เรือนรักภุมราช ตอนที่ 8

            ลำดวนปวดเมื่อย เป็นไข้หายๆ สร่างๆ มาเกือบปีแล้วตั้งแต่จากเรือนพระยาวชิรชามา หยูกยาที่หมอบ้านต้มให้กินดีแค่ให้พอมีแรง พอยาหมดก็เหมือนแรงจะหาดหายอีก
           “ไอ้ผินมันบอกว่าต้องกินให้ครบสิบหม้อ เจ้าถึงจะหายดี นี่แค่หกเอง”
           “ข้าคงตายก่อนกินยาครบแน่ พี่ดับ”
           ดับ ชายวัยใกล้สี่สิบผิวคล้ำแดดจัด หนวดเครารุงรัง ลงนั่งข้างๆ ลำดวน ลูบผมเหงื่อท่วมอย่างห่วงใย “เจ้าไม่ตายหรอก ตราบใดที่ข้าอยู่นี่”
           “ข้าอยากพบราตรีกับมนูญเหลือเกิน ไม่รู้ชะตาสองคนนั่นถูกกลั่นแกล้งไปอีกนานแค่ไหน”
           ดับยิ้มกว้างจนใบหน้าดุร้ายอ่อนลง “เจ้าไม่ต้องห่วง บ้านพระยาเดโชมีเมตตาต่อราตรีกว่าบ้านเก่าเจ้า คุณหญิงท่านใจดี คุณอลิซาเบธเขาช่วยสอนให้ราตรีหัดเขียน อีกหน่อยคงเขียนเป็น ส่วนพ่อมนูญก็ไม่ได้บื้อใบ้ ข้าได้ยินเสียงจ้อชัดเจน”
           “พ่อมนูญพูดได้แล้วหรือ พี่ดับ” ลำดวนพยายามฝืนตัวลุกขึ้นอย่างดีใจ
           “ข้าจะโกหกเจ้าทำไม ข้าได้ยินชัดเจน กลางคืนก็จ้อกับยายเผื่อน ไม่ยอมนอนจนถูกดุร้องจ้าบ่อยไป”
           รอยยิ้มกลบหน้าลำดวน “ฉันนึกว่าลูกชายพระยาเดโชจะเป็นคนใจร้ายเสียอีก เคยรู้มาว่าตอนเด็ก เอาแต่ใจเจ้าอารมณ์ และเมียๆ เขา หาเรื่องแกล้งลูกข้าเหมือนตอนอยู่บ้านพระยาวชิรชาหรือไม่”
            ดับยิ้มเบื่อๆ เล็กน้อย “บ้านใหญ่ บ้านนายหมดทาสหมดทุกอย่างก็ยังไม่พ้นเรื่องเบาะแว้งดอกแม่ลำดวน แต่ข้าก็ดูๆ อยู่ หากราตรีทนไม่ไหว ข้าคงต้องลักพามาอยู่ด้วย”
          “ข้าก็อยากอยู่กับลูก”
          ดับมองรอบกระท่อม “จะอยู่กันอย่างไรเล่า ถึงข้ามีเงินทอง แต่ก็เงินโจรซึ่งเจ้ารังเกียจนี่นา อยากสร้างเรือนใหญ่ๆ ทางการก็อาจรู้เข้า จับข้าเข้าคุกอีก ไว้เจ้าหายป่วย แล้วข้าหาทางไปหัวเมืองไกลๆ ได้เมื่อไหร่เราจะไปปักหลักที่อื่น ตอนนี้เราจะอยู่ไกลพระนครไม่ได้ เจ้าห่วงราตรีนี่นา”
          “ข้าคิดถึงลูก”  ลำดวนล้มตัวลงนอนตามเดิม
           “ข้ารู้” ดับลุกขึ้น มองออกไปนอกหน้าต่างกระท่อม “คืนนี้ ข้าจะเข้าแถวบ้านพระเดโชอีก แม่ลำดวนต้องการสิ่งใดบ้าง”
           “เจ้าไปดูราตรีหรือคิดขโมยข้าวของใคร”
            “ทั้งสองอย่าง” ดับไม่โกหก “ข้าเป็นโจรนี่ เจ้าลืมหรือไร”
            ลำดวนนอนน้ำตาไหลกระซิกกับหมอน พร่ำสวดมนต์ภาวนาให้พระสงฆ์องค์เจ้าดูและราตรีและมนูญ ทั้งรวมถึงดับ อดีตโจรร้ายแหกคุกจากเมืองเหนือมาตั้งแต่ทางการมีการปราบโจรฮ่อ แต่นางขาดเขาไม่ได้ในตอนนี้


[b]เรือนอลิซาเบธ รั้วรอบขอบชิด และเต็มไปด้วยผู้คน [/b] แต่เมื่อค่ำคืนเดือนมืดมาเยือนบางครั้งก็เปลี่ยวจนเกือบเหมือนบ้านร้าง ดับแฝงหมอบย่องคืบติดพื้นให้ไปยืนถึงใต้ถุนระเบียงได้อย่างช่ำชองเสียงอลิซาเบธแว่วมาไกลๆ ชมลูกศิษย์ลูกหาที่มาเรียนเขียนอ่านด้วย
             ‘คุณโสภิตอาภารู้ภาษาไทยกว่าดิฉันและ หัวไวในภาษาอังกฤษมาก’
             เด็กผู้หญิงนามโสภิตอาภารับคำชมเสียงแจ๋ว “ขอบคุณเจ้าค่ะ เป็นสิ่งเดียวที่คุณหญิงแม่ให้อภัยต่อความซนของฉัน ยังจำได้เมื่อครั้งที่ถูกส่งเข้าประจำโรงเรียนสตรีวังหลัง ฉันร้องไห้ไปเป็นสิบๆ วัน จนวันหนึ่งฉันอ่านเขียนได้คล่องกว่าคุณหญิงแม่ คำชมทำให้ฉันบ้ายอยอมเรียนจนจบ นี่ต่อไปคงได้ช่วยงานเจ้าคุณตาสอนหนังสือ ฉันอยากไปอยู่สอนโรงเรียนวัดมหรรณพาราม ที่นั่นได้พบนักเรียนทุกชนชั้นกว่าวังหลังที่มีแต่ลูกเจ้าลูกนาย’
             ‘น่าชื่นชมจริงเจ้าค่ะ ต่อไปสตรีชาวสยามจะแกร่งกล้าเท่าผู้ชายเป็นแน่’


             ‘ฉันก็มั่นใจเช่นนั้น าตอนฉันเกิดคุณหญิงแม่ท่านดีใจมากที่ฉันเป็นหญิง เพราะตรงกับช่วงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี ได้ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตอนเสด็จประพาสยุโรป ทรงทำได้เป็นที่พอพระราชหฤทัยจนได้รับเลื่อนพระยศเป็นสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี บรมราชินีนาถ เจ้าคุณพ่อก็บอกว่าโรงเรียนที่สร้างอยู่ในวัดเบญจมบพิตรนั่นก็เสด็จไปทรงควบคุมการก่อสร้างเอง สักวันผู้หญิงอย่างฉันหรือคุณอลิซาเบธอาจได้เป็นเจ้านายในกรมก็ได้’


             ‘แต่คุณต้องเลิกเป็นลิงเป็นค่าง ทำตัวให้ผู้คนเกรงขามได้แล้ว’
             ‘แต่ตอนนี้ผู้คนก็คร้ามฉันกันทั้งนั้นนี่เจ้าคะ คุณอลิซาเบธ ฮ่าฮ่า’
            ‘นั่นคร้ามเพราะจะโดนคุณปาหัวนี่คะ’
            เสียงหัวเราะคิกๆ ของโสภิตอาภาทำดับเผลอยิ้ม บุญของราตรีที่มิตรสู่งส่งและใจงามชามฉลาด เขาเฝ้ารออลิซาเบธชมราตรีให้ได้ยิน และก็สมใจ


             ‘ราตรีก็เก่งไม่น้อย แม้จะเพิ่งเขียนอ่านได้ไม่นาน ข้าสอนให้รู้เร็วกว่านี้ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าบอกแค่ไหนนอกจากให้อ่านไปเรื่อยๆ’
             เสียงโสภิตอาภาเล่า‘แม่ราตรีเขาเข้าใจไม่น้อยดอกเจ้าค่ะ นี่ยังอ่านความสั้นๆ เข้าใจแล้ว แต่ดูแม่ไม่อยากเขียนเท่าไหร่ แปลกจริง’
             ดับฟังเสียงสามคนสนทนาด้วยความปลื้มใจ ไม่นานก็มีบ่าวมาตามโสภิตอาภาลงเรือข้ามกลับข้ามคลองไป เขารอราตรีลงจากเรือนอลิซาเบธ แต่เสียงคุยจากทางเดินของชายหนุ่มสองคนทำให้เขาไม่กล้าขยับเขยื้อน เงาเพียงน้อยนิดให้บ่าวชายที่นี่เห็น หลังเขาอาจได้มีดปักหลังกลับไป ดับจึงคู้ตัวแอบไม่ไหวติงตามเคย ชายดังกล่าวไม่ใช่บ่าว เป็นชายในเสื้อราชปะแตนทั้งคู่ คงเป็นเจ้าของบ้านผู้รับช่วงต่อจากพระยาเดโชนั่นเอง
            ‘คุณภุมราชนี่แอบชื่นชมเมียตัวเองหรือลูกศิษย์จำเป็นคนไหนกันแน่’
            ‘ก็ชื่นชมสตรีใฝ่รู้ทุกคน อลิซาเบธรู้ภาษากว่าฉันอีก คุณโสภิตอาภายังแต่งเพลงยาวได้เรี่ยมพอๆ กับพี่’
           ‘แล้วคนงามนั่นเล่า ฉันเห็นคุณแอบมองเสมอ’


           ภุมราชไม่เอ่ยความใด ทั้งที่ดับพยายามเงี่ยหูฟัง ได้ยินเพียงเสียงสนทนากันเรื่องการประปา ที่ดับไม่เข้าใจนักว่าบ้านแต่ละหลังจะรับน้ำจากแหล่งเดียวกันไปทำไม ทุกเรือนส่วนใหญ่ก็อยู่ริมน้ำ ที่ไม่มีก็แค่ขุดบ่อเอาหรือหาโอ่งดินรองรับน้ำฝน
            ดับเริ่มจำได้ว่าภุมราชคือผู้เคยเกือบเห็นเขาครั้งหนึ่ง ต่อไปเขาคงต้องระแวดระวังตัวกว่าเดิม ตรงเรือนใหญ่แสงไต้ที่เคยใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นเชื้อก็เปลี่ยนเป็นไฟประหลาดส่องแสงสวางจ้าแทบไม่ต่างจากกลางวัน เฉกเช่นเดียวกับตามถนนหนทางสำคัญในพระนคร หากกระจายไปทุกเรือนเมื่อไหร่เขาคงไม่อาจใช้ความมืดแฝงตัวเป็นโจรหรือมาที่นี่ได้อีก มั่นว่าสองพี่น้องเดินพ้นไปไกลแล้วดับจึงวิ่งด้วยฝีเท้าเงียบกริบไปยังริมคลอง กระโดดลงน้ำไปขึ้นยังท่าวัดแล้วลัดเลาะสู่บ้านเรือนและชุมชนตลาดเจ๊ก



             ทุกอรุณรุ่งหลังพระอาทิตย์โผล่พ้นเรือนพุ่มไม้สูงใหญ่ กว่าอลิซาเบธพามนูญลงจากเรือนริมน้ำได้ ก็ต้องยื้อตัวมนูญกันสุดแรง เพราะมนูญเริ่มแข็งแรงและดื้อที่จะตามใจตัวเองมากกว่าก่อน มนูญอยากไปเล่นน้ำ ราตรีทั้งเกลียดทั้งหวั่นท่าน้ำหลังเรือนตัวเอง คุณหญิงกับอลิซาเบธต่างรู้ว่าเธอเกลียดกลัวมันแค่ไหน ก็ดูจะไม่มีมามัวเห็นใจอีก
            ‘เฮ่อ ได้ที่คุ้มกะลาหัวขนาดนี้แล้วยังไปว่าคนอื่นแล้งน้ำใจอีก เรานี่แย่จริง’
            ราตรีเงยหน้ามองเรือน ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นที่ส่วนตัวของเธอมาได้เกือบครึ่งปีแล้ว
ราตรีกระเตงพ่อมนูญมานั่งรอโสภิตอาภาที่ลานดอกปีบเช่นเคย วันนี้ผู้คนหายเงียบไปไหนเธอไม่รู้ได้ เลาๆ ว่าพวกเจ้านายต่างห่วงพระอาการประชวรของพระพุทธเจ้าหลวง ผลัดกันเข้าวังถามไถ่อาการจากชาววังกันจนไม่เป็นอันอยู่เรือน เผื่อนก็เริ่มเจ็บออดแอดจนต้องไปนอนเรือนนมอิ่ม
            เผื่อนปวดเมื่อย และง่วงเหงาหาวนอนทั้งวัน แต่พอกลางคืนเสียงมนูญเพียงน้อยนิดก็ทำให้เผื่อนไม่หลับ และไอติดกันแรงๆ นมอิ่มจึงออกปากให้ไปอยู่เรือนตนเอง ทิ้งให้ราตรีนอนกับมนูญอย่างเดียวดายมาหลายคืนแล้ว


             ราตรีชะเง้อไปทางเรือนอลิซาเบธ หวังจะเห็นใครมาตามให้ไปรับใช้บ้าง แต่ก็หามีใครไม่ อลิซาเบธปล่อยให้ราตรีเรียนๆ เล่นๆ กับ โสภิตอาภาบ่อยขึ้น นั่งรอกันเงียบเชียบจนมนูญร้องตะโกนชี้ไปทางท่าเรือที่สาวน้อยแก่นแก้วกับบ่าวชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่งมาส่ง
              “คุณ-โฉ-พิด-พา-พา”
              มนูญวิ่งไปเกาะแขนโสภิตอาภาซึ่งเพิ่งเธอกระโดดขึ้นจากเรือ กำลังเดินดั่งไม่สบอารมณ์ใครมาที่ราตรี
              “ตามมาจนได้ เบื่อจริงๆ ท่านชายไข่ปอกเนี่ย” คนหน้ามุ่ยชี้ให้ราตรีดูชายที่ผูกเรืออย่างเงอะงะอยู่ที่ท่า ประสาคนไม่เคยทำสิ่งใดด้วยตัวเอง
              ราตรีเริ่มเข้าใจและทำตัวไม่ถูก ‘ท่านชายไข่ปอก’คงเป็นหม่อมเจ้าฉัตรชัยชัชวาลคู่หมายของโสภิตอาภา ที่ภุมราชเล่าวันก่อนนั่นเอง เมื่อท่านเสด็จมาใกล้ ราตรีให้อายตัวเองยิ่งว่าเมื่อครู่เห็นท่านเป็นไพร่ได้อย่างไร จึงได้แต่คุกเข่าแล้วรอรับสั่ง


               หม่อมเจ้าฉัตรชัยชัชวาลรูปงาม กายสูงใหญ่ ผิวพรรณเหมือนไม่เคยโดนแดดหรือแสงใดมาสิบชาติคงเป็นสาเหตุให้พระคู่หมั้นเรียกอย่างนั้น ยังทรงยิ้มให้ราตรีอย่างพอพระทัยในความงาม
             “นี่แม่ราตรีที่ว่าเป็นเพื่อนเจ้าหรือโสภิต ทำไมเพื่อนงามนัก ฮ่าฮ่า”
             “ใช่ ชอบเข้าแล้วละซี ราตรีพูดไม่ได้ แต่ก็รู้ความทุกอย่าง และนี่ก็ลูกของราตรี”
             “มานี่เจ้าหนู” ท่านเอื้อมหัตถ์อุ้มมนูญแล้วยกขึ้นสูงๆ “ลูกเจ้าสุขภาพดีนะราตรี”
             “ท่านชายโปรดแม่ราตรีหรือเปล่า ก็พาไปอยู่ที่ตำหนักด้วยสิ แม่ราตรีเขาเป็นโสดนะเจ้าคะ พาคนงามๆ เข้าตำหนักไป เรื่องอะไรจะเอาคนตัวดำอย่างฉันไปอยู่”
            “ฮ่าฮ่า โสภิตตลกไปแล้ว เห็นฉันเป็นเทพหรืออย่างไรคิดจะเอามนุษย์เข้าวังเมื่อไหร่ก็ได้น่ะ สตรีที่ฉันจะเอาเข้าบ้านก็ต้องเป็นคู่หมั้นฉันเท่านั้น ฉันเอาโสภิตนี่แหละ แม่ฉันเลือกไว้ดีแล้ว”
          
            ราตรีหัวเราะชอบใจขยับตัวนั่งพับเพียบเมื่อ ‘ท่านชายไข่ปอก’ ทรงทรุดนั่งลงกับพื้นหญ้าข้างๆ โดยมิได้รังเกียจ
            แต่โสภิตอาภาทั้งเคืองทั้งอาย “แหวะ ฝันไปเถิด”
            “พี่ภุมราชอยู่หรือเปล่า ราตรี” ท่านตรัสถึงเจ้าของบ้าน ราตรีส่ายหน้าไม่รู้
            โสภิตอาภาบอกอย่างรู้ดี “เชอะ อย่ามาถาม ราตรีเขาไม่ชอบคุณพี่ภุมราช คุณพี่เคยรังแกจนเจ็บข้อมือ ท่านชายอย่ามาถามถึงเลย ถ้าจะเสด็จหาก็เสด็จเอง ทางโน้นเจ้าค่ะ” มือชี้ไปทางเรือนใหญ่
            “เรื่องอะไร ฉันมาดูว่าคู่หมั้นมาเล่นอะไร ไม่คิดมาเยี่ยมใครสักหน่อย”
            “งั้นทรงเล่นน้ำกันไหมเจ้าคะ” โสภิตอาภาลอยหน้าลอยตาชวน “แต่ท่าจะยาก ท่านชายไข่ปอกที่ไหนจะกล้าโดนน้ำคู น้ำคลอง ที่ตำหนักพระองค์เจ้าฯ มีห้องอาบน้ำใหญ่โต ฮึ ไร้สารสิ้นดี”


            “ตกลง มา ไปเลย” ท่านชายรับคำหน้าตาเฉย แล้วยังทรงลุกขึ้นอุ้มตัว ‘พระคู่หมั้น’ ขึ้นจากพื้น
            “โอ๊ย ปล่อย” โสภิตอาภาทุบตีแล้วดิ้นลง ผมเผ้ายุ่งเหยิง จนท่านชายทรงสรวล แล้วยกพระหัตถ์ลูบผมยุ่งให้
            ราตรีนั้งปลาบปลื้มใจกับจริยาวัตรท่านชาย ไม่เข้าใจว่าทำไมโสภิตอาภาถึงทำเหมือนชังบุรุษเลือดขัตติยาผู้นี้นัก เพราะทั้งรูปงามอ่อนโยนเหมือนธมราชแต่หาได้มีแววตาเจ้าชู้น่ากลัว หรือท่าทางดุๆ ขวางๆ อย่างภุมราชในบ้านนี้
            “พูดเล่นดอก” โสภิตอาภาปัดมือท่านชาย “แม่ราตรีเขากลัวน้ำ ไหนเลยจะเล่นน้ำกับพวกเราได้ มาทำบ้านบนต้นไม้กันดีไหม ท่านชายตัวใหญ่ยื่นกระดานส่งให้เรา คงสะดวก”


              แต่ฉัตรชัยชัชวาลสนใจเรื่องที่ราตรีกลัวน้ำ
             “กลัวน้ำรึราตรี งั้นเจ้าก็ว่ายน้ำไม่เป็นนะสิ แสดงว่าไม่เคยได้ยินเรื่องพระนางเรือล่ม”


            ราตรีส่ายหน้า โสภิตอาภาจึงขอฟังด้วย “ท่านเล่าให้พวกเราฟังหน่อย เสด็จท่านว่ายน้ำไม่เป็น แล้วทำไมผู้คนถึงยังไม่ยอมช่วย ปล่อยให้นายหญิงตายต่อหน้าต่อตา ใจร้ายจริง”


             “โสภิต อย่าว่าร้ายใครอื่นก่อนรู้ความทั้งหมด ถ้าจะฟังก็นั่งลง” 



             ท่านชายทรงตำหนิก่อนเริ่มเล่าเรื่องเมื่อสมัยที่ตนชันษาแค่หกเจ็ดปี พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์หนึ่งในพระมเหสีแห่งพระพุทธเจ้าหลวง ขณะดำเนินเพื่อตามเสด็จไปยังพระราชวังบางปะอิน เมื่อถึงแถวบางพูดเรือก็มีเหตุให้เรือล่มลง บ่าวชายและชาวบ้านแถบนั้นก็มีใจช่วยพวกข้าราชบริพารหญิงขึ้นฝั่งปลอดภัย แต่ไม่มีใครหาญแตะตัวเจ้านาย ปล่อยให้พระองค์เจ้าสุนันทาฯ ซึ่งว่ายน้ำเป็นแต่เพราะต้องเข้าไปช่วยพระธิดา คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ฯ ซึ่งยังทรงพระเยาว์ ออกจากเก๋งเรือเลยติดอยู่ในเก๋งทั้งสองพระองค์ สิ้นพระชนม์ไปพร้อมๆ กันต่อหน้าต่อตาผู้คนแถบนั้น พระพุทธเจ้าหลวงเสียพระราชหฤทัยมาก ทั้งพระองค์เจ้าฯ ยังทรงพระครรภ์ ๕ เดือน อยู่ ตอนหลังจึงมีการเปลี่ยนกฏให้แตะเนื้อต้องตัวนายได้ตามสมควร และมหาชนก็ถวายพระนามพระองค์เจ้าฯ ว่า ‘สมเด็จพระนางเรือล่ม’”


              ท่านชายทรงหยุดเล่า ถามสองสาวเงียบสนิท “เป็นไงล่ะ ราตรี เจ้าเห็นหรือยังว่าเจ้าควรว่ายน้ำเป็น”
              โสภิตอาภายอมเห็นตามท่านชาย “ใช่เจ้าค่ะ เหตุนี้แหละ คุณแม่ถึงปล่อยให้ฉันเล่นน้ำได้ตามอำเภอใจ ราตรีต้องหัดว่ายน้ำนะ ฉันหัดให้ก็ได้”
              แต่ราตรีแม้จะหวั่นกลัวจากเรื่องพระนางเรือล่มแค่ไหน ก็ยังส่ายหน้า และกอดตัวมนูญแน่น เมื่อโสภิตอาภาบอกท่านชายว่าราตรีไม่ยอมให้ใครพามนูญลงน้ำได้


               ท่านชายเลิกชี้นำ หันมาตามใจโสภิตอาภา
               “งั้นก็คงต้องทำบ้านบนต้นไม้ มาลองเป็นนกกันดู จะเริ่มยังไงดี”


               โสภิตอาภายิ้มรับพาไปยังต้นมะม่วงต้นเดิมทันที บนนั้นมีแผ่นกระดานที่วางไว้บ้างแล้ว เจ้าตัวสั่งให้ราตรีกับคู่หมั้นตัวสูงโย่งส่งแผ่นกระดานให้ ตัวเองมือพัลวันกับเชือกปอที่ขโมยมาจากเรือนบ่าวที่บ้าน
                “ฉันจะทำไว้มนูญ และเพื่ออาลัยชีวิตวัยเด็กฉันเอง ปีหน้าฉันคงไม่ได้เล่นอย่างนี้อีกแล้ว ครูที่ไหนจะมาปีนต้นไม่ได้ ฉันล่ะเสียดายชีวิตเด็กจริง”
               “ที่บ้านฉัน มีต้นไม้แบบนี้ให้เจ้าเยอะแยะ โสภิตจะทำเรือนหอเราบนต้นไม้ก็ยังได้”
               ราตรียิ้ม แต่โสภิตอาภาทำไก๋ “นี่ท่านชายวรกายสูงเหมือนเสากระโดงเรือ ราตรีก็สูงกว่าฉัน แต่ทำไมถึงทำงานเชื่องช้ากันจริง เมฆครึ้มแล้วเดี๋ยวฝนก็ตก พ่อมนูญง่วง โยเยขึ้นมาก็ไม่ปล่อยให้เราเล่นสนุกอย่างนี้แล้วนา ไหนจะโดนคุณหญิงสั่งคนมาไล่ฉันกลับบ้านอีกล่ะ ทำงานกันเร็วๆ ไม่งั้นฉันจะปามะม่วงแก่นี้ใส่หัวทุกคน เฮ้อ เชือกนี้มันก็เหนียวเสียจริง” เสียงบ่นเพราะแก้ปมเชื่อกไม่ได้


               ท่านชายจำต้องเล่นไว้อาลัยชีวิตวัยเด็กของโสภิตอาภาไปด้วย “งั้นฉันขึ้นไปผูกเชือกให้ดีกว่า ราตรีส่งไม้นะ แค่ท่อนหมากเล็กๆ นี่เอง ฉันทำโยงทำเสาก่อน”


               ขณะกำลังจะปีนขึ้น มีเสียงราตรีโยนท่อนหมากทิ้ง


               โสภิตอาภามองลงมาจากต้นไม้ เห็นเลือดราตรีซิบๆ จากปลายนิ้ว “อ้าว ท่านชายลงไปดูมือราตรีก่อน คงโดนเสี้ยนไม้ตำเข้าให้แล้วเป็นแน่ โฮ้ย รังน้อยๆ ของฉันจะเสร็จมั้ยเนี่ย ไม่เป็นงานกันสักคน”
                ท่านชายลงมาคว้ามือราตรีมาดู เห็นเลือดอาบนิ้ว แล้วยังมีเศษไม้สีดำ ติดอยู่ตามฝามือและซอกนิ้ว พลางดุโสภิตอาภา “นี่ไงล่ะ โสภิตมัวเอาแต่สั่งให้ฉันกับราตรีทำโน่นทำนี่ จนราตรีเจ็บตัวเข้าแล้วปะไรล่ะ โสภิตรีบขึ้นไปบนเรือนหาเศษผ้ามาเช็ดเลือด ออ เข็มเย็บผ้าด้วย ต้องเอาเสี้ยนออก”


                 โสภิตอาภากระโดดหย็องแหย็งขึ้นเรือนนมอิ่มไป ราตรีคุกเข่าอยู่ที่เดิม มืออยู่ในมือท่านชาย ที่ค่อยๆ ดึงเสี้ยนแข็งๆ นั่นออก ปากบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ในพระคู่หมั้น


                “ฉันไม่น่าตามใจเล่นทำรังบ้าบอนี่เลย วันนี้เจ้าจะอาบน้ำให้มนูญได้ไหมนี่ แสบแน่ๆ เฮ่อ สักวันเพื่อนเจ้าจะเล่นจนมีดปักพุงฉันมั้ยราตรี”


                อารมณ์ขันของท่านชาย ทำเอาราตรีลืมเจ็บ แต่ไม่กล้าหัวเราะให้มือขยับ เสี้ยนไม้หมากทั้งใหญ่เล็กติดเต็มในฝ่ามือเต็มไปมือ
                “มือใครจะแข็งขันเท่าแม่โสภิตอาภาเล่า เฮ่อ แล้วนี่คู่หมั้นฉันเขารู้รึ ว่าเข็มอยู่ตรงไหนบนเรือน เห็นวิ่งไปยังกะบ้านตัว เฮ่อ”


               ราตรีเพิ่งนึกออกว่าน่าจะกลับไปบ่งหนามออกที่เรือนจะได้หาน้ำหาท่าถวายท่านชาย แต่ไม่ทันได้มองหามนูญ มีเสียงทักขึ้นมาเหมือนขู่ตะคอก



              “ทำอะไรกัน”
             ภุมราชยืนหน้าตาขม-งทึง สายตาจ้องมือราตรีที่ฉัตรชัยชัชวาลจับอยู่ “ท่านชายเสด็จมาถึงนี้ได้เช่นไรขอรับ” ภาษาช่างสุภาพแต่น้ำเสียงหาได้เป็นเช่นภาษา
             “ผลงานเล่นซนของโสภิต” ท่านชายชูมือราตรีให้ภุมราชดู “ต้องล้างแผลแล้ว ดินสกปรกทั้งนั้น”
            “ทำอะไรไม่เป็นก็อย่างนี้ อย่าโทษคนอื่นเลยขอรับ” ภุมราชเริ่มเข้าใจ
            แต่ราตรีคุ้นเคยว่าน้ำเสียงและแววตาแบบนี้ ภุมราชมีไว้ว่ากล่าวหญิงม่ายลูกติดเท่านั้น ราตรีดึงมือขวาออกจากหัตถ์ท่านชาย คำของอลิซาเบธที่บอกให้พยายามอยู่ห่างภุมราชก้องอยู่ในหูตลอดเวลา จึงยกมือไหว้ขอบคุณพร้อมลาท่านชายแล้วกระเตงมนูญขึ้นเอวเดินออกจากตรงนั้นรวดเร็วไปเรือนตัวเอง
ทิ้งให้ท่านชายจ้องภุมราชด้วยความงงงันว่าสิ่งใดเกิดขึ้น


             แต่เสียงร่าเริงเสมอของโสภิตอาภาดังขึ้นเสียก่อน
            “เข็มมาแล้ว โฮ้ย กว่าเผื่อนจะหาเจอ อ้าวราตรีไปไหนแล้ว” โสภิตอาภาแปลกใจที่ภุมราชมายืนอยู่ตรงนั้น กลับ แต่ราตรีหายไปแล้ว “บ่งหนามออกหมดแล้วเหรอเจ้าคะ”
            “เดี๋ยวฉันให้คนอื่นไปดูให้ คุณโสภิตอาภากับท่านชายขึ้นเรือนดีกว่า นี่ฝนกำลังจะตก” ภุมราชมองท้องฟ้าที่เริ่มมืด
            “ฉันฝากดูแลราตรี และขอโทษพี่แทนโสภิตจริงๆ ที่ทำให้คนบ้านพี่เจ็บตัว” ท่านชายคว้าแขนคนก่อเรื่องเตรียมกลับลงเรือ
            “ทำไมโทษฉันคนเดียวเล่า ท่านชายนั่นแหละ ควรจะเป็นคนยื่นท่อนหมากส่งฉัน ดันอยากปีนขึ้นต้นไม้เหมือนเด็กๆ ปล่อยให้ราตรีทำทำไมล่ะเจ้าคะ”
             “ก็ฉันอยากอยู่บนรังคู่หมั้นฉันนี่นา” ท่านชายอุบอิบ “กลับก่อนล่ะพี่ภุมราช”
             โสภิตอาภาอายภุมราชที่โดนท่านชายเกี้ยวต่อหน้าต่อตา ทั้งเคยประกาศต่อคนที่นี่ว่าไม่มีวันญาติดีกับท่านชาย ยังไม่ทันพ้นสายตาภุมราชที่ยืนมองยิ้มๆ เธอก็ถูกท่านชายอุ้มจนมาถึงท่าเรือเล็กๆ และพายเรือเสียเองปล่อยให้เธอนั่งเหมือนคนพิการ



             ราตรีล้างเศษดินออกจากมือ แล้วใช้เข็มเย็บผ้าบ่งเสี้ยนเล็กๆ ที่เหลือประประปรายเต็มมือออกอย่างยากลำบาก ทั้งแสบเพราะโดนน้ำทั้งเจ็บเพราะโดนเข็ม ไหนจะไม่ถนัดแล้วยังมีมนูญยืนกวนใกล้ๆ คอยขอเล่นเข็มอีก คงอีกนานกว่าพวกบ่าวคนอื่นๆ จะแวะเวียนมาให้เธอขอความช่วยเหลือ


             เพ่งมือตัวเองอยู่นานจนเมื่อยไปทั้งไหล่และคอ เศษเสี้ยนนั่นก็ยังออกหมดเสียที เสียงลมไหวอื้ออึงให้นึกสงสัยขึ้นมาว่าป่านนี้โสภิตอาภากับท่านชายจะขึ้นเรือนใหญ่หรือกลับข้ามฝั่งคลองไปแล้ว ฝนลงเม็ดแล้วจึงนึกได้ผ้าของมนูญตากอยู่ที่ราว จึงจับมนูญใส่คอกกั้น เจ้าตัวร้องจ้าไม่ชอบใจ ราตรีจำต้องปล่อยให้ร้อง กระวีกระวาดจะลง แต่ลงไม่ได้
              เพราะภุมราชขึ้นมายืนขวางตรงหน้า เส้นผมเขาเปียกน้ำฝน ในมือถือขวดแก้วสีดำๆ มาด้วย
              “จะไปไหน”
             ราตรีรีบชี้ไปที่ราวผ้าว เขาถึงเข้าใจ “มาเก็บอะไรเอาป่านนี้ ปล่อยมันไว้อย่างนั้น ไม่ต้องไป”


             มนูญไม่รู้อิโหน่อิเหน่ร้องกวนจะออกจากคอกกั้นท่าเดียว ราตรีลนลานไม่รู้จะทำอย่างไร ฝนลงหนักเหมือนหลังคาจะถล่มลง จำต้องเกร็งขอ้มืออุ้มมนูญที่ร้องจ้าหนักขึ้นออกมาจากคอก แล้วพากันนั่งลงบนพื้นไกลๆ จากที่เขายืนอยู่ มนูญสงบทันทีที่พ้นคอกกั้น เล่นของเล่นที่ท่านชายกับโสภิตอาภาเอามาฝาก


            “ยายเผื่อนไปนอนบ้านนมอิ่ม เจ้ากับมนูญอยู่กันแค่สองคนรึ กลางคืนเจ้ากลัวหรือเปล่า” ภุมราชมองไปทั่วบ้านที่มีแต่ปลาตะเพียนกับนกที่สานจากใบมะพร้าวแขวนเต็มไปหมด แต่ราตรีไม่ส่ายหรือพยักหน้า เขาจึงเดินมาจนใกล้


            “ไหน เอามือมาดู ?”


            ราตรีแอบมือหลังมนูญ มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ แต่เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงมือขึ้นมาเอง
            “นี่เจ้าทำมือตัวเองปอกเปิดหมดแล้ว ทำไมไม่ไปหาใครช่วย”
            ราตรีอยากขำนัก เผื่อนอยู่อีกเรือนแค่เคี้ยวหมากยังไม่ค่อยมีแรง ผู้คนอยู่ไม่กี่คนจะมีใครว่างพอมาดูแล ไหนจะฝนตกอีก


             “มา ข้าเอาออกให้” เขาเห็นเข็มอยู่ใกล้ “ถ้าคนอื่นเขี่ยให้ แผลจะไม่เหวอะอย่างนี้ เหลืออีกนิดเดียว เจ้าอย่าขยับ ข้ามือหนักนะ ไม่นุ่มนวลเหมือนหัตถ์ท่านชายฉัตรชัยชัชวาล”


             ราตรีรู้ดีตั้งนานแล้วว่าเขามือหนัก แม้ไม่นึกอยากให้เขาช่วยเหลือแม้แต่น้อยก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาไม่สั่งคนอื่นมาช่วย และบาดแผลแค่นี้คงไม่ทำให้ใครถึงตาย ทำไมเขาต้องมายุ่งอีก อลิซาเบธก็สั่งแล้วว่าเขาไม่ควรมาเห็นคนที่ตนชัง แต่ราตรีปล่อยให้เขาเขี่ยเสี้ยนออกตาเสมองมนูญที่เล่นอยู่คนเดียว


             “อืม คงหมดแล้ว” เขาเปิดขวดสีดำๆ นั่น “ใส่นี่ ยาฝรั่ง มันทำให้แผลหายเร็วและไม่เป็นหนอง”
             ราตรีมองขวดยานั้นอย่างไม่ไว้ใจ จำได้ว่าขวดยาคล้ายๆ แบบนี้พระยาวชิรชาทั้งกินทั้งทาก่อนจะตายไป
            “มันยาล้างแผล แสบหน่อยนะ” ภุมราชคว้ามือเธอเสียมั่น แล้วราดยาลง
 
           ราตรีทั้งกลัวความเกลียดชังจากเขาและขวดยานั่นอยู่แล้ว พอโดนน้ำยาประหลาดสีเกือบดำถูกมือจนแสบเหลือคณานับเข้าก็พยายามสะบัดมือ แต่ภุมราชกลับยิ้มให้ความตกใจของเธอ เหมือนที่เขายิ้มตอนบีบข้อมือเธอจนช้ำครั้งก่อน


             ราตรีมั่นใจขึ้นหนักเขามาที่นี่ยามไม่มีใครเพื่อหาทางกลั่นแกล้งเธอนี่เอง น้ำยาแสบจนเธอรู้สึกไปถึงท้องแขน และเขายังไม่ยอมปล่อยมือ ราตรีกลัวเขาจะราดยานั่นลงอีก ทำไมเธอต้องนั่งดูเขาข่มเหง


              ราตรีจึงทั้งฟาดทั้งข่วนแขนข้างที่เขากำมือเธออยู่อย่างรวดเร็ว


              ภุมราชไม่ทันได้ตั้งตัว จึงขยับโดนขวดน้ำยาสีดำๆ เหลืองๆ หกราดกระจายนองพื้น เมื่อเป็นอิสระราตรีลุกหนีไปอยู่อีกฟากของเรือนมองเขาด้วยความกลัว มนูญร้องจ้าเมื่อเห็นราตรีวิ่งหนีห่าง ทั้งเสียงฟ้าแล่บแปลบปลาบ แล้วร้องครืนสนั่นให้รู้สึกเหมือนพื้นเรือนจะขยับไหวได้ ราตรีวิ่งเข้ามาหากอดมนูญอย่างพึ่งพิง


            หน้าตาภุมราชบึ้งตึง ดังนั้นพอเขาลุกขึ้น ราตรีอุ้มมนูญราวจะหนีลงจากเรือนไปทั้งฝน
             “ไม่ต้องมาหนี ข้าไม่ใช่ปิศาจ โธ่ แค่นี้ก็กลัวไปได้”
             แล้วเขาก็ส่ายหน้าระอาใจ รีบลงจากเรือนไปท่ามกลางสายฝนหนักเสียเอง


            ราตรีร้องไห้กับแผ่นหลังของเด็กน้อยอย่างไม่เข้าใจต่อความเกลียดชังที่ภุมราชมีต่อเธอ ทำไมเขาจึงทำกริยาเหมือนพวกบรรดาเมียพระยาวชิรชาที่จู่ๆ ก็มาจงเกลียดจงชังเหมือนโกรธกันมาแต่ปางไหน สักคำเธอยังไม่เคยสามารถว่าด่าหรือนินทาใครได้ ร้องอยู่จนเหนื่อยจนเห็นมนูญชี้ให้ดูน้ำยาพวกนั้น จึงจำป้ายน้ำตาเลิกโศก


              ราตรีเอาผ้าขี้ริ้วรองมือจับขวดแล้วปิดฝาวางบนหิ้งว่างๆ หลบการปีนป่ายเล่นของมนูญ แล้วเช็ดยาออกจากพื้นด้วยความหวาดกลัว ราตรีคิดแล้วคิดอีกว่าจะล้างน้ำยานั่นออกจากมือหรือไม่ แต่เมื่อคลายแสบลงจึงมั่นใจว่ามันอาจแค่สิ่งที่ภุมราชใช้แกล้งเธอเท่านั้น หาใช่ยาพิษร้ายแรง หากล้างอีกอาจยิ่งแสบ


              ‘หรือเราจะไปจากที่นี่ดีล่ะ มนูญ’
               แต่ก็ได้แค่คิด เผื่อนเจ็บหนักเกินไปที่จะขยับขยายไปไหนเสียแล้ว เธอต้องอดทนอยู่ที่นี่ต่อไป


               อากาศเย็นสบายยามบ่ายแก่ ทำให้มนูญที่เหนื่อยเพราะเล่นสนุกมาแต่เช้าหลับลงในอ้อมแขนราตรี เมื่อวางเด็กลงบนฟูกราตรีก็ง่วงตามจนหลับไปพร้อมกัน ตื่นมาอีกทีก็ค่ำมืด เสียงผู้คนดังขึ้นเหมือนทุกค่ำ บ่าวคงเริ่มกลับจากวัดวา และนายๆ คงเริ่มคืนสู่เรือนหมดแล้ว ใบจิก บ่าววัยเดียวและสนิทสนมกับราตรีแต่หน้าตาปรุด้วยแผลเป็นรอยอีสุกอีไสเอาอาหารมาให้ท่าทางมีลับลมคมใน


               “คุณอลิซาเบธให้เอานี่มาฝาก เห็นว่าราตรีชอบกินตอนไปงานโกนจุกบ้านโน้น แต่ฉันถูกสั่งให้บอกแม่ราตรีว่าห้ามบอกใคร”
              ราตรีรับปิ่นโตมาเปิดดู ข้างในเป็นอาหารตามแบบชาววังที่โสภิตอาภาบอกวันก่อน วันนี้ทางเรือนใหญ่คงได้มาจากบ้านเจ้านายในรั้วในวังแน่ๆ


                เธอชวนใบจิกอยู่กินด้วย แต่เจ้าตัวส่ายหน้าอายๆ ช่วยราตรีทำโน่นทำนี่ในเรือนแทน “คุณอลิซาเบธบอกว่าให้ฉันช่วยดูแลแม่ราตรี และให้นอนเป็นเพื่อนที่นี่ แต่กลางวันฉันต้องไปช่วยงานพวกในครัว”



              ราตรีไปกอดไหล่ใบจิกอย่างดีอกดีใจ เธอไม่ได้อยากมีคนรองมือ แต่ราตรีกลัวผีมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก บางคืนรู้สึกเหมือนมีคนมาเดินไปมาใต้ถุนเรือน บางทีก็เหมือนมีสายตาใครไม่รู้จ้องมองอยู่ตลอดเวลา
              ใบจิกเองก็ดีใจ เพราะความขี้ริ้วขี้เหร่ จึงไม่มีใครให้โอกาสได้ฝึกงานเรือนงานฝีมือสบายๆ อย่างเด็กสาวคนอื่น ได้อยู่เรือนริมน้ำของราตรีย่อมดีกว่าเรือนบ่าวหรือไม่ก็ใกล้กองถ่านในเรือนครัว ตอนใบจิกอาบน้ำให้มนูญก็เริ่มบอกสิ่งที่ถูกสั่งมาอีก
             “คุณอลิซาเบธสั่งว่า ไม่ต้องพูดกับใครเรื่องให้ใบจิกมาอยู่เป็นเพื่อน และ... ต่อไปราตรีไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวคนอื่นเวลาดีอกดีใจไม่ว่าหญิงหรือชาย”
             ราตรีพยักหน้ารับแม้จะงุนงงสงสัยก็ตาม เธอพูดกับคนอื่นไม่ได้ ถ้าอยากเรียกหรือแสดงความรู้สึกกับคนอื่นก็ต้องแตะเนื้อต้องตัวเป็นธรรมดา แค่พูดไม่ได้ก็หนักพออยู่แล้วมือแข็งเข้าไปอีกเธอจะสื่อกับคนอื่นได้อย่างไร
             ไม่กี่วันต่อมาใบจิกกลายเป็นคู่หูคนสำคัญของราตรี รองจากโสภิตอาภา และใบจิกรู้เรื่องที่อลิซาเบธสั่งให้ราตรีอยู่ห่างภุมราช จึงคอยเป็นต้นทางให้เสมอเมื่อต้องพบปะภุมราชบนเรือนอลิซาเบธ แต่ราตรีก็ยังเผลอชอบเกาะแขนกอดไหล่พวกผู้หญิงในบ้านหลังนี้เหมือนเดิมอยู่ดี




              “คุณพี่มีอะไรกับใบจิกนัก เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กะมันมาหลายวันแล้ว”
อลิซาเบธถามภุมราชด้วยความฉงนใจ
              “พวกนางฟ้าก็ถอยห่างฉันนัก พวกคนงามไม่เจ้าอารมณ์ก็ขี้ขลาดขี้อายเหมือนฉันเป็นผี เห็นทีฉันจะต้องคบหาบ่าวขี้เหร่ในบ้านมาเป็นเมีย” ภุมราชเล่าหน้าเป็น และจริงจัง “อีใบจิกนี่ฉันเห็นมันมาตั้งแต่แบเบาะ ชื่อมันนี่ฉันเป็นคนตั้งเอง เมื่อก่อนมันน่ารักไม่น้อย ยังเคยอุ้มมันขึ้นบ่า มันเพิ่งมาแผลปรุหมดสวยเมื่อไม่กี่ปีมาดอก รูปร่างมันก็ยังใช้การได้อยู่ ฉันอาจเอามันเป็นเมีย ฉันบอกแล้วอย่างไรว่าไม่เคยพึงใจคนที่หน้าตา แม่อลิซาหึงก็นอนกับฉันซี แล้วฉันจะเลิกมองอีใบจิก”
 
              “คุณพี่คะ” อลิซาเบธอดหัวหัวเราะหน้าเป็นของภุมราชไม่ได้จริงๆ “ถ้าคุณพี่รักชอบใบจิกขึ้นมา ฉันก็ไม่มีวันหึงดอกเจ้าค่ะ กับสตรีไหนก็ไม่หึง แต่เห็นมันมีลับลมคมในแล้วอดขำไม่ได้ ทำเหมือนมีราชการลับในบ้าน”
              “มันเป็นเรื่องฉันกับอีใบจิก นี่อีกหน่อยฉันคงหาเรือนให้มัน” ภุมราชยังไม่ลดละเรื่องเมียบ่าวขี้เหร่
              “คงไม่ต้องแล้วกระมัง เห็นมันอยู่เรือนแม่ราตรีทุกคืน เดินกอดกันตัวกลม แม่ราตรีนี่ก็เหลือเกิน เห็นคนวัยเดียวกันก็คบได้ทั้งนั้น ฉันยังแปลกใจที่เจอคุณโสภิตอาภาแค่วันเดียว คุณแกตามมาเล่นด้วยถึงบ้าน นี่กับยายใบจิกที่ถูกขุดออกจากห้องเก็บถ่าน ก็ติดกันแจ นี่คุณพี่เชื่อมั้ยคะว่าวันก่อน ทั้งสามคนนี่โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงพากันยกสำรับกับข้าวขึ้นไปกินบนบ้านที่สร้างกันบนต้นมะม่วงนั่น นมอิ่มก็ดุราตรีว่าทิ้งให้มนูญเล่นยุงกัดอยู่ข้างล่างคนเดียว แม่ราตรีทำยังไรู้มั้ยเจ้าคะ”


             “ปีนงกๆ ลงมาอุ้มมนูญขึ้นเรือน ? น้ำตาไหลเป็นเต่าเผา ?” ภุมราชเอ่ยเยาะๆ


             “ผิดค่ะ แม่ปีนลงมาอุ้มลูก แล้วปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ด้วย ถ้าฉันไม่เห็น แล้วดุให้ลงมา ฉันว่าบ้านไม้นั่นจะพังให้ปอกเปิดกันทั้งสี่คนแน่ๆ” อลิซาเบธหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล
ภุมราชไม่ยอมขำ “ฮึ แม่ม่ายติดของเล่น”
               “ฉันว่าแม่ราตรีน่ะไม่เคยได้เล่นสนุก ส่วนคุณโสภิตอาภาก็อาลัยชีวิตเด็ก ใบจิกก็นายว่าขี้ข้าพลอย” อลิซาเบธยังไม่หายขำ “แต่นึกแล้วก็เวทนา ว่าทำไมคนบ้านพระยาวชิรชาถึงเขม่นหนักกะราตรี ถ้ามันมีกริยาน่าเดียดฉันท์ก็ว่าไปอย่าง หรือเพราะงามเกินใคร ?”


               “แย่งผัวเขา ใครจะรักชอบลง”


              “กลายเป็นความผิดของผู้หญิงด้วยกันตามเคย” อลิซาเบธถอนหายใจ “เรื่องแบบนี้จะโทษมันคนเดียวได้อย่างไร ทีฉันยุให้มันเป็นเมียคุณ คุณก็เห็นนี่เจ้าคะว่ามันหนีหัวซุกหัวซุน คุณยังคิดว่าเด็กแบบนั้นจะแย่งผัวใครได้อีกหรือเจ้าคะ ความผิดของบุรุษมากกว่า วันก่อนใบจิกมันก็บอกว่าพี่ชายคุณไปมองๆ แถวเรือน แต่ก็โชคดีที่คุณธมราชเธอไม่ค่อยอยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นราตรีได้ประสบเรื่องแบบเดิมแน่ๆ” อลิซาเบธนึกถึงเรือนแหวนแล้วหวั่นแทน



              “ฉันไม่สนเรื่องเมียใครดอก มีใจให้อีใบจิกเท่านั้นตอนนี้ และมันก็คงมีใจให้ฉัน เรียกหามันเมื่อไหร่ได้ทันที”


                ภุมราชประชดเมียรักเสียงดัง จนสาวๆ ที่กำลังช่วยกันปักลายผ้าด้วยไหมจากเมืองจีนหันมาทำหน้าสยอง หากใบจิกถูกเลื่อนชั้นเป็นเมียบ่าวเมื่อไหร่ ผู้ดีอย่างทัศนาคงต้องปลิดชีพตัวเอง ส่วนบ่าวที่พร้อมเสนอตัวอย่างพวกนาง คงต้องย้ายนิวาสถานไปอยู่วัดแทน แต่บ้างก็ไม่ใคร่แน่ใจ เพราะภุมราชนั้นมีอะไรแปลกๆ มาตั้งแต่เด็ก


              โปรดติดตามตอนต่อไป






 

Create Date : 06 สิงหาคม 2553
4 comments
Last Update : 6 สิงหาคม 2553 10:10:43 น.
Counter : 319 Pageviews.

 

คุณภุมราชนี่เล่นตัวจัง... หมั่นไส้มาก
อยากให้มาเร็วกว่านี้จังค่ะ อยากรู้ต่อเร็วๆ (กดดันคนเขียน...)
ขอบคุณนะคะ

โดย: Assawat IP:

ตอบ...ปลายเดือนจะพยายาม


เห็นเหมือนข้างบน หมั่นไส้มากคะ อิอิ
โดย: sakeena
ตอบ... 555+ คุณภุมราชแกอายที่จะจีบแม่หม้ายสาวน้อยน่ะ เลยยึกยักแปลกๆ 5555555


ความคิดเห็นที่ 4
ตัวละครเมื่อเปิดเรื่อง จะโผล่กลับมาไหมคะ
จากคุณ : scottie

ตอบ...ความจริงก็กลับมาแล้ว อลิซ เป็นลูกสาวของใบแคกับฝรั่งค่ะ และอลิซจะมีความคิดแปลกๆ ผิดชาวบ้านไปหน่อยนึง เดี๋ยวตอนหลังๆ จะปรากฏชัดขึ้น


ความคิดเห็นที่ 5
ขอบคุณคร้าบ
จากคุณ : Mot_anoy
ตอบ...ด้วยความยินดีเช่นเดียวกันครับ...



ความคิดเห็นที่ 6
เสน่ห์ ค่ะ ไม่ใช่ สเน่ห์
หัวเราะ ใช้ หึๆ หรือไม่ก็ ฮ่าๆ แต่
หญิงสาวสมัยก่อน มักไม่แสดงความรู้สึกใดๆ โดยเฉพาะหัวเราะให้เห็นชัดๆ แต่จะแอบยิ้มๆแทน
เราจึงไม่เคยเห็น นางเอก อ้าปากหัวเราะ เพราะมันจะไม่งามค่ะ
จากคุณ : มนต้นไม้ (Setakan)

ตอบ...ซวยแล้วๆๆๆ ปลายเดือนเขียนผิดหมดเลย ขอบคุณคร่า ตัวละครที่เป็นบ่าวๆ คงหัวเราะอิอิได้ ส่วนนางเอกของปลายเดือนไม่หัวเราะ เพราะเป็นใบ้ ...โอ๋ย ช่างนิยายที่เขียนยากเย็น


ขอบพระคุณทึกท่านที่มาช่วยกันดู //โค้งงามๆ

 

โดย: ปลายเดือน กันยา 6 สิงหาคม 2553 10:22:17 น.  

 

เชอะ ทำเป็นอาย เดียวอดนะ ^____^

 

โดย: sakeena IP: 124.120.72.67 6 สิงหาคม 2553 14:04:20 น.  

 

กุกิ ช่วยกดดันด้วยคนค่า

สนุกค่ะ จนอยากอ่านบ่อยๆ เหอเหอ

 

โดย: fiona IP: 203.171.197.82 6 สิงหาคม 2553 20:19:01 น.  

 

เรื่องนี้ท่าจะยาวนะคะ... หรือเปล่า (แอบเดา)
ตั้งแต่อ่านมารู้สึกเหมือนขาดอะไรไป (เป็นความรู้สึกส่วนตัวค่ะ)
อืม...ไม่ทราบว่าพอจะเพิ่มบทความคิดของพระเอกได้มั้ยคะ
อยากให้บรรยายจุดยืนของพระเอกว่าทำไมถึงได้มีเมียเดียวไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับหญิงอื่นใด ผิดผู้ผิดคน (ในสมัยนั้น) จะได้ทำให้บทพระเอกแน่นขึ้นน่ะค่ะ (เป็นการขอส่วนตัวเช่นกันค่ะ)

 

โดย: Assawat IP: 183.89.144.199 7 สิงหาคม 2553 10:29:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ปลายเดือน กันยา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นามปากกา ปลายเดือน กันยา
นิเทศศาสตร์ มสธ.

เขียนไปเรื่อยๆ เรื่องจริง เรื่องโกหก เขียนได้หมด
อ่านไปเรื่อยๆ เรื่องชาวบ้าน เรื่องจริง เรื่องโกหก ชอบหมด

อยู่ไปเรื่อยๆ ด้วย
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ปลายเดือน กันยา's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.