วัยรุ่นหญิงไทยส่วนใหญ่รักนวลสงวนตัว

วัยรุ่นหญิงไทยส่วนใหญ่รักนวลสงวนตัว

โพลวธ.ชี้ชีวิตกับความรัก“หญิงขอรอ ชายขอรุก” บั่นทอนสังคมอนาคต เด็กยุคใหม่หัวใจสีชมพู มองรักคือการให้-เสียสละ เด็กผู้หญิงอยากรอมีเซ็กส์เมื่อแต่งงาน ส่วนเด็กผู้ชายอั้นไม่ไหวตั้งใจมีเซ็กส์ก่อนแต่งเพียบ พบเด็กรุ่นใหม่ 1 ใน 3 นิยมสะสมกิ๊กหลายคน ชี้เพศศึกษาในโรงเรียนโดนใจเด็กน้อย เด็กถอยห่างจากครูแต่เรียนรู้จากเพื่อนและสภาพในครอบครัวเป็นหลัก

เมื่อวันที่ 14 ก.พ. น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังทางสวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ผลการสำรวจทัศนคติของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับโครงการ Child Watch และสถาบันรามจิตติ เกี่ยวกับเรื่องชีวิตกับความรักของเยาวชนในแง่มุมต่างๆ โดยสุ่มตัวอย่างเยาวชนใน 14 จังหวัด จำนวน 3,178 คน ครอบคลุมตั้งแต่ระดับประถมศึกษาตอนปลายขึ้นมาถึงระดับอุดมศึกษา และทำการสำรวจในช่วงเดือน กันยายน - ตุลาคม 2548 ซึ่งผลการสำรวจพบว่า

เด็กไทยบางส่วนมีความสับสนในอัตลักษณ์ทางเพศ โดยมีเด็กชายประมาณร้อยละ 4.9 และเด็กหญิงร้อยละ 4.2 ที่ระบุว่าตนไม่ใช่ผู้ชายหรือผู้หญิงร้อยเปอร์เซนต์ ในขณะที่มีเด็กร้อยละ 61.9 รู้สึกอึดอัดกับการอยู่กับกลุ่มรักเพศเดียว

ในเรื่องการปรับตัวกับเพศตรงข้าม พบว่าเด็กร้อยละ 78.1 รู้สึกว่าตนปรับตัวเข้ากับเพื่อนเพศตรงข้ามได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีเด็กร้อยละ 57.8 ที่มักจะไม่มั่นใจเวลาพูดกับเพศตรงข้าม โดยเฉพาะเด็กผู้ชายระดับมัธยมต้นเป็นกลุ่มไม่มั่นใจเมื่อต้องพูดกับเพศตรงข้ามมากที่สุดคือร้อยละ64.1

ในเรื่องนิยามของความรัก พบว่าเด็กส่วนใหญ่มองความรักสดใส โดยเด็กถึงร้อยละ 92.9 นิยามความรักว่าคือการให้และการเสียสละ เด็กผู้ชายร้อยละ 87.4 มองการปฏิบัติตัวระหว่างคนรักว่าตนต้องสุภาพอ่อนหวาน ในขณะที่เด็กผู้หญิงร้อยละ 71.7 คาดหวังว่าคนรักต้องเอาใจเก่ง

ผลการสำรวจยังพบอีกด้วยว่า ทัศนคติทางเพศของเด็กวัยรุ่นในปัจจุบันมีความแตกต่างกันชัดเจนระหว่างวัยรุ่นหญิงกับชาย โดยเด็กวัยรุ่นหญิงยังคงมีค่านิยมอยากรักนวลสงวนตัวเป็นส่วนใหญ่กล่าวคือร้อยละ 73.9 อยากรอถึงวันแต่งงานก่อนมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่เด็กวัยรุ่นชายมีเพียงร้อยละ 37.7 เท่านั้นที่คิดจะรอมีเซ็กส์หลังแต่ง

ในเรื่องพฤติกรรมแสดงความรักในที่สาธารณะของหนุ่มสาว แม้เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่คือร้อยละ 76.7 จะมองว่าเป็นเรื่องผิดขนบธรรมเนียมไทย แต่กว่าครึ่งคือร้อยละ 51.6 ยังมองว่าการกอดจูบในที่สาธารณะของหนุ่มสาวสมัยนี้เป็นเรื่องธรรมดา

ในเรื่องบทบาทหญิงชายพบว่า แม้เด็กส่วนใหญ่คือร้อยละ 89.0 จะมองว่าผู้หญิงผู้ชายมีความสามารถเท่าเทียมกันแต่ร้อยละ 78.4 ยังคงให้ความสำคัญกับบทบาทของผู้ชายในฐานะผู้นำหรือการเป็นช้างเท้าหน้ามากกว่า โดยเฉพาะในภาคใต้ยังยึดคตินิยมในเรื่องดังกล่าวมากที่สุดคือร้อยละ 84.4 รองลงมาเป็นภาคอีสานร้อยละ 81.2

ที่น่าสังเกตคือมีเด็กวัยรุ่นถึงร้อยละ 37.5 รู้สึกตื่นเต้นดีกับการมีกิ๊กหลายๆ คน โดยเฉพาะเด็กผู้ชายถึงร้อยละ 39.5 และกลุ่มเยาวชนอาชีวะถึงร้อยละ 51.0 พอใจกับการมีกิ๊กหลายๆ คน แต่กระนั้นเด็กใหญ่ถึงร้อยละ 83.7 ก็ยังเชื่อว่าคนที่ไม่ซื่อสัตย์ในความรักหรือเจ้าชู้จะต้องมีปัญหาในที่สุด

ในด้านการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษานั้น มีเด็กวัยรุ่นเกือบ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 31.4 ที่มองว่าการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาในโรงเรียนนั้นยังไม่ค่อยโดนใจ โดยเฉพาะในระดับประถมศึกษามีเด็กถึงร้อยละ 38.7 ที่รู้สึกว่าการสอนเพศศึกษาในโรงเรียนไม่โดนใจ นอกจากนี้มีเด็กถึงร้อยละ60.5 ที่ไม่กล้าคุยกับครูเรื่องเพศ และเด็กร้อยละ 80.5 เวลามีปัญหาเรื่องเพศมักจะเล่าให้เพื่อนฟังเป็นอันดับแรก

ด้าน ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ผู้อำนวยการโครงการจัดตั้งสถาบันรามจิตติและหัวหน้าโครงการโพลวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ให้ความเห็นว่า จากผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่าเด็กปัจจุบันมีทัศนะที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงกับตนเองหรือกับความสัมพันธ์และชีวิตคู่ในอนาคต ทั้งการแสดงออกของความรักอย่างเปิดเผย การมีค่านิยมเรื่องการมีกิ๊กหลายคน การไม่ยี่หระกับการหย่าร้าง ไปจนถึงการเลือกที่จะใช้ชีวิตโสดทั้งวัยรุ่นทั่วไปและโดยเฉพาะวัยรุ่นที่มาจากครอบครัวที่หย่าร้าง ซึ่งอาจทำให้สังคมไทยในอนาคตอาจคล้ายสังคมอเมริกันคือการหย่าร้างสูง คนอยู่เป็นโสดหรือเป็นหม้ายมีมาก การสำส่อนทางเพศของคนวัยทำงานมีสูงที่ไม่ต้องการผูกพันกับใครแต่นิยมหากิ๊กหรือคู่นอนหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆมากกว่า

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2549		3 comments
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2549 9:52:13 น.
Counter : 911 Pageviews.
Share Tweet