Less is now.
<<
กรกฏาคม 2560
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
20 กรกฏาคม 2560

Urbino, Italy เมืองเก่า เคล้าอดีต



สวัสดีอีกครั้งค่ะ มาเล่าเรื่องราวชาวทะเลอะเดรียติกกันต่อค่ะ เวลาแห่งความสุขนี่ผ่านไปเร็ว อย่างที่เค้าพูดกันจริงๆ แป๊บๆหมดเวลาพักผ่อนแล้ว วันนี้จะเล่าเรื่องไปเที่ยวของวันพุธที่ 12.07.17 อิชั้นและสามีขับรถออกจากโรงแรมไปเที่ยวเมืองเก่าบนเนินเขาที่มีชื่อว่า Urbino อยู่ห่างจากโรงแรมประมาณหนึ่งชั่วโมง ถนนหนทางที่ขับไปนั้นดีใช้ได้เลยแหละ เป็นถนนสองเลนสำหรับทางใครทางมัน ขับไปเรื่อยๆ ชมวิวเนินเขาที่คล้ายๆทัสคานี แต่แถบแคว้น Marche นี้เนินเขาจะสูงและชันกว่า เค้าปลูกดอกทานตะวันกันเยอะมากๆ ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ถ่ายไม่ทันไม่รู้ว่าเค้าเอาเมล็ดไปคั่วใส่ซองขายหรือเอาไปสกัดทำน้ำมัน หรือขายให้นกและสัตว์อื่นๆกิน เดี๋ยวจะลองถามคนแถวนี้ดู ใครอยากร้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมืองนี้ว่าอยู่ตรงไหน เก่าแก่ สำคัญเพียงใด ตามไปอ่านที่วิกิพีเดียได้เลยค่ะ https://it.wikipedia.org/wiki/Urbino


หลังจากหาที่จอดรถใต้ดินเจอแล้ว อยู่หน้า tourist office เลยค่ะ ค่าจอดรถชั่วโมงละ1.50 ยูโร เราก็เดินไปศูนย์ให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวที่มีพนักงานพร้อมให้ข้อมูลตลอดวัน หยิบแผนที่มาแผ่นนึง เดินตามลายแทงไปเรื่อยๆ เมือง Urbino นี้เป็นเมืองที่มีสำคัญมาตั้งแต่ยุคเรเนซองส์ มีปราสาท มีหอคอยมีกำแพงเมืองใหญ่โตล้อมรอบเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขาและตอนนี้ได้กลายเป็นมรดกโลกไปแล้วด้วย มีชาวบ้านชาวช่องอาศัยอยู่จริงๆด้านในกำแพงเมืองนั้นนะคะ เป็นบ้านเรือนสร้างด้วยอิฐสีแดงๆทั้งเมือง สวยงาม ดูแลกันได้ดีมาก ดอกไม้ ประตูบันไดมันช่างอยู่รวมกันได้อย่างเหมาะเหม็ง เข้ากันเสียจริงๆ ไม่ได้แบบมีมาโชว์นักท่องเที่ยวอะไร เค้าอยู่กันจริงๆ  มีคุณยายคุณตามานั่งเม้าท์มอยกันหน้าบ้านสร้างสีสันให้เมือง แต่ถนนตามตรอกซอกซอยนี่ซิ ถนนมันชันมากๆ คนที่นั่นนี่แข้งขาข้อเข่าคงจะแข็งแรงมากๆเดินขึ้นลงจนชินแล้วกระมัง



รูปแรกนี้ เป็นรูปตรงหน้า piazza rinascimento urbino และจะมีพิพิธภัณฑ์ Palazzo Ducale Urbino อยู่ด้วยจุดขายอยู่ตรงรูปวาดของ Raffaello เป็นรูป portrait ผู้หญิงนัยตาเศร้าๆคนนึงรูปวาดเลยมีชื่อว่า La Muta ค่าเข้าอยู่ที่คนละ 6.50 ยูโรเดินหลบร้อนเข้าไปดูรูปวาดสวยๆก็คุ้มค่านะคะแต่ที่อิชั้นโปรดปรานมากคงเป็นบันได้หินอ่อนค่ะ บวกหลังคาโค้งๆ มีรูปวาดสวยๆติดผนังเค้าติดไฟสีส้มอ่อนๆเป็นช่วงๆ บวกกับแสงธรรมชาติ ทำให้บรรยากาศมันน่าเดิน ชวนฝันแถมผนังตึกเก่านั่นทำจากหินจากอิฐล้วนๆ เย็นสบาย แข็งแรงทนทานมาหลายศตวรรษคงทนคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้



ตรงทางเข้าทางออกของพิพิธภัณฑ์



ห้องโถงนี้กว้างมากในมิวเซียม อิชั้นนั่งอยู่ตรงอีกฝั่งนึงของห้อง เห็นกันไหมเอ่ย คุณสามีถ่ายให้จากอีกด้านนึงของห้อง กว้างใหญ่อะไรปานนั้น 


รูปข้างล่างนี้ คือมองจากลานจอดรถขึ้นไปยังเมืองเก่าซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา


เดินเล่นตามตรอกซอกซอย ฮีพักขาแปร๊บนึง






หลงทางเสียเวลา แต่หลงป้าคนนี้ จะไม่เสียใจ Smiley มุกห้าบาทสิบบาทก็ขอเล่นหน่อยเถอะค่ะ 555



อุณหภูมิวันนั้นประมาณ 32 องศาค่ะ แต่เดินหลบแดดตามชายคาบ้านเรือนนั้นก็ไม่ทำให้ร้อนจนเสียจริตมากนักเมืองนี้เดินเที่ยวสักครึ่งวันก็ได้นะคะ แต่เราสองคนขี้เกียจเดิน เลยจ่ายคนละ 5ยูโร นั่งรถที่ทำเป็นรถไฟขบวนจิ๋ว นั่งชมเมืองพร้อมมีเทปเสียงเล่าเรื่องราวของเมืองไปเรื่อยๆประมาณครึ่งชั่วโมงก็ครบรอบ ลงจากรถไฟชมเมืองดิ่งตรงไปร้านอาหารที่แอบเมียงมองไว้ตั้งแต่แรกมีโต๊ะวางตรงลานกลางตึก ร่มรื่นพอสมควร อาศัยร่มเงาของตึก มีผ้าปูโต๊ะสีขาวๆแก้วน้ำใสๆวางประกอบอยู่ ตัดสินใจเข้าร้านอย่างง่ายดาย แพ้บรรยากาศแบบนั้นเรื่องรสชาติอาหารค่อยว่ากันอีกทีเนอะ

เราสองคนสั่งอาหารเหมือนกัน คือเป็นอาหารจานเดี่ยวเมนูรวมมิตรชวนชิมของทางร้าน จานนี้ราคา 10 ยูโร มีชีสและแฮม cold cut ท้องถิ่นเป็นจุดขายกินได้เรื่อยๆค่ะ มีชีสตัวนึงมีเห็ดทรัฟเฟิ่ลผสมอยู่ด้วย กลิ่นแรงใช้ได้ กินคู่ไวน์ขาวหอมๆทำให้เจริญอาหารยิ่งขึ้น อิชั้นสั่งน้ำแตงโมปั่นมาด้วย แก้วเล็กๆราคาตั้ง 4 ยูโรพนักงานทำหน้างงๆ คือคนที่นี่กินผลไม้ปั่นอย่างอื่น เช่น เมล่อนปั่นหรือผลไม้ตระกูลเบอรี่ปั่น แต่ปั่นแบบไม่ใส่น้ำแข็งไม่ผสมน้ำเชื่อมอะไรเลยรสชาติผลไม้นั้นแท้ๆ น้ำแตงโมปั่นของอิชั้นเลยออกมารสชาติแตงโม้แตงโมไม่เย็นไม่หวาน ก็กินได้นะ เริ่มชินกับน้ำปั่นแบบอิตาเลี่ยนสใตล์เสียแล้ว หรือถ้าเป็นน้ำปั่นแบบอิตาเลี่ยนแท้ๆจะเรียกว่า granita กรานิต้า เป็นน้ำแข็งปั่นละเอียด รสที่เป็นที่นิยมคือ รสมะนาว รสมินท์โซดา หรือรสโคล่าที่ออกหวานๆหน่อย เอ๊ะ มีรสอะไรอีกนะ แต่รสชาติส่วนใหญ่จะเปรี้ยวนำ ไม่หวานแบบบ้านเรา


เอาละ จบไปหนึ่งบล็อกสำหรับทริปร้อนนัก พักร้อนของสองเรา เดี๋ยวต่อเรื่องเที่ยวนี้อีกสักบล็อก แล้วจะมาเล่าเรื่อง ชีวิตของคุณป้านักหาเห็ด ณ เทือกเขาแอลป์กันต่อไป แล้วเจอกันใหม่ค่ะ บ๊าย บาย.




Create Date : 20 กรกฎาคม 2560
Last Update : 21 กรกฎาคม 2560 16:44:18 น. 0 comments
Counter : 1147 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

settembre
Location :
Italy

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




A minimalist mindset>>>minimalist lifestyle.
I try to pay attention to everything I buy and keep.
Now I live by the concept of BALANCE.




เริ่มนับจำนวนคนอ่าน วันที่ 22/04/15




New Comments
[Add settembre's blog to your web]