทิฐิ "พระมีเมียได้ "
- อาสวโคจฉกะ
- สังขารุเปกขาญาณ
- โลกุตตรกุศลจิต มรรคจิตดวงที่ ๑
- ยุคนัทธวรรค โลกุตรกถา
- ยุคนัทธวรรค วิราคกถา วิราคะเป็นมรรค
- มหาวรรค กรรมกถา
- ( ๓๐๖ ) ทิฏฐิ ๑๖
- สติ กับ มหาปัฏฐาน
- จงละรูปเสีย เพื่อความไม่เกิดต่อไป จงละตัณหาเสียเพื่อความไม่เกิดต่อไป
- ๙. นิพพิทาสูตร
- ขอ....สัตว์ที่เนื่องด้วย อัตตาสภาพทั้งปวง.
- ปริหานสูตร ... อภิภายตนะ ๖.
- ( ๑๐ ) อาสวักขยสูตร
- ธรรมเพื่อดับราคะ
- กราบอนุโมทนา กะทู้ที่งดงามที่สุด ในห้องศาสนา ของคุณอิ่ม
- ( อภิสังขาร ) สาสวาสัมมาทิฏฐิ และ ( วิสังขาร ) อนาสวาสัมมาทิฏฐิ
- ๕. อนุคคหสูตร
- ญาณ ๕ ( ญาณ ไม่ใช่ ฌาณ ) ของท่านเซ็น คือผลจิต
- ความรู้สึก (วิญญาณ) เป็นรูปเป็นร่าง(นามรูป) เป็นตัวเป็นตน(อัตตา)
- อภิภายตนะ วิโมกข์ วิมุตติยายตนะ
- ๑๐. เจตนาสูตรที่ ๓
- ....... โสดา.........
- ความเชื่อ ( ทิฏฐิ ) ชักจูงความคิด ( สังขาร ปรุงแต่ง )
- อาสวะที่ละได้ เพราะการสังวร
- อาสวะที่พึงละได้ เพราะการเว้นรอบ
- ๑๓. สมาธิสังยุต ผู้ได้ฌาณที่เป็นเลิศ
- อาสวะที่ละได้เพราะการบรรเทา
- สุญญตาวรรค ๑. จูฬสุญญตสูตร ( ๑๒๑ )
- ว่าด้วยผลแห่งสัญญาในพระพุทธเจ้า
- จิตประภัสสร แต่เศร้าหมองแล้วด้วยอุปกิเลสที่จรมา
- เอกกมาติกา
- อวิชชาสูตร
- อิทธิบาท 4 และ องค์ฌาณ (ความเห็นส่วนตัว)
- อัสสาทสูตร
- อริยะสาวกนั้น ย่อมมนสิการโดยแยบคาย
- การกำหนด จิตสัมผัสรูปปรมัตถุ์
- เทวดาสังยุต นิโมกขสูตรที่๒
- โลกุตตระธรรม สัมมัปธาน4 คือสัมมาวายามะ
- ธรรมมะง่ายๆ
- วิปัสสนาญาณ
- ฉวิโสธนสูตร
- บทสวดมนต์ที่ควรสวดเมื่อมีโอกาส
- เศษสังขาร เศษกรรม
- ท่านพุทธทาส
- วิญญาณ
- ขอแสดงกตัญญุตา
- สติ
|
|
|
|
|
ความทะเลาะ ความวิวาท มีมาแต่อะไร กลหวิวาทสุตตนิเทสที่ ๑๑
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส
กลหวิวาทสุตตนิทเทสที่ ๑๑ [๔๔๑] ข. (พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า) ความทะเลาะ ความวิวาท ความรำพัน ความโศก ความตระหนี่ ความถือตัว ความดูหมิ่น และความพูดส่อ เสียด มีมาแต่อะไร ขอเชิญพระองค์ตรัสบอกว่า กิเลสเหล่านั้นมีมา แต่อะไร? ว่าด้วยความทะเลาะวิวาท [๔๔๒] ชื่อว่า ความทะเลาะ ในคำว่า ความทะเลาะ ความวิวาท ... มีมาแต่อะไร? ความว่า ความทะเลาะ และความวิวาททั้ง ๒ นั้นเป็นอย่างเดียวกัน โดยอาการเดียวกัน คือ ความ ทะเลาะใด ความทะเลาะนั้นเป็นความวิวาท ความวิวาทใด ความวิวาทนั้นเป็นความทะเลาะ. อีกอย่างหนึ่ง โดยอาการอื่น ความวิวาทที่เป็นเบื้องต้นแห่งความทะเลาะ เรียกว่า ความวิวาท กล่าวคือ แม้พระราชาก็วิวาทกับพวกพระราชา แม้พวกกษัตริย์ก็วิวาทกับพวกกษัตริย์ แม้พวก พราหมณ์ก็วิวาทกับพวกพราหมณ์ แม้พวกคฤหบดีก็วิวาทกับพวกคฤหบดี แม้มารดาก็วิวาทกับ บุตร แม้บุตรก็วิวาทกับมารดา แม้บิดาก็วิวาทกับบุตร แม้บุตรก็วิวาทกับบิดา แม้พี่น้องชายก็ วิวาทกับพี่น้องหญิง แม้พี่น้องหญิงก็วิวาทกับพี่น้องชาย แม้สหายก็วิวาทกับสหาย นี้ชื่อว่า ความวิวาท. ความทะเลาะเป็นไฉน? พวกบุคคลผู้ครองเรือนขวนขวายหาโทษกัน ก็ทำความทะเลาะ กันด้วยกาย ด้วยวาจา พวกบรรพชิตต้องอาบัติอยู่ ก็ทำความทะเลาะกันด้วยกาย ด้วยวาจา นี้ ชื่อว่า ความทะเลาะ. คำว่า ความทะเลาะ ความวิวาท มีมาแต่อะไร? ความว่า พระพุทธนิมิตสอบ ถาม ขอให้ตรัสบอก เชิญให้ทรงแสดง ขอให้ประกาศ ซึ่งมูล เหตุนิทาน เหตุเกิด แดน เกิด สมุฏฐาน อาหาร อารมณ์ ปัจจัยสมุทัยแห่งความทะเลาะและความวิวาทว่า ความทะเลาะ และความวิวาทมีมา คือ เกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏมาแต่อะไร คือ มีอะไร เป็นนิทาน เป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความ ทะเลาะ ความวิวาทมีมาแต่อะไร? ว่าด้วยความรำพัน [๔๔๓] ชื่อว่า ความรำพัน ในคำว่า ความรำพัน ความโศก ความตระหนี่ ความว่า ความเพ้อถึง ความรำพัน กิริยาที่เพ้อถึง กิริยาที่รำพันถึง ความเป็นผู้เพ้อถึง ความเป็นผู้รำพัน ถึง ความพูดเพ้อ ความบ่นเพ้อ ความพร่ำเพ้อ อาการพร่ำเพ้อ ความเป็นผู้พร่ำเพ้อ ของคน ที่ถูกความเสื่อมแห่งญาติกระทบเข้าบ้าง ที่ถูกความเสื่อมแห่งโภคสมบัติกระทบเข้าบ้าง ที่ถูก ความเสื่อมเพราะโรคกระทบเข้าบ้าง ที่ถูกความเสื่อมแห่งศีลกระทบเข้าบ้าง ที่ถูกความเสื่อม แห่งทิฏฐิกระทบเข้าบ้าง ที่ประจวบกับความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใด อย่างหนึ่งกระทบเข้าบ้าง. ว่าด้วยความโศก ชื่อว่า ความโศก คือ ความเศร้าโศก กิริยาเศร้าโศก ความเป็นผู้เศร้าโศก ความ เศร้าโศกภายใน ความตรมตรอมในภายใน ความเดือดร้อนในภายใน ความเร่าร้อนในภายใน ความตรอมเตรียมแห่งจิต ความโทมนัส ลูกศรคือความเศร้าโศก ของคนที่ถูกความเสื่อมแห่งญาติ กระทบเข้าบ้าง ที่ถูกความเสื่อมแห่งโภคสมบัติกระทบเข้าบ้าง ที่ถูกความเสื่อมเพราะโรคกระทบ เข้าบ้าง ที่ถูกความเสื่อมแห่งศีลกระทบเข้าบ้าง ที่ถูกความเสื่อมแห่งทิฏฐิกระทบเข้าบ้าง ที่ ประจวบกับความเสื่อมอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ที่ถูกเหตุแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบเข้าบ้าง. ว่าด้วยความตระหนี่ ชื่อว่า ความตระหนี่ ได้แก่ ความตระหนี่ ๕ ประการ คือ ความตระหนี่อาวาส ความ ตระหนี่สกุล ความตระหนี่ลาภ ความตระหนี่วรรณะ ความตระหนี่ธรรม ความตระหนี่เห็น ปานนี้ กิริยาที่ตระหนี่ ความเป็นผู้ประพฤติตระหนี่ ความเป็นผู้ปรารถนาต่างๆ ความเหนียวแน่น ความเป็นผู้มีจิตหดหู่เจ็บร้อนในการให้ ความที่จิตอันใครๆ ไม่เชื่อถือได้ในการให้ นี้เรียกว่า ความตระหนี่ อีกอย่างหนึ่ง ความตระหนี่ขันธ์ก็ดี ความตระหนี่ธาตุก็ดี ความตระหนี่อายตนะก็ดี นี้เรียกว่า ความตระหนี่. ความมุ่งจะเอา ก็เรียกว่า ความตระหนี่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความรำพัน ความโศก ความตระหนี่. ว่าด้วยความถือตัว [๔๔๔] ชื่อว่า ความถือตัว ในคำว่า ความถือตัว ความดูหมิ่น และความพูดส่อเสียด พึงทราบอธิบายดังนี้ บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังความถือตัวให้เกิดโดยชาติบ้าง โดยโคตรบ้าง โดยความเป็นบุตรแห่งสกุลบ้าง โดยความเป็นผู้มีรูปงามบ้าง โดยทรัพย์บ้าง โดยการปกครอง บ้าง โดยหน้าที่การงานบ้าง โดยหลักแหล่งแห่งศิลปศาสตร์บ้าง โดยวิทยฐานะบ้าง โดยการ ศึกษาบ้าง โดยปฏิภาณบ้าง โดยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง. ว่าด้วยความดูหมิ่น ชื่อว่า ความดูหมิ่น คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมดูหมิ่นผู้อื่นโดยชาติบ้าง โดย โคตรบ้าง ฯลฯ โดยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง. ว่าด้วยการพูดส่อเสียด ชื่อว่า ความพูดส่อเสียด คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีวาจาส่อเสียด คือ ฟังจากข้างนี้แล้วไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายคนหมู่นี้ หรือฟังจากข้างโน้นแล้วมาบอกข้างนี้ เพื่อ ทำลายคนหมู่โน้น เป็นผู้ทำลายคนที่พร้อมเพรียงกันบ้าง สนับสนุนคนที่แตกกันแล้วบ้าง ชอบ ผู้ที่เป็นก๊กกัน ยินดีผู้ที่เป็นก๊กกัน เพลินคนที่เป็นก๊กกัน เป็นผู้กล่าววาจาที่ทำเป็นก๊กกัน นี้ เรียกว่า ความพูดส่อเสียด. อีกอย่างหนึ่ง บุคคลย่อมนำคำส่อเสียดเข้าไปด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ นำคำส่อเสียดเข้าไปด้วยความมุ่งหมายเป็นที่รัก ๑ มีความประสงค์ให้เขาแตกกัน จึงนำคำ ส่อเสียดเข้าไป ๑. บุคคลนำคำส่อเสียดเข้าไปด้วยความมุ่งหมายเป็นที่รักอย่างไร? บุคคลนำคำส่อเสียดเข้า ไปด้วยความมุ่งหมายเป็นที่รักอย่างนี้ว่า เราจักเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นที่สนิท เป็นภายใน เป็นที่ดีใจ ของบุคคลนี้. บุคคลผู้มีความประสงค์ให้เขาแตกกัน จึงนำคำส่อเสียดเข้าไปอย่างไร? บุคคลผู้มีความ ประสงค์ให้เขาแตกกันอย่างนี้ว่า ชนเหล่านี้ พึงเป็นต่างกัน แยกกัน เป็นก๊กกัน เป็นสองเหล่า สองพวก สองฝ่าย ชนเหล่านี้ พึงแตกกัน ไม่ปรองดองกัน พึงอยู่ลำบากไม่ผาสุก ด้วยอุบาย อย่างไร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความถือตัว ความดูหมิ่น และความพูดส่อเสียด. [๔๔๕] คำว่า ขอเชิญพระองค์จงตรัสบอกว่า กิเลสเหล่านั้น มีมาแต่อะไร? ความว่า พระพุทธนิมิตตรัสถาม สอบถาม ขอให้ตรัสบอก เชิญให้ทรงแสดง ขอให้ประกาศ ซึ่งมูล เหตุ นิทาน เหตุเกิด แดนเกิด สมุฏฐาน อาหาร อารมณ์ ปัจจัย สมุทัย แห่งกิเลส ๘ ประการนี้ว่า กิเลส ๘ ประการนี้ คือ ความทะเลาะ ความวิวาท ความรำพัน ความโศก ความตระหนี่ ความถือตัว ความดูหมิ่น และความพูดส่อเสียด มีมา คือ เกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏมาแต่อะไร คือ มีอะไรเป็นนิทาน มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็น ชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กิเลสเหล่านั้นมีมาแต่อะไร. คำว่า ขอเชิญ พระองค์จงตรัสบอก คือ ขอเชิญพระองค์จงตรัสบอก ตรัสตอบ แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ประกาศ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ขอเชิญพระองค์จงตรัสบอกว่า กิเลสเหล่านั้นมี มาแต่อะไร. เพราะเหตุนั้น พระพุทธนิมิตนั้นจึงตรัสถามว่า ความทะเลาะ ความวิวาท ความรำพัน ความโศก ความตระหนี่ ความถือตัว ความดูหมิ่น และความพูดส่อเสียดมีมาแต่อะไร? ขอเชิญ พระองค์จงตรัสบอกว่า กิเลสเหล่านั้นมีมาแต่อะไร? [๔๔๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า) ความทะเลาะ ความวิวาท ความรำพัน ความโศก ความตระหนี่ ความถือตัว ความดูหมิ่น และความพูด ส่อเสียด มีมาแต่สิ่งที่รัก ความทะเลาะ ความวิวาท ประกอบในความ ตระหนี่ และเมื่อความวิวาทกันเกิดแล้ว ความพูดส่อเสียดก็มี. ว่าด้วยความทะเลาะ ... มาจากสิ่งที่รัก [๔๔๗] ชื่อว่า สิ่งที่รัก ในคำว่า ความทะเลาะ ความวิวาท ความรำพัน ความโศก ความตระหนี่ ... มีมาแต่สิ่งที่รัก ได้แก่ วัตถุเป็นที่รัก ๒ อย่าง คือ สัตว์ ๑ สังขาร ๑. สัตว์ผู้เป็นที่รักเป็นไฉน? ชนเหล่าใดในโลกนี้ เป็นผู้ใคร่ความเจริญใคร่ ประโยชน์ ใคร่ความสบาย ใคร่ความปลอดโปร่งจากโยคกิเลส คือ เป็นมารดา เป็นบิดา เป็นพี่น้องชาย เป็นพี่น้องหญิง เป็นบุตร เป็นธิดา เป็นมิตร เป็นพวกพ้อง เป็นญาติ หรือเป็นสาโลหิต ชนเหล่านี้ชื่อว่า สัตว์ผู้เป็นที่รัก. สังขารเป็นที่รักเป็นไฉน? รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่ชอบใจเหล่านี้ชื่อว่า สังขารเป็นที่รัก. ชนทั้งหลาย แม้ผู้มีความหวาดระแวงในการแย่งชิงวัตถุที่รัก ย่อมทะเลาะกัน คือ เมื่อวัตถุที่รักกำลังถูกแย่งชิงเอาไป ย่อมทะเลาะกันบ้าง เมื่อวัตถุที่รักถูกแย่งชิงไปแล้ว ย่อม ทะเลาะกันบ้าง. แม้ผู้มีความหวาดระแวงในความแปรปรวนไปแห่งวัตถุที่รัก ย่อมทะเลาะกัน คือ เมื่อวัตถุที่รักกำลังแปรปรวนไป ย่อมทะเลาะกันบ้าง เมื่อวัตถุที่รักแปรปรวนไปแล้ว ย่อมทะเลาะ กันบ้าง. แม้ผู้มีความหวาดระแวงในการแย่งชิงวัตถุที่รัก ย่อมวิวาทกัน คือ เมื่อวัตถุที่รักกำลัง ถูกแย่งชิงเอาไป ย่อมวิวาทกันบ้าง เมื่อวัตถุที่รักถูกแย่งชิงไปแล้ว ย่อมวิวาทกันบ้าง. แม้ผู้มี ความหวาดระแวงในความแปรปรวนไปแห่งวัตถุที่รัก ย่อมวิวาทกัน คือ เมื่อวัตถุที่รักกำลัง แปรปรวนไป ย่อมวิวาทกันบ้าง เมื่อวัตถุที่รักแปรปรวนไปแล้ว ย่อมวิวาทกันบ้าง. แม้ผู้มีความ หวาดระแวงในการแย่งชิงวัตถุที่รัก ย่อมรำพัน คือ เมื่อวัตถุที่รักกำลังถูกแย่งชิงเอาไป ย่อมรำพัน บ้าง เมื่อวัตถุที่รักถูกแย่งชิงไปแล้ว ย่อมรำพันบ้าง. แม้ผู้มีความหวาดระแวงในความแปรปรวน ไปแห่งวัตถุที่รัก ย่อมรำพัน คือ เมื่อวัตถุที่รักกำลังแปรปรวน ย่อมรำพันบ้าง เมื่อวัตถุที่รัก แปรปรวนไปแล้ว ย่อมรำพันบ้าง. แม้ผู้มีความหวาดระแวงในการแย่งชิงวัตถุที่รัก ย่อมเศร้าโศก คือ เมื่อวัตถุที่รักกำลังถูกแย่งชิงเอาไป ย่อมเศร้าโศกบ้าง เมื่อวัตถุที่รักถูกแย่งชิงไปแล้ว ย่อม เศร้าโศกบ้าง. แม้ผู้มีความหวาดระแวงในความแปรปรวนไปแห่งวัตถุที่รัก ย่อมเศร้าโศก คือ เมื่อวัตถุที่รักกำลังแปรปรวนไป ย่อมเศร้าโศกบ้าง เมื่อวัตถุที่รักแปรปรวนไปแล้ว ย่อมเศร้าโศก บ้าง. และย่อมรักษา ปกครอง ป้องกัน หวงห้าม ตระหนี่วัตถุที่รัก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความทะเลาะ ความวิวาท ความรำพัน ความเศร้าโศก ความตระหนี่ มีมาแต่สิ่งที่รัก. [๔๔๘] คำว่า ความถือตัว ความดูหมิ่น และความพูดส่อเสียด ความว่า ชนทั้งหลาย ย่อมยังความถือตัวให้เกิดเพราะอาศัยวัตถุที่รัก ย่อมยังความดูหมิ่นให้เกิดเพราะอาศัยวัตถุที่รัก. ชนทั้งหลายย่อมยังความถือตัวให้เกิดเพราะอาศัยวัตถุที่รักอย่างไร? ชนทั้งหลายย่อมยัง ความถือตัวให้เกิดเพราะอาศัยวัตถุที่รักอย่างนี้ว่า พวกเรามีปกติได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่ชอบใจ. ชนทั้งหลาย ย่อมยังความดูหมิ่นให้เกิด เพราะอาศัยวัตถุที่รักอย่างไร? ชนทั้งหลาย ย่อมยังความดูหมิ่นให้เกิดเพราะอาศัยวัตถุที่รักอย่างนี้ว่า พวกเรามีปกติได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่ชอบใจ. ส่วนชนเหล่านี้ ไม่ได้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่ชอบใจ. คำว่า ความพูดส่อเสียด ความว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีวาจาส่อเสียด คือ ฟังจากข้างนี้แล้วไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายคนหมู่นี้ ฯลฯ บุคคลเป็นผู้มีความประสงค์ให้เขา แตกกันอย่างนี้ว่า ... ชนเหล่านี้พึงแตกกัน ไม่ปรองดองกัน พึงอยู่ลำบาก ไม่ผาสุก ด้วยอุบาย อย่างไร ก็นำคำส่อเสียดเข้าไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความถือตัว ความดูหมิ่น และความ พูดส่อเสียด. [๔๔๙] คำว่า ความทะเลาะ ความวิวาท ประกอบในความตระหนี่ ความว่า กิเลส ๗ ประการนี้ คือ ความทะเลาะ ความวิวาท ความรำพัน ความเศร้าโศก ความถือตัว ความดูหมิ่น และความพูดส่อเสียด ประกอบ ตกแต่ง เนื่อง สืบเนื่อง ในความตระหนี่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อ ว่า ความทะเลาะ ความวิวาท ประกอบในความตระหนี่. [๔๕๐] คำว่า เมื่อความวิวาทกันเกิดแล้ว ความพูดส่อเสียดก็มี ความว่า เมื่อความ วิวาทกันเกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏแล้ว ชนทั้งหลายย่อมนำคำส่อเสียด เข้าไป คือ ฟังจากข้างนี้แล้วไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายคนหมู่นี้ หรือฟังจากข้างโน้นแล้วมา บอกข้างนี้ เพื่อทำลายคนหมู่โน้น เป็นผู้ทำลายคนที่พร้อมเพรียงกันบ้าง สนับสนุนคนที่แตก กันแล้วบ้าง ชอบผู้ที่เป็นก๊กกันบ้าง ยินดีผู้ที่เป็นก๊กกัน เพลินคนที่เป็นก๊กกัน เป็นผู้กล่าววาจา ที่ทำให้เป็นก๊กกัน นี้เรียกว่า ความพูดส่อเสียด. อีกอย่างหนึ่ง ชนทั้งหลายย่อมนำคำส่อเสียด เข้าไปด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ นำคำส่อเสียดเข้าไปด้วยความมุ่งหมายเป็นที่รัก ๑ มีความ ประสงค์ให้เขาแตกกันจึงนำคำส่อเสียดเข้าไป ๑. ชนทั้งหลาย นำคำส่อเสียดเข้าไปด้วยความมุ่งหมายเป็นที่รักอย่างไร? ชนทั้งหลาย นำคำส่อเสียดเข้าไปด้วยความมุ่งหมายเป็นที่รักอย่างนี้ว่า พวกเราจักเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็น ที่สนิท เป็นภายใน เป็นที่ดีใจของบุคคลผู้นี้. ชนทั้งหลาย ผู้มีความประสงค์ให้เขาแตกกันจึงนำคำส่อเสียดเข้าไปอย่างไร? ชน- *ทั้งหลายผู้มีความประสงค์ให้เขาแตกกันอย่างนี้ว่า ชนเหล่านี้พึงเป็นต่างกัน แยกกัน เป็นก๊กกัน เป็นสองเหล่า เป็นสองพวก เป็นสองฝ่าย ชนเหล่านี้พึงแตกกัน ไม่ปรองดองกัน พึงอยู่ลำบาก ไม่ผาสุก ด้วยอุบายอย่างไร ก็นำคำส่อเสียดเข้าไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อความวิวาทกัน เกิดแล้ว ความพูดส่อเสียดก็มี. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า. ความทะเลาะ ความวิวาท ความรำพัน ความเศร้าโศก ความตระหนี่ ความถือตัว ความดูหมิ่น และความพูดส่อเสียด มีมาแต่สิ่งที่รัก ความทะเลาะ ความวิวาท ประกอบในความตระหนี่ และเมื่อความวิวาท กันเกิดแล้ว ความพูดส่อเสียดก็มี. [๔๕๑] (พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า) สิ่งที่รักทั้งหลายในโลก มีอะไรเป็นนิทาน และชนเหล่าใดแล ย่อมเที่ยวไปในโลกเพราะความโลภ ความโลภ ของชนเหล่านั้น มีอะไรเป็นนิทาน อนึ่ง ความหวังและความสำเร็จหวัง ที่มีแก่นรชน เพื่อข้างหน้านั้น มีอะไรเป็นนิทาน. ว่าด้วยอะไรเป็นต้นเหตุแห่งสิ่งที่รัก [๔๕๒] คำว่า สิ่งที่รักทั้งหลายในโลก มีอะไรเป็นนิทาน ความว่า พระพุทธ- *นิมิตตรัสถาม สอบถาม ขอให้ตรัสบอก อัญเชิญให้ทรงแสดง ขอให้ประกาศซึ่งมูล ฯลฯ สมุทัยแห่งสิ่งที่รักทั้งหลายว่า สิ่งที่รักทั้งหลาย มีอะไรเป็นนิทาน คือ เกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏมาแต่อะไร คือ มีอะไรเป็นนิทาน มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สิ่งที่รักทั้งหลายในโลก มีอะไรเป็นนิทาน. [๔๕๓] คำว่า และชนเหล่าใดแล ในคำว่า และชนเหล่าใดแล ย่อมเที่ยวไปในโลก เพราะความโลภ ได้แก่ พวกกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดา มนุษย์. คำว่า เพราะความโลภ คือ ความโลภ กิริยาที่โลภ ความเป็นผู้โลภ ความกำหนัดนัก กิริยาที่- *กำหนัดนัก ความเป็นผู้กำหนัดนัก อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล. คำว่า เที่ยวไป คือ เที่ยวไป อยู่ เปลี่ยนอิริยาบถ ประพฤติ รักษา บำรุง เยียวยา ยังอัตภาพให้เป็นไป. คำว่า ในโลก คือ ใน อบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า และ ชนเหล่าใดแล ย่อมเที่ยวไปในโลกเพราะความโลภ. [๔๕๔] คำว่า ความหวังและความสำเร็จหวัง ... มีอะไรเป็นนิทาน? ความว่า พระพุทธ- *นิมิตตรัสถาม สอบถาม ขอให้ตรัสบอก อัญเชิญให้ทรงแสดง ขอให้ประกาศซึ่งมูล ฯลฯ สมุทัย แห่งความหวังและความสำเร็จหวังว่า ความหวังและความสำเร็จหวัง มีอะไรเป็นนิทาน คือ เกิด บังเกิด เกิดพร้อม บังเกิดเฉพาะ ปรากฏมาแต่อะไร คือ มีอะไรเป็นนิทาน มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความหวังและความสำเร็จหวัง ... มีอะไรเป็นนิทาน. [๔๕๕] คำว่า ที่มีแก่นรชนเพื่อข้างหน้า ความว่า ความหวังและความสำเร็จหวัง ที่เป็นเบื้องหน้า เป็นเกาะ เป็นที่ป้องกัน เป็นที่แอบแฝง เป็นที่ระลึกของนรชน คือ นรชนเป็นผู้ มีความสำเร็จหวังเป็นเบื้องหน้า เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ที่มีแก่นรชนเพื่อข้างหน้า. เพราะฉะนั้น พระพุทธนิมิตนั้นจึงตรัสถามว่า สิ่งที่รักทั้งหลายในโลก มีอะไรเป็นนิทาน และชนเหล่าใดแล ย่อม เที่ยวไปในโลกเพราะความโลภ ความโลภของชนเหล่านั้น มีอะไรเป็น นิทาน อนึ่ง ความหวังและความสำเร็จหวังที่มีแก่นรชนเพื่อข้างหน้านั้น มีอะไรเป็นนิทาน. [๔๕๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า) สิ่งที่รักทั้งหลายในโลก มีฉันทะเป็นนิทาน และชนเหล่าใดแล ย่อมเที่ยวไปในโลกเพราะความโลภ ความโลภ ของชนเหล่านั้น มีฉันทะนี้เป็นนิทาน อนึ่ง ความหวังและความ สำเร็จหวังที่มีแก่นรชนเพื่อข้างหน้านั้น ก็มีฉันทะนี้เป็นนิทาน. [๔๕๗] ชื่อว่า ฉันทะ ในคำว่า สิ่งที่รักทั้งหลายในโลก มีฉันทะเป็นนิทาน ได้แก่ ความพอใจในกาม ความกำหนัดในกาม ความเพลินในกาม ความอยากในกาม ความรักในกาม ความเร่าร้อนในกาม ความหลงในกาม ความชอบใจในกาม กามโอฆะ กามโยคะ กามุปาทาน กามฉันทนิวรณ์ ในกามทั้งหลาย. อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ ฉันทะ ๕ ประการ คือ ความพอใจในการ แสวงหา ๑ ความพอใจในการได้ ๑ ความพอใจในการบริโภค ๑ ความพอใจในการสั่งสม ๑ ความพอใจในการสละ ๑. ความพอใจในการแสวงหาเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ชอบใจ มีความต้องการ เกิดความพอใจ ย่อมแสวงหารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นี้ชื่อว่า ความพอใจในการแสวงหา. ความพอใจในการได้เป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ชอบใจ มีความต้องการ เกิดความพอใจ ย่อมได้ซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นี้ชื่อว่า ความพอใจในการได้. ความพอใจในการบริโภคเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ชอบใจ มีความต้องการ เกิดความพอใจ ย่อมบริโภครูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นี้ชื่อว่า ความพอใจในการบริโภค. ความพอใจในการสั่งสมเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ชอบใจ มีความต้องการ เกิดความพอใจ ย่อมทำการสั่งสมทรัพย์ด้วยความหวังว่า จักมีประโยชน์ในคราวเกิดอันตราย ทั้งหลาย นี้ชื่อว่า ความพอใจในการสั่งสม. ความพอใจในการสละเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ชอบใจ มีความต้องการ เกิดความพอใจ ย่อมสละทรัพย์เพื่อพวกพลช้าง พวกพลม้า พวกพลรถ พวกพลถือธนู พวกพล เดินเท้า ด้วยความหวังว่า คนพวกนี้จักรักษาคุ้มครองป้องกันเรา นี้ชื่อว่า ความพอใจในการสละ. ว่าด้วยสิ่งที่รัก ๒ ประการ คำว่า สิ่งที่รักทั้งหลาย คือ สิ่งที่รัก ๒ ประการ ได้แก่ สัตว์ ๑ สังขาร ๑ ฯลฯ เหล่านี้ชื่อว่าสัตว์เป็นที่รัก ฯลฯ เหล่านี้ชื่อว่าสังขารเป็นที่รัก. คำว่า สิ่งที่รักทั้งหลายในโลก มีฉันทะเป็นนิทาน คือ สิ่งที่รักทั้งหลายมีฉันทะเป็นนิทาน มีฉันทะเป็นสมุทัย มีฉันทะเป็นชาติ มีฉันทะเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สิ่งที่รักทั้งหลายในโลก มีฉันทะเป็นนิทาน. [๔๕๘] คำว่า และชนเหล่าใดแล ในคำว่า และชนเหล่าใดแล ย่อมเที่ยวไปในโลก เพราะความโลภ ได้แก่ พวกกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดา มนุษย์. คำว่า เพราะความโลภ คือ ความโลภ กิริยาที่โลภ ความเป็นผู้โลภ ความกำหนัดนัก กิริยาที่ กำหนัดนัก ความเป็นผู้กำหนัดนัก อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล. คำว่า เที่ยวไป คือ เที่ยวไป อยู่ เปลี่ยนอิริยาบถ ประพฤติ รักษา บำรุง เยียวยา ยังอัตภาพให้เป็นไป. คำว่า ในโลก คือ ใน อบายโลก ฯลฯ อายตนโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า และชนเหล่าใดแล ย่อมเที่ยวไปในโลก เพราะความโลภ. ว่าด้วยความหวัง [๔๕๙] คำว่า อนึ่ง ความหวังและความสำเร็จหวัง ก็มีฉันทะนี้เป็นนิทาน ความว่า ตัณหาเรียกว่า ความหวัง ได้แก่ ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล. คำว่า ความสำเร็จหวัง ความว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ เมื่อแสวงหารูป ได้รูป เป็นผู้มีความสำเร็จหวัง ในรูป. เมื่อแสวงหาเสียง ... กลิ่น ... รส ... เมื่อแสวงหาโผฏฐัพพะ ได้โผฏฐัพพะ เป็นผู้มีความ สำเร็จหวังในโผฏฐัพพะ เมื่อแสวงหาสกุล ... คณะ ... อาวาส ... ลาภ ... ยศ ... สรรเสริญ ... สุข ... จีวร ... บิณฑบาต ... เสนาสนะ ... คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ... พระสูตร ... พระวินัย ... พระอภิธรรม ... อารัญญิกังคธุดงค์ ... ปิณฑปาติกังคธุดงค์ ... สปาทานจาริกังคธุดงค์ ... ขลุปัจฉาภัตติกังคธุดงค์ ... เนสัชชิกังคธุดงค์ ... ยถาสันถติกังคธุดงค์ ... ปฐมฌาน ... ทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ... อากาสานัญจายตนสมาบัติ ... วิญญาณัญจายตนสมาบัติ ... อากิญจัญญายตนสมาบัติ ... เมื่อแสวงหา เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เป็นผู้มีความสำเร็จหวัง ในเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลย่อมไถนาด้วยความหวัง หว่านพืชด้วยความหวัง พวกพ่อค้าหา ทรัพย์ ไปสู่สมุทรด้วยความหวัง เราย่อมตั้งอยู่ด้วยความหวังใด ความ หวังนั้นของเราย่อมสำเร็จ ดังนี้. ความสำเร็จแห่งความหวัง เรียกว่า ความสำเร็จหวัง. คำว่า ความหวังและความสำเร็จ หวัง ก็มีฉันทะนี้เป็นนิทาน ความว่า ความหวังและความสำเร็จหวัง ก็มีฉันทะนี้เป็นนิทาน คือ มีฉันทะเป็นสมุทัย มีฉันทะเป็นชาติ มีฉันทะเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความหวัง และความสำเร็จหวัง ก็มีฉันทะนี้เป็นนิทาน. [๔๖๐] คำว่า ที่มีแก่นรชนเพื่อข้างหน้า ความว่า ความหวังและความสำเร็จหวังที่เป็น เบื้องหน้า เป็นเกาะ เป็นที่ป้องกัน เป็นที่แอบแฝง เป็นที่ระลึกของนรชน คือ นรชนเป็น ผู้มีความสำเร็จหวังเป็นเบื้องหน้า เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ที่มีแก่นรชนเพื่อข้างหน้า. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า สิ่งที่รักทั้งหลายในโลก มีฉันทะเป็นนิทาน และนรชนเหล่าใดแล ย่อมเที่ยวไปในโลกเพราะความโลภ ความโลภของนรชนเหล่านั้น มี ฉันทะนี้เป็นนิทาน อนึ่ง ความหวังและความสำเร็จหวังที่มีแก่นรชนเพื่อ ข้างหน้านั้น ก็มีฉันทะนี้เป็นนิทาน. [๔๖๑] (พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า) ฉันทะในโลก มีอะไรเป็นนิทาน และความ ตัดสินใจมีมาแต่อะไร อนึ่ง ความโกรธ ความเป็นผู้พูดเท็จ และความ สงสัยมีมาแต่อะไร และธรรมเหล่าใด อันพระสมณะตรัสไว้แล้ว ธรรมเหล่านั้นมีมาแต่อะไร. ว่าด้วยฉันทะ ... มีอะไรเป็นต้นเหตุ [๔๖๒] คำว่า ฉันทะในโลก มีอะไรเป็นนิทาน ความว่า พระพุทธนิมิตตรัสถาม สอบถาม ขอให้ตรัสบอก อัญเชิญให้ทรงแสดง ขอให้ประกาศซึ่งมูล ฯลฯ สมุทัยแห่งฉันทะว่า ฉันทะมีอะไรเป็นนิทาน คือ เกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏมาแต่อะไร คือ มีอะไรเป็นนิทาน มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ฉันทะในโลก มีอะไรเป็นนิทาน. [๔๖๓] คำว่า และความตัดสินใจมีมาแต่อะไร ความว่า พระพุทธนิมิตตรัสถาม สอบถาม ขอให้ตรัสบอก อัญเชิญให้ทรงแสดง ขอให้ประกาศซึ่งมูล ฯลฯ สมุทัยแห่งความ ตัดสินใจว่า ความตัดสินใจมีมาแต่อะไร คือ เกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏ มาแต่อะไร คือ มีอะไรเป็นนิทาน มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า และความตัดสินใจมีมาแต่อะไร. [๔๖๔] ชื่อว่า ความโกรธ ในคำว่า อนึ่ง ความโกรธ ความเป็นผู้พูดเท็จ และ ความสงสัย คือ ความปองร้าย ความมุ่งร้าย ความขัดเคือง ความขุ่นเคือง ความเคืองทั่ว ความ เคืองเสมอ ความชัง ความชังทั่ว ความชังเสมอ ความพยาบาทแห่งจิต ความประทุษร้ายในใจ ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ความเป็นผู้โกรธ ความชัง กิริยาที่ชัง ความเป็นผู้ชัง ความพยาบาท กิริยาที่พยาบาท ความเป็นผู้พยาบาท ความพิโรธ ความพิโรธตอบ ความเป็นผู้ดุร้าย ความ เพาะวาจาชั่ว ความเป็นผู้ไม่แช่มชื่นแห่งจิต. ความกล่าวเท็จ เรียกว่า ความเป็นผู้พูดเท็จ. ความสงสัย เรียกว่า กถํกถา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อนึ่ง ความโกรธ ความเป็นผู้พูดเท็จ และ ความสงสัย. [๔๖๕] คำว่า และธรรมเหล่าใด ในคำว่า และธรรมเหล่าใด อันพระสมณะตรัสไว้ แล้ว ความว่า ธรรมทั้งหลายใด สหรคต เกิดร่วมกัน เกี่ยวข้องกัน ประกอบกัน มีความเกิด ขึ้นคราวเดียวกัน มีความดับคราวเดียวกัน มีวัตถุเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกัน กับความโกรธ ความเป็นผู้พูดเท็จ และความสงสัย ธรรมเหล่านี้ เรียกว่า ธรรมเหล่าใด. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า ธรรมเหล่าใด คือ กิเลสทั้งหลายมีชาติเป็นอย่างอื่น ตั้งอยู่แล้วโดยอาการอื่น กิเลสเหล่านี้ เรียกว่า ธรรมเหล่าใด. คำว่า อันพระสมณะตรัสแล้ว ความว่า อันพระพุทธผู้เป็นสมณะมีบาป ธรรมอันระงับแล้ว เป็นพราหมณ์มีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ว เป็นภิกษุมีมูลแห่งกิเลสอันทำลาย แล้ว ผู้พ้นขาดจากอกุศลมูลเป็นเครื่องผูกทั้งปวง ตรัสไว้แล้ว คือ ตรัสโดยทั่ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ประกาศแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า และธรรม เหล่าใด อันพระสมณะตรัสไว้แล้ว. เพราะฉะนั้น พระพุทธนิมิตนั้น จึงตรัสถามว่า ฉันทะในโลก มีอะไรเป็นนิทาน และความตัดสินใจมีมาแต่อะไร อนึ่ง ความโกรธ ความเป็นผู้พูดเท็จ และความสงสัยมีมาแต่อะไร และ ธรรมเหล่าใด อันพระสมณะตรัสไว้แล้ว ธรรมเหล่านั้นมีมาแต่อะไร. [๔๖๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า) บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวธรรมใด คือ ความ ดีใจ ความเสียใจในโลก ฉันทะย่อมมีมาเพราะอาศัยธรรมนั้น ชันตุชน เห็นความไม่มีและความมีในรูปทั้งหลาย ย่อมทำความตัดสินใจในโลก. [๔๖๗] คำว่า ความดีใจ ในคำว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวธรรมใด คือ ความดีใจ ความ เสียใจ ในโลก ได้แก่ สุขเวทนาและวัตถุที่น่าปรารถนา. คำว่า ความเสียใจ ได้แก่ ทุกขเวทนา และวัตถุที่ไม่น่าปรารถนา. คำว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวธรรมใด ... ในโลก คือ บัณฑิตทั้งหลาย กล่าว บอก พูด แสดง แถลงธรรมใด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวธรรมใด คือ ความดีใจ ความเสียใจในโลก. [๔๖๘] คำว่า ฉันทะย่อมมีมาเพราะอาศัยธรรมนั้น ความว่า ฉันทะย่อมมีมา คือ มีทั่วไป เกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ เพราะอาศัยความดีใจและความเสียใจ คือ อาศัยสุขและทุกข์ โสมนัสและโทมนัส วัตถุที่น่าปรารถนาและวัตถุที่ไม่น่าปรารถนา ความยินดี และความยินร้าย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ฉันทะย่อมมีมาเพราะอาศัยธรรมนั้น. ว่าด้วยความเกิดแห่งรูป [๔๖๙] คำว่า ในรูปทั้งหลาย ในคำว่า เห็นความไม่มีและความมีในรูปทั้งหลาย ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูปแห่งมหาภูตรูป ๔. ความมีแห่งรูปทั้งหลายเป็นไฉน? ความมี คือ ความเกิด ความเกิดพร้อม ความบังเกิด ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่งรูปทั้งหลาย นี้ชื่อว่า ความมีแห่งรูปทั้งหลาย. ความไม่มีแห่งรูปทั้งหลายเป็นไฉน? ความสิ้น ความเสื่อม ความแตก ความแตกรอบ ความไม่เที่ยง ความหายไป แห่งรูปทั้งหลาย นี้ชื่อว่า ความไม่มีแห่งรูปทั้งหลาย. คำว่า เห็นความไม่มีและความมีในรูปทั้งหลาย คือ เห็น พบ พิจารณา เทียบเคียง ให้แจ่มแจ้ง ทำให้เป็นแจ้ง ซึ่งความมีและความไม่มีในรูปทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เห็น ความไม่มีและความมีในรูปทั้งหลาย. ว่าด้วยการตัดสินใจ ๒ อย่าง [๔๗๐] ชื่อว่า ความตัดสินใจ ในคำว่า ชันตุชน ... ย่อมทำความตัดสินใจในโลก ได้แก่ ความตัดสินใจ ๒ ประการ คือ ความตัดสินใจด้วยตัณหา ๑ ความตัดสินใจด้วยทิฏฐิ ๑. สัตว์ย่อมทำความตัดสินใจด้วยตัณหาอย่างไร? บุคคลบางคนในโลกนี้มีโภคสมบัติที่ยัง ไม่เกิดขึ้นก็มิได้เกิดขึ้น และมีโภคสมบัติที่เกิดขึ้นแล้วก็ถึงความหมดสิ้นไป. เขาจึงมีความดำริ อย่างนี้ว่า โภคสมบัติของเราที่ยังไม่เกิดขึ้นก็มิได้เกิดขึ้น และโภคสมบัติที่เกิดขึ้นแล้วก็ถึงความ หมดสิ้นไป เพราะเหตุอะไรหนอ. และเขามีความดำริอย่างนี้ต่อไปว่า เมื่อเราประกอบเนืองๆ ในเหตุเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทในเพราะการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย โภคสมบัติที่ยังไม่เกิดขึ้น จึงมิได้เกิดขึ้น และโภคสมบัติที่เกิดขึ้นแล้วก็ถึงความหมดสิ้นไป เมื่อเราประกอบเนืองๆ ใน การเที่ยวมากไปในเวลาค่ำคืน ... เมื่อเราเที่ยวดูมหรสพมากไป ... เมื่อเราประกอบเนืองๆ ในเหตุ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทในเพราะการเล่นการพนัน ... เมื่อเราประกอบเนืองๆ ในการคบ บาปมิตร ... เมื่อเราประกอบเนืองๆ ในความเป็นคนเกียจคร้าน โภคสมบัติที่ยังไม่เกิดขึ้นจึงมิได้ เกิดขึ้นและโภคสมบัติที่เกิดขึ้นแล้วก็ถึงความหมดสิ้นไป ครั้นรู้อย่างนี้แล้ว เขาจึงไม่ประพฤติทาง ความฉิบหายแห่งโภคสมบัติ ๖ ประการ ชันตุชนย่อมทำความตัดสินใจด้วยตัณหา แม้ด้วยประการ อย่างนี้. อีกอย่างหนึ่ง บุคคลย่อมประกอบการงานด้วยกสิกรรมบ้าง ด้วยพาณิชย์กรรมบ้าง ด้วย โครักขกรรมบ้าง ด้วยธนูศิลป์บ้าง ด้วยการรับราชการบ้าง ด้วยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ชันตุชนย่อมทำความตัดสินใจด้วยตัณหา แม้ด้วยประการอย่างนี้. ชันตุชนย่อมทำความตัดสินใจด้วยทิฏฐิอย่างไร? เมื่อจักษุเกิดขึ้นแล้ว ชันตุชนก็รู้ว่า ตนของเราเกิดขึ้นแล้ว. เมื่อจักษุหายไป ก็รู้ว่า ตนของเราหายไปแล้ว ตนของเราปราศจากไปแล้ว. ชันตุชนย่อมทำความตัดสินใจด้วยทิฏฐิ แม้ด้วยประการอย่างนี้. เมื่อโสตะ ... เมื่อฆานะ ... เมื่อชิวหา ... เมื่อกาย ... เมื่อรูป ... เมื่อเสียง ... เมื่อกลิ่น ... เมื่อรส ... เมื่อโผฏฐัพพะเกิดขึ้นแล้ว ชันตุชนก็รู้ว่า ตนของเราเกิดขึ้นแล้ว เมื่อโผฏฐัพพะหายไป ก็รู้ว่า ตนของเราหายไปแล้ว ตนของ เราปราศจากไปแล้ว ชันตุชนย่อมทำความตัดสินใจด้วยทิฏฐิ คือ ให้เกิด ให้เกิดพร้อม ให้ บังเกิด ให้บังเกิดเฉพาะ แม้ด้วยประการอย่างนี้. คำว่า ชันตุชน คือ สัตว์ นระ มาณพ ฯลฯ มนุษย์. คำว่า ในโลก คือ ใน อบายโลก ฯลฯ อายตนโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ชันตุชน ... ย่อมทำความตัดสินใจใน โลก. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวธรรมใด คือ ความดีใจ ความเสียใจในโลก ฉันทะ ย่อมมีมา เพราะอาศัยธรรมนั้น ชันตุชนเห็นความไม่มีและความมีในรูป ทั้งหลาย ย่อมทำความตัดสินใจในโลก.
Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555 |
|
6 comments |
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 0:28:53 น. |
Counter : 758 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 2 กุมภาพันธ์ 2555 12:31:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: วงกลม IP: 182.53.104.177 2 กุมภาพันธ์ 2555 17:48:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 3 กุมภาพันธ์ 2555 9:51:09 น. |
|
|
|
|
|
|
|
สงสัย เมื่อความดีใจและความเสียใจทั้งสองมีอยู่ก็มีมา บุคคลผู้มีความ
สงสัย พึงศึกษาเพื่อทางแห่งญาณ และธรรมเหล่าใด อันพระสมณะทราบ
แล้ว จึงตรัสไว้ ธรรมเหล่านั้น เมื่อความดีใจและความเสียใจทั้งสอง
มีอยู่ก็มีมา.
[๔๗๒] ชื่อว่า ความโกรธ ในคำว่า ความโกรธ ความเป็นผู้พูดเท็จ และความสงสัย
คือ ความปองร้าย ความมุ่งร้าย ฯลฯ ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต ความกล่าวเท็จ เรียกว่า ความ
เป็นผู้พูดเท็จ. ความสงสัย เรียกว่า กถํกถา. ความโกรธย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่น่าปรารถนา
บ้าง เพราะอาศัยวัตถุที่ไม่น่าปรารถนาบ้าง. ความกล่าวเท็จย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่น่าปรารถนา
บ้าง เพราะอาศัยวัตถุที่ไม่น่าปรารถนาบ้าง. ความสงสัยย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่น่าปรารถนาบ้าง
เพราะอาศัยวัตถุที่ไม่น่าปรารถนาบ้าง.
ว่าด้วยเหตุให้เกิดความโกรธ
ความโกรธย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่ไม่น่าปรารถนาอย่างไร? ความโกรธย่อมเกิดด้วย
อาการว่า เขาได้ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เราแล้ว ความโกรธย่อมเกิดด้วยอาการว่า เขา
กำลังประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา ความโกรธย่อมเกิดด้วยอาการว่า เขาจักประพฤติ
สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา. ความโกรธย่อมเกิดด้วยอาการว่า เขาได้ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็น
ประโยชน์แก่บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเราแล้ว ความโกรธย่อมเกิดด้วยอาการว่า เขากำลัง
ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ความโกรธย่อมเกิดด้วยอาการ
ว่า เขาจักประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา. ความโกรธย่อม
เกิดด้วยอาการว่า เขาได้ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเราแล้ว
ความโกรธย่อมเกิดด้วยอาการว่า เขากำลังประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้ไม่เป็นที่รักที่
ชอบใจของเรา ความโกรธย่อมเกิดด้วยอาการว่า เขาจักประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้
ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา. ความโกรธย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่ไม่น่าปรารถนาอย่างนี้.
ความโกรธย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่น่าปรารถนาอย่างไร? แม้บุคคลผู้มีความหวาด
ระแวงในการแย่งชิงวัตถุที่น่าปรารถนา ย่อมมีความโกรธเกิด คือ เมื่อวัตถุที่น่าปรารถนากำลัง
ถูกแย่งชิงเอาไป ย่อมมีความโกรธเกิดบ้าง เมื่อวัตถุที่น่าปรารถนาถูกแย่งชิงไปแล้ว ย่อมมี
ความโกรธเกิดบ้าง. แม้บุคคลผู้มีความหวาดระแวงในความแปรปรวนไปแห่งวัตถุที่น่าปรารถนา
ย่อมมีความโกรธเกิด คือ เมื่อวัตถุที่น่าปรารถนากำลังแปรปรวนไป ย่อมมีความโกรธเกิดบ้าง
เมื่อวัตถุที่น่าปรารถนาแปรปรวนไปแล้ว ย่อมมีความโกรธเกิดบ้าง. ความโกรธย่อมเกิดเพราะ
อาศัยวัตถุที่น่าปรารถนาอย่างนี้.
ว่าด้วยเหตุให้เกิดการกล่าวเท็จ
มุสาวาทย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่ไม่น่าปรารถนาอย่างไร? บุคคลบางคนในโลกนี้
ถูกเขาจำด้วยเครื่องจำคือขื่อ ย่อมกล่าวคำเท็จทั้งที่รู้อยู่ เพื่อพ้นจากเครื่องจำนั้น. ถูกเขาจำด้วย
เครื่องจำคือเชือก ... ถูกเขาจำด้วยเครื่องจำคือโซ่ตรวน ... ถูกเขาจำด้วยเครื่องจำคือเถาวัลย์ ...
ถูกเขาจำด้วยเครื่องจำคือเครื่องล้อม ... ถูกเขาจำด้วยเครื่องจำคือบ้าน นิคมและนคร ... ถูกเขา
จำด้วยเครื่องจำคือชนบท ย่อมกล่าวคำเท็จทั้งที่รู้อยู่ เพื่อพ้นจากเครื่องจำนั้น. มุสาวาทย่อมเกิด
เพราะอาศัยวัตถุที่ไม่น่าปรารถนาอย่างนี้.
มุสาวาทย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่น่าปรารถนาอย่างไร? บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อม
กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่เพราะเหตุแห่งรูปที่ชอบใจ ย่อมกล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่เพราะเหตุแห่งเสียง กลิ่น
รส โผฏฐัพพะที่ชอบใจ เพราะเหตุแห่งจีวร เพราะเหตุแห่งบิณฑบาต เพราะเหตุแห่งเสนาสนะ
เพราะเหตุแห่งคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร. มุสาวาทย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่น่าปรารถนาอย่างนี้.
ว่าด้วยเหตุให้เกิดความสงสัย
ความสงสัยย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่ไม่น่าปรารถนาอย่างไร? ความสงสัยย่อมเกิด
เพราะอาศัยวัตถุที่ไม่น่าปรารถนาว่า เราจักพ้นจากโรคนัยน์ตาหรือหนอ หรือเราจักไม่พ้นจากโรค
นัยน์ตา เราจักพ้นจากโรคหูหรือหนอ จากโรคจมูกหรือหนอ จากโรคที่ลิ้นหรือหนอ จากโรค
กาย ... จากโรคศีรษะหรือหนอ จากโรคที่ใบหู จากโรคปาก เราจักพ้นจากโรคฟันหรือหนอ
หรือเราจักไม่พ้นจากโรคฟัน. ความสงสัยย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่ไม่น่าปรารถนาอย่างนี้.
ความสงสัยย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่น่าปรารถนาอย่างไร? ความสงสัยย่อมเกิดเพราะ
อาศัยวัตถุที่น่าปรารถนาว่า เราจักได้รูปที่ชอบใจหรือหนอ หรือเราจักไม่ได้รูปที่ชอบใจ เราจักได้
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สกุล คณะ อาวาส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ เราจักได้คิลานปัจจัยเภสัชบริขารที่ชอบใจหรือหนอ หรือเราจักไม่ได้คิลานปัจจัย-
*เภสัชบริขารที่ชอบใจ. ความสงสัยย่อมเกิดเพราะอาศัยวัตถุที่น่าปรารถนาอย่างนี้ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ความโกรธ ความเป็นผู้พูดเท็จ และความสงสัย.
[๔๗๓] คำว่า ธรรมแม้เหล่านี้ ... เมื่อความดีใจและความเสียใจทั้งสองมีอยู่ก็มีมา
ความว่า เมื่อความดีใจและเสียใจมีอยู่ คือ เมื่อสุขและทุกข์ โสมนัสและโทมนัส วัตถุที่น่า
ปรารถนาและวัตถุที่ไม่น่าปรารถนา ความยินดีและความยินร้าย มีอยู่ คือ ปรากฏ อันตนเข้า
ไปได้อยู่ ธรรมแม้เหล่านี้ ... ก็มีมา ฉะนั้น จึงชื่อว่า ธรรมแม้เหล่านี้ ... เมื่อความดีใจและ
ความเสียใจทั้งสองมีอยู่ก็มีมา.
ว่าด้วยสิกขา ๓
[๔๗๔] คำว่า บุคคลผู้มีความสงสัย พึงศึกษาเพื่อทางแห่งญาณ ความว่า แม้ญาณ
ก็ชื่อว่าทางแห่งญาณ แม้อารมณ์แห่งญาณก็ชื่อว่าทางแห่งญาณ แม้ธรรมทั้งหลายอันเกิดร่วมกับ
ญาณก็ชื่อว่าทางแห่งญาณ เปรียบเหมือนอริยมรรคก็ชื่อว่าทางแห่งอริยะ เทวมรรคก็ชื่อว่าทางแห่ง
เทวดา พรหมมรรคก็ชื่อว่าทางแห่งพรหม ฉันใด แม้ญาณก็ชื่อว่าทางแห่งญาณ แม้อารมณ์แห่ง
ญาณก็ชื่อว่าทางแห่งญาณ แม้ธรรมทั้งหลายอันเกิดร่วมกับญาณก็ชื่อว่าทางแห่งญาณ ฉันนั้น.
สิกขา ในคำว่า พึงศึกษา มี ๓ อย่าง คือ อธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญาสิกขา ๑.
อธิศีลสิกขาเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วด้วยความสำรวม
ในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ศีลขันธ์น้อย ศีลขันธ์ใหญ่ ศีลเป็นที่ตั้ง เป็นเบื้องต้น
เป็นเบื้องบาท เป็นความสำรวม เป็นความระวัง เป็นปาก เป็นประธาน แห่งความถึงพร้อม
แห่งธรรมทั้งหลายฝ่ายกุศล นี้ชื่อว่า อธิศีลสิกขา.
อธิจิตตสิกขาเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ จึงบรรลุจตุตถฌาน
นี้ชื่อว่า อธิจิตตสิกขา.
อธิปัญญาสิกขาเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญา
อันให้ถึงความเกิดและความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส อันให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ภิกษุ
นั้นย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา และรู้ชัดตามความ
เป็นจริงว่า เหล่านี้อาสวะ ฯลฯ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ นี้ชื่อว่า อธิปัญญาสิกขา.
คำว่า ผู้มีความสงสัย พึงศึกษาเพื่อทางแห่งญาณ ความว่า บุคคลผู้มีความสงสัย
เคลือบแคลง ลังเล เป็นสองทาง ไม่แน่ใจ พึงศึกษาอธิศีลบ้าง อธิจิตบ้าง อธิปัญญาบ้าง
เพื่อความบรรลุญาณ เพื่อความถูกต้องญาณ เพื่อความทำให้แจ่มแจ้งญาณ. บุคคลเมื่อนึกถึง
สิกขา ๓ นี้ พึงศึกษา คือ เมื่อรู้ เมื่อเห็น เมื่อพิจารณา เมื่ออธิษฐานจิต เมื่อน้อมใจไป
ด้วยศรัทธา เมื่อประคองความเพียร เมื่อตั้งสติ เมื่อตั้งจิต เมื่อรู้ชัดด้วยปัญญา เมื่อรู้ยิ่งธรรม
ที่ควรรู้ยิ่ง เมื่อกำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ เมื่อละธรรมที่ควรละ เมื่อเจริญธรรมที่ควรเจริญ
เมื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ก็พึงศึกษา ประพฤติเอื้อเฟื้อ ประพฤติเอื้อเฟื้อโดยชอบ
สมาทานประพฤติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลผู้มีความสงสัยพึงศึกษาเพื่อทางแห่งญาณ.
ว่าด้วยธรรมที่พระสมณะทราบ
[๔๗๕] คำว่า และธรรมเหล่าใด อันพระสมณะทราบแล้ว จึงตรัสไว้ ความว่า ธรรม
ทั้งหลายอันพระสมณะทรงทราบ ทรงรู้ พิจารณา เทียบเคียง ให้แจ่มแจ้ง ทำให้เป็นแจ้งแล้ว
ตรัสไว้ ตรัสสอน ตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ประ
กาศแล้ว คือ ทรงทราบ ทรงรู้ พิจารณา เทียบเคียง ให้แจ่มแจ้ง ทำให้เป็นแจ้งแล้ว ตรัสไว้
ตรัสสอน ตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ประกาศแล้ว
ว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เพราะอวิชชาเป็น
ปัจจัย จึงมีสังขาร ฯลฯ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ฯลฯ
เพราะชาติดับ ชรามรณะจึงดับ นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ ฯลฯ
นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ ธรรมเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ธรรมเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ธรรม
เหล่านี้ควรละ ธรรมเหล่านี้ควรเจริญ ธรรมเหล่านี้ควรทำให้แจ้ง ความเกิด ความดับ คุณ
โทษ อุบายเครื่องสลัดออก แห่งผัสสายตนะ ๖ แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ แห่งหาภูตรูป ๔ สิ่งใด
สิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับเป็นธรรมดา.
สมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราแสดงธรรมเพื่อ
ความรู้ยิ่ง เราไม่แสดงธรรมเพื่อความไม่รู้ยิ่ง เราแสดงธรรมมีเหตุ เราไม่แสดงธรรมไม่มีเหตุ
เราแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ เราไม่แสดงธรรมไม่มีปาฏิหาริย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราแสดงธรรม
เพื่อความรู้ยิ่ง ไม่แสดงธรรมเพื่อความไม่รู้ยิ่ง แสดงธรรมมีเหตุ ไม่แสดงธรรมไม่มีเหตุ แสดง
ธรรมมีปาฏิหาริย์ ไม่แสดงธรรมไม่มีปาฏิหาริย์อยู่ เธอทั้งหลายควรทำตามโอวาท ควรทำตาม
อนุศาสนี ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เธอทั้งหลายควรยินดีปราโมทย์ ควรโสมนัสว่า พระผู้มี
พระภาคทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเป็นสวากขาตธรรม พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
ก็เมื่อคำเป็นไวยากรณ์นี้ อันพระผู้มีพระภาคตรัสอยู่ โลกธาตุหมื่นหนึ่งหวั่นไหวแล้ว ดังนี้
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า และธรรมเหล่าใด อันพระสมณะทราบแล้ว จึงตรัสไว้. เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
ธรรมแม้เหล่านี้ คือ ความโกรธ ความเป็นผู้พูดเท็จ และความสงสัย
เมื่อความดีใจและความเสียใจทั้งสองมีอยู่ก็มีมา บุคคลผู้มีความสงสัย
พึงศึกษาเพื่อทางแห่งญาณ และธรรมเหล่าใด อันพระสมณะทราบแล้ว
จึงตรัสไว้ ธรรมเหล่านั้น เมื่อความดีใจและความเสียใจทั้งสองมีอยู่ก็
มีมา.
[๔๗๖] (พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า) ความดีใจและความเสียใจ มีอะไรเป็นนิทาน
เมื่ออะไรไม่มี ความดีใจและความเสียใจเหล่านั้นจึงไม่มี อรรถนั้นใด
คือ ความไม่มีและความมี ขอพระองค์จงตรัสบอกอรรถนั้นว่า มีสิ่งใด
เป็นนิทานแก่ข้าพระองค์.
ว่าด้วยต้นเหตุความดีใจ-เสียใจ
[๔๗๗] คำว่า ความดีใจและความเสียใจ มีอะไรเป็นนิทาน ความว่า พระพุทธนิมิต
ตรัสถาม สอบถาม ขอให้ตรัสบอก อัญเชิญให้ทรงแสดง ขอให้ประกาศซึ่งมูล ฯลฯ
สมุทัย แห่งความดีใจและความเสียใจว่า ความดีใจและความเสียใจ มีอะไรเป็นนิทาน คือ
เกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏมาแต่อะไร คือ มีอะไรเป็นนิทาน มีอะไร
เป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความดีใจและความ
เสียใจ มีอะไรเป็นนิทาน.
[๔๗๘] คำว่า เมื่ออะไรไม่มี ความดีใจและความเสียใจเหล่านั้นจึงไม่มี ความว่า
เมื่ออะไรไม่มี ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้ ความดีใจและความเสียใจ จึงไม่มี ไม่เป็น ไม่เกิด
ไม่เกิดพร้อม ไม่บังเกิด ไม่บังเกิดเฉพาะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่ออะไรไม่มี ความดีใจ
และความเสียใจเหล่านั้นจึงไม่มี.
[๔๗๙] คำว่า อรรถนั้นใด คือ ความไม่มีและความมี ความว่า ความมีแห่งความดีใจ
และความเสียใจเป็นไฉน? ความมี ความเป็น ความเกิด ความเกิดพร้อม ความบังเกิด
ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏ แห่งความดีใจและความเสียใจใด นี้ชื่อว่า ความมีแห่งความดีใจ
และความเสียใจ. ความไม่มีแห่งความดีใจและความเสียใจเป็นไฉน? ความสิ้น ความเสื่อม
ความแตก ความแตกรอบ ความไม่เที่ยง ความหายไป แห่งความดีใจและความเสียใจใด นี้ชื่อ
ว่า ความไม่มีแห่งความดีใจและความเสียใจ. คำว่า อรรถนั้นใด คือ อรรถอย่างยิ่งใด เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า อรรถนั้นใด คือ ความไม่มีและความมี.
[๔๘๐] คำว่า นั้น ในคำว่า ขอจงตรัสบอกอรรถนั้นว่า มีสิ่งใดเป็นนิทานแก่
ข้าพระองค์ ความว่า อรรถที่ข้าพระองค์ทูลถาม ขอให้ตรัสบอก อัญเชิญให้ทรงแสดง ขอให้
ประกาศ. คำว่า ขอจงตรัสบอก คือ ขอจงตรัสบอก ทรงแจ้ง ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ทรงประกาศ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ขอจงตรัสบอกอรรถนั้น ... แก่
ข้าพระองค์. คำว่า มีสิ่งใดเป็นนิทาน มีสิ่งใดเป็นสมุทัย มีสิ่งใดเป็นชาติ มีสิ่งใดเป็นแดนเกิด
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ขอจงตรัสบอก อรรถนั้นว่า มีสิ่งใดเป็นนิทานแก่ข้าพระองค์. เพราะเหตุนั้น
พระพุทธนิมิตนั้นจึงตรัสถามว่า
ความดีใจและความเสียใจ มีอะไรเป็นนิทาน เมื่ออะไรไม่มี ความดีใจ
และความเสียใจเหล่านั้นจึงไม่มี อรรถนั้นใด คือ ความไม่มีและความมี
ขอพระองค์จงตรัสบอกอรรถนั้นว่า มีสิ่งใดเป็นนิทานแก่ข้าพระองค์.
[๔๘๑] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า) ความดีใจและความเสียใจ มีผัสสะเป็น
นิทาน เมื่อผัสสะไม่มี ความดีใจและความเสียใจเหล่านั้นจึงไม่มี อรรถ
นั้นใด คือ ความไม่มีและความมี ข้าพระองค์ขอบอกอรรถนั้นว่า มี
ผัสสะนี้เป็นนิทานแก่พระองค์.
[๔๘๒] คำว่า ความดีใจและความเสียใจ มีผัสสะเป็นนิทาน ความว่า สุขเวทนาเกิด
ขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา. เพราะผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนานั้นนั่น
แหละดับไป สุขเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา ที่เสวยอยู่ อันเกิด
แต่ผัสสะนั้น ก็ดับสงบไป. ทุกขเวทนาเกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา.
เพราะผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนานั้นนั่นแหละดับไป ทุกขเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะอาศัย
ผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา ที่เสวยอยู่ อันเกิดแต่ผัสสะนั้น ก็ดับสงบไป. อทุกขม-
*สุขเวทนาเกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา. เพราะผัสสะอันเป็นที่ตั้ง
แห่งอทุกขมสุขเวทนานั้นนั่นแหละดับไป อทุกขมสุขเวทนาอันเกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะ
อันเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา ที่เสวยอยู่ อันเกิดแต่ผัสสะนั้น ก็ดับสงบไป. คำว่า ความดีใจ
และความเสียใจ มีผัสสะเป็นนิทาน ความว่า ความดีใจและความเสียใจ มีผัสสะเป็นนิทาน
มีผัสสะเป็นสมุทัย มีผัสสะเป็นชาติ มีผัสสะเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความดีใจ
และความเสียใจ มีผัสสะเป็นนิทาน.
[๔๘๓] คำว่า เมื่อผัสสะไม่มี ความดีใจและความเสียใจเหล่านั้นจึงไม่มี ความว่า
เมื่อผัสสะไม่มี คือ ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้อยู่ ความดีใจและความเสียใจจึงไม่มี คือ ไม่เป็น
ไม่เกิด ไม่เกิดพร้อม ไม่บังเกิด ไม่บังเกิดเฉพาะ ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อผัสสะ
ไม่มี ความดีใจและความเสียใจเหล่านั้นจึงไม่มี.
[๔๘๔] คำว่า อรรถนั้นใด คือ ความไม่มีและความมี ความว่า ภวทิฏฐิก็ดี วิภวทิฏฐิ
ก็ดี ก็มีผัสสะเป็นนิทาน. คำว่า อรรถนั้นใด คือ อรรถอย่างยิ่งใด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
อรรถนั้นใด คือ ความไม่มีและความมี.
[๔๘๕] คำว่า นั้น ในคำว่า ขอบอกอรรถนั้นว่า มีผัสสะนี้เป็นนิทานแก่พระองค์
ความว่า อรรถที่พระองค์ตรัสถาม ขอให้บอก เชิญให้บอก ให้ประกาศ. คำว่า ขอบอก คือ
ขอตอบ บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ประกาศ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ขอบอกอรรถนั้น ... แก่พระองค์. คำว่า มีผัสสะนี้เป็นนิทาน คือ มีผัสสะนี้เป็นนิทาน
มีผัสสะเป็นสมุทัย มีผัสสะเป็นชาติ มีผัสสะเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ขอบอก
อรรถนั้น ว่ามีผัสสะนี้เป็นนิทาน แก่พระองค์ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า
ความดีใจและความเสียใจ มีผัสสะเป็นนิทาน เมื่อผัสสะไม่มี ความ
ดีใจและความเสียใจเหล่านั้นจึงไม่มี อรรถนั้นใด คือ ความไม่มีและ
ความมี ข้าพระองค์ขอบอกอรรถนั้น ว่ามีผัสสะนี้เป็นนิทาน แก่
พระองค์.
[๔๘๖] (พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า) ผัสสะในโลก มีอะไรเป็นนิทาน และ
ความยึดถือมีมาแต่อะไร เมื่ออะไรไม่มี ความถือว่าของเราจึงไม่มี เมื่อ
อะไรไม่มี ผัสสะจึงไม่ถูกต้อง.
ว่าด้วยต้นเหตุของผัสสะ ....
[๔๘๗] คำว่า ผัสสะในโลกมีอะไรเป็นนิทาน ความว่า พระพุทธนิมิตตรัสถาม สอบ
ถาม ขอให้ตรัสบอก เชิญให้ทรงแสดง ขอให้ประสาทซึ่งมูล ฯลฯ สมุทัยแห่งผัสสะว่า ผัสสะ
มีอะไรเป็นนิทาน คือ เกิด เกิดพร้อมบังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏมาแต่อะไร คือมีอะไร
เป็นนิทาน มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ผัสสะในโลกมีอะไรเป็นนิทาน.
[๔๘๘] คำว่า และความยึดถือมีมาแต่อะไร ความว่า พระพุทธนิมิตตรัสถาม สอบ
ถาม ขอให้ตรัสบอก เชิญให้ทรงแสดง ขอให้ประสาท ซึ่งมูล ฯลฯ สมุทัย แห่งความยึด
ถือทั้งหลายว่า ความยึดถือมีมาแต่อะไร คือ เกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏมาแต่
อะไร คือ มีอะไรเป็นนิทาน มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า และความยึดถือมีมาแต่อะไร.
[๔๘๙] คำว่า เมื่ออะไรไม่มี ความถือว่าของเราจึงไม่มี ความว่า เมื่ออะไรไม่มี ไม่
ปรากฏ ไม่เข้าไปได้อยู่ ความถือว่าของเรา จึงไม่มี ไม่เป็น ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้ คือ
ความถือว่าของเรา อันพระสมณะละ ตัดขาดสงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสีย
แล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่ออะไรไม่มี ความถือว่าของเราจึงไม่มี.
[๔๙๐] คำว่า เมื่ออะไรไม่มี ผัสสะจึงไม่ถูกต้อง ความว่า เมื่ออะไรไม่มี ไม่เป็น
ก้าวล่วง ล่วงเลย เป็นไปล่วงแล้ว ผัสสะจึงไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่ออะไรไม่มี
ผัสสะจึงไม่ถูกต้อง. เพราะเหตุนั้น พระพุทธนิมิตนั้นจึงตรัสถามว่า
ผัสสะในโลกมีอะไรเป็นนิทาน และความยึดถือ มีมาแต่อะไร เมื่อ
อะไรไม่มี ความถือว่าของเราจึงไม่มี เมื่ออะไรไม่มี ผัสสะจึงไม่
ถูกต้อง.