ตุลาคม 2554

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
ฮ่าๆ หลังประกวดพานแว่นฟ้าเสร็จสิ้นลง..ข้าพเจ้าก็เอาเรื่องมาให้อ่านนน
ฮ่าๆหลังจากประกวดพานแว่นฟ้าจบลง...

จดหมายของทางรัฐสภาก็ส่งมาเชิญไปร่วมงานรับ แต่ไม่ได้รับกับเขาหรอก...- -"

ก็เลยตัดสินใจไม่ไปดีกว่า อายเขา ๕๕๕+

หลังจากนั้นอีกไม่นาน อยู่ๆก็มีพัสดุส่งกลับมา อ๊าคคค...น่ากลัว อยู่ๆก็ส่งพัสดุมา

เลยเปิดดูอย่างใจระทึก ก็ไม่มีอะไร เขาส่งหนังสือของเรื่องที่ติดรางวัลมาให้อ่านเฉยๆ...

วันนี้ได้ฤกษ์ดี เลยเอาเรื่องที่เเต่งไป แต่ได้แค่เข้ารอบมาให้อ่านกัน ช่วยติชมกันด้วยน้าาาา...จุ๊บๆ

ฝีมือข้าน้อยยังอ่อนหัดนัก ปล. หนูไม่ได้แต่งเอียงทางไหนน้า แล้วก็ไม่ได้กล่าวร้ายใคร ต้องอ่านดีๆ หนูแค่ให้ตัวละครที่สมมติขึ้นมา

ชื่อ "เสี่ยกวง" เป็นคนขายเสียงแล้วบริหารไม่ดี เปล่าด่ารัฐบาลเลยนะท่าน...อย่าตีความผิดไปว่าหนูไปย้อมสีไหนมาน้าาา...

.................................................................................................

ชื่อเรื่อง : ประชาธิปไตยในขวดเหล้า

รถคันใหญ่กระชากตัว สะเทือนปลุกจิตในนิทราของวิชาญให้ตื่นขึ้น แสงแดดอุ่นฉาบใบหน้าสะท้อนเข้าตาอันพร่ามัว เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นไล่ความง่วงออกไป ปวดหนึบทั่วร่างหลังจากคู้อยู่แต่ที่นั่งแคบๆมานาน เขาไม่อยากรบกวนหญิงผู้ร่วมทางข้างเขามากนัก เลยจำต้องยอมนั่งหลังคดหลังแข็งกอดเป้ใบใหญ่เพื่อเว้นระยะห่างเอาไว้สำหรับเธอ หญิงสาวเผยยิ้มบางบนริมฝีปากโดยไม่ได้พูดอะไร ความจริงเขาก็อยากจะชวนเธอคุยอยู่หรอก แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไรดี เรื่องหญิงนั้นเขาไม่สันทัดสักเท่าไรเลย วิชาญจำต้องปลีกจิตตนเองออกมา เมื่อไรจะถึงบ้านสักที นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ ความเจ็บปวดและอับอายบีบบังคับให้เขาต้องหนีไป..

เหตุการณ์ในวันนั้นมักย้อนเข้ามารบกวนจิตใจอยู่เสมอ เขาจะไม่เจ็บปวดขนาดนี้ถ้าผู้จรดมีดกรีดดวงใจให้ร้าวลึก ไม่ใช่พ่อของเขาเอง..

มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาขัดความคิดฟุ้งกระจายให้รวมกันเป็นปัจจุบันอีกครั้ง ผ้าเย็นผืนเล็กส่งผ่านมือหญิงเพื่อนร่วมทางมาถึงเขา รถโดยสารชั้นประหยัดไม่มีบริการผ้าเย็นอย่างแน่นอน เธอแบ่งของส่วนตัวให้กับเขาเอง คำกล่าวขอบคุณเป็นประโยคแรกที่เขาพูด ดวงหน้ายิ้มละไมแสดงน้ำจิตน้ำใจของเธอช่วยผุดยิ้มบนใบหน้าวิชาญโดยไม่รู้ตัว น้ำเย็นฉ่ำไล้ใบหน้าเรียกความสดชื่นกลับมา เขาตื่นเต็มตาเสียที

รสบัสวิ่งต่อไปอย่างทรหด ท้องทุ่งเขียวขจีเบื้องนอกหน้าต่างเตือนว่าจวนจะถึงเต็มทนแล้ว ทัศนียภาพข้างทางยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิด ถนนหนทางที่เทราดยางไม่สุดเส้นยังคงมีฝุ่นลูกรังฟุ้งขึ้นมาคล้ายจมอยู่ท่ามกลางสายหมอกสีอิฐ ไม่มีการพัฒนาอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรมสักอย่างตลอดสมัยที่ผ่านมา ในเมื่อการทุจริตยังไม่หมดไป ความก้าวหน้าจะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน เลือดนักศึกษากฎหมายถูกกระตุ้นให้เดือดพล่านขึ้นมาถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเกือบทำให้เขาสูญสิ้นศรัทธาในระบอบนี้ไปก็ตาม

ไม่สิ เขาไม่ควรจมปลักอยู่ในเรื่องวันนั้นให้เจ็บปวดในใจขึ้นมาอีก

อดีตขมขื่นกัดกินจิตใจมากพอแล้ว..

“ คุณคะ ถึงแล้วค่ะ”

เธอช่วยดึงเขาออกมาจากความคิดฟุ้งซ่านพวกนั้นอีกแล้ว เครื่องยนต์จอดสนิทอยู่ในท่ารถตั้งแต่เมื่อไรเขาแทบไม่รู้สึกตัวเลย ผู้โดยสารทยอยลงกันไปเกือบหมด เหลือเพียงวิชาญและเธอผู้อุตส่าห์เอื้อมมือเข้ามาสกิดเตือน เขาคว้าเป้ใบเก่งเดินลงจากรถด้วยจิตใจอันว่างเปล่า

อย่างไรแม่กับพ่อก็ยังอยู่ที่นี่ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดบังคับให้เขาต้องกลับมา...

ลมหนาวอวลกลิ่นใบข้าวแล่นกระทบปลายจมูก เขากวาดสายตาไปรอบๆคล้ายกับสูดไอหอมของอดีต ผู้คนในขนส่งบางตา ก็แน่ล่ะ-นี่ไม่ใช่เวลาเทศกาล ไม่ใช่วันหยุดยาว ซึ่งมันเป็นเรื่องดีที่เขาไม่ต้องเบียดเสียดกับคนพลุกพล่าน ไม่ต้องรีบเร่งกับเวลากระชั้นในวันหยุดแสนสั้นอันมีค่ายิ่งสำหรับครอบครัว ช่วงปิดเทอมนี่ล่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว แต่เขาคงจะรื่นรมย์กับเวลาพักผ่อนมากกว่านี้ถ้าไม่มีงานใหญ่ที่บ้านเกิด ใครจะคิดว่าสัปดาห์เลือกตั้งคือเวลาขมขื่นที่สุดสำหรับเขา มันเป็นยิ่งกว่าตราอุบาทว์ตรึงในดวงใจตลอดสี่ปีที่ผ่านมา

วิชาญไม่ได้ตั้งใจจะเป็นนักประชาธิปไตยตัวยงถึงขนาดกลับมาเลือกตั้งที่บ้านเกิดหรืออะไร เพียงเพราะมันซ้อนทับกับเวลาเยี่ยมญาติก็เท่านั้น แต่ใจจริง..เขาต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงที่คาดหวังไว้ลึกๆ ตามประสานักเรียนกฎหมายที่ถูกสถาบันปลูกฝังมาตลอด

ท่ารถเงียบงันเข้าขั้นสงัด มีเพียงรถยนต์ขนาดใหญ่ส่งเสียงคำรามอย่างมีชีวิตชีวา ไม่รู้ว่าผู้โดยสารหายไปไหนกันหมด หรือเขามัวแต่ใจลอยจนไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้าง ท่ามกลางสถานีขนส่งอันเงียบเหงา สายตากลับสะดุดร่างชายผิวเข้มผู้หนึ่ง ยืนอยู่สุดทางเดิน ถึงแม้ว่าภาพใบหน้านั้นจะยังคลุมเครือ แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

“ ไอ้ชาญ..”

เสียงแหลมกะล่อนนั้นเรียกชื่อเขาพลางวิ่งเข้ามาอย่างไม่สงวนอารมณ์ ใช่แน่แล้ว-ไอ้ต้อมเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมปลายของเขา เด็กกะโปโล ผอมก้าง ผิวดำเกรียมจนเห็นเพียงดวงตาโตแวววาวกับฟันขาวสะอาดในอดีต กลับกลายเป็นชายหนุ่มร่างกำยำล่ำสัน หน้าตาคมเข้มจนเขาแทบจำไม่ได้ กาลเวลาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปจริงๆ เว้นเสียแต่นิวาสบ้านเกิดที่ยังคงเหมือนเดิม

“ ไอ้ต้อม เอ็งมาทำอะไรวะ”

รอยยิ้มฉายขึ้นบนใบหน้าเมื่อเจอเพื่อนรัก นึกไม่ถึงจริงๆว่าจะได้มาเจอมันตอนนี้

“ ก็มารับเอ็งนั่นแหละ”

ริ้วรอยความสงสัยปรากฎขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ได้บอกใครเรื่องนี้นอกจากแม่

“ รู้ได้ไงว่าข้าจะมา แม่บอกเหรอ..”

“ ป้าเพ็ญไม่ใช่แค่บอกนะเว้ย แต่ประกาศทั่วตำบลเลย”

ยิ้มบางผุดขึ้นที่มุมปาก อย่างน้อยก็มีแม่และบางคนที่ยังยินดีกับการกลับมาของเขา

วิชาญเหวี่ยงเป้ลงบนพ่วงข้างจักรยานยนต์ของต้อม แผ่นไม้ประกอบบนโครงเหล็กอย่างง่ายส่งให้มันคล้ายรถซาเล้งอยู่กลายๆ เขาอยู่กรุงเทพฯมานาน แต่ความติดสบายนั้นไม่ได้ซึมซับเข้ามาในอุปนิสัยของเขาเลยแม้แต่น้อย กลับนึกสนุกกระโดดขึ้นนั่งพ่วงข้างเหมือนเด็กๆเสียอีก ต้อมหัวเราะร่าเมื่อเห็นเพื่อนรักทำท่าตลกโปกฮาราวกับเด็กแสบเช่นนั้น

จักรยานยนต์คันใหญ่แล่นตัดถนนดิน ลมเย็นเข้าปะทะกายตามความเร็ว แดดยามบ่ายแก่สาดแสงร้อนระอุทั่วกัน ต้นข้าวโน้มไหวแผ่วเบาเป็นระลอกแลคล้ายคลื่นน้ำสะท้อนแสงอาทิตย์ ความทรงจำดีๆในอดีตเริ่มเข้ามาแทนที่รอยแผลระบมนั้น

“ เห็นป้าเพ็ญบอกว่าเอ็งไปเรียนมหา’ลัยในกรุงเทพ ว่าแต่เอ็งเรียนต่ออะไรวะ”

ต้อมเอ่ยถามทับกลบไปกับเสียงลมแรง

“ กฎหมาย เอ็งล่ะ ทำอะไรอยู่ ”

“ ข้าก็รับจ้างทั่วไปอยู่ที่บ้านนั่นแหละ ไปเป็นเสมียนบ้าง ทำนาบ้างตามประสา แล้วแต่ใครจะจ้าง..ความจริงข้าก็อยากเรียนอยู่นะเว้ย แต่พ่อข้าป่วยว่ะ แถมหนี้เขาก็ยังใช้ไม่หมด ข้าเสียดายตังค์.”

หอกแหลมย้อนกลับมาแทงซ้ำแผลเก่าที่สมานไม่สนิทอีกแล้ว วิชาที่ใฝ่หาศึกษาเมื่อวัยเยาว์กลับคลายความศักดิ์สิทธิลง วิชาญรู้ดีว่านอกจากโรคภัยที่คุกคามลุงสิงห์พ่อของมัน ลุงแกยังติดหนี้มหาศาลกับผู้มีอิทธิพลที่อาศัยความไม่รู้กฏหมายของแกมาเป็นช่องทางทำมาหากินอย่างน่ารังเกียจ แต่เขากลับช่วยอะไรลุงและชาวบ้านที่ตกเป็นเหยื่อไม่ได้เลย ณ เวลานั้น คนเก่งกฎหมายกลับหาช่องว่างฉ้อฉ้น หลอกลวง แทนที่จะใช้เป็นเครื่องมือรักษาความยุติธรรม และบรรทัดฐานของสังคม เขาทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ....

สีขาววาดอักษรบอกชื่อหมู่บ้านจืดจางไปตามกาลเวลาและน้ำฝนที่ชะออกไป เรือนไม้ใต้ถุนสูงอยู่รวมกันเป็นชุมชนเล็กห้อมล้อมด้วยทุ่งนาและป่าละเมาะกระจายเป็นหย่อมๆ ให้กลิ่นอายชนบทอย่างแท้จริง นี่ล่ะ-บ้าน.... ไม่รู้ว่าจะมีใครจำเขาได้หรือเปล่า แวดล้อมรอบกายดูเหมือนกับจะฉุดเขาลงสู่หุบเหวร้ายกาจนั่นอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศอันเลวร้าย และสายตาเคลือบแคลงของชาวบ้าน พลันปรากฎดวงหน้าของสตรีที่คุ้นเคย ช่วยปลอบประโลมความเศร้าหมองในจิตใจจนหมดสิ้น แม่-ผู้อยู่ข้างและรักเขาเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รอยยิ้มอ่อนโยนช่วยให้โลกของเขาสดใสอบอวลไปด้วยไออุ่น ไม่เหมือนพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว...

หญิงร่างเล็กก้าวลงบันไดไม้ขัดเงามาที่เขา วิชาญไหว้แม่ด้วยความคิดถึงอย่างถึงที่สุด ถ้าไม่มีแม่ในวันนั้น-เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้ บุญคุณของแม่เปี่ยมล้นเสียยิ่งกว่าสิ่งใดจะทดแทน

ทุกคนนั่งล้อมวงมื้อเย็นบนแคร่ใหญ่ใต้ถุนบ้านคล้ายกับงานฉลองย่อมๆ หลังจากที่ปล่อยให้วิชาญเก็บของ อาบน้ำอาบท่าจนสบายตัวแล้ว แม่จัดเรียงกับข้าวหลากชนิดกลางวงรอเวลามาพร้อมหน้าพร้อมตากัน รายการเด็ดในคืนนี้เห็นจะเป็นน้ำพริกกะปิ ผักจิ้ม มะเขือเปาะ ถั่วพู แตงกวา เครื่องเคียงที่แม่ไม่ต้องซื้อหาจากที่ไหนให้เสียเงิน ทุกอย่างเป็นผักริมรั้วในสวนทั้งสิ้น ล้อมไปด้วยกับข้าวบริวารเล็กๆน้อยๆช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารจานหลัก แต่ก็ไม่เท่ากับบทสนทนาที่ออกรสยิ่งกว่า เรื่องชีวิตในเมืองกรุงของเขาและข่าวสารบ้านเมืองเป็นประเด็นร้อนของวง

“ ครบสี่ปีสักทีโว้ย แม่ง อะไรของมันก็ไม่รู้ ปัญหามีเป็นกองไม่เคยเก็บไปพูด .ตอนหาเสียงล่ะทำพูดเป็นต่อยหอยทีเข้าประชุมล่ะทำเงียบยิ่งกว่าเป่าสาก ”

อาไพบูลย์เกิดดีเดือดขึ้นมาเมื่อเปิดประเด็นการบ้านการเมืองขึ้นมา เรื่องการเลือกตั้งใหม่เป็นเรื่องร้อนที่สุดในวงสนทนา คล้ายกับความอัดอั้นตลอดวาระที่ผ่านมาถูกปลดปล่อยในเวลานี้ ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ก้าวเข้าสู่คืนหมาหอน

“ กินสะพาน กินถนน รีดไถ โกงค่าข้าว กินสุดโต่ง โกงโคตรโกง ไม่กลัวกฎหมาย บ้านเมืองมีขื่อมีแปนะเว้ย เฮ้ย....ไอ้ชาญเอ็งเรียนนิติมาก็พูดอะไรหน่อยสิวะ

เขายังคงนั่งตักกับข้าวไปเรื่อยโดยไม่ได้เงยขึ้นมาโต้วาทะกับพวกลุงๆ เสียงบ่นอีกหลายระลอกยังคงดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับข้าวที่พร่องลงทีละน้อย

“ แหม...ทำเป็นบ่นไป....คืนนี้ก็อย่าหายออกจากบ้านไปเมาหัวราน้ำก็แล้วกัน”

แม่เอ่ยขึ้นคล้ายประชดน้อยๆเมื่อเริ่มเก็บจานข้าวบนแคร่ ทุกคนก็พากลับกันไปหมดแล้ว วิชาญนั่งล้างจานกองพะเนินกับแม่ของตน หลังบ้านเป็นลานเทปูนเล็กๆกลางแจ้งพอดีตัว วางกะละมังสองสามใบเคียงก๊อกน้ำ ลมหนาวกระทบกายแผ่วเบา ต้นตาลบนคันนาส่ายเอนไปมาทาบเงาดำบนท้องฟ้าสีน้ำเงินสว่างด้วยแสงจันทร์ขาวนวล จิ้งหรีดเรไรกรีดเสียงท่ามกลางความมืดในพุ่มไม้ครึ้มหนาตามท้องร่อง เขาอยู่กับแม่เพียงสองคน พลันร่างตะคุ่มลัดท้องทุ่งเบื้องหน้าตรงเข้ามาที่พวกเขา ไฟถนนดวงน้อยฉาบร่างนั้นให้เด่นชัดขึ้น ชายวัยกลางคนในเครื่องแบบสีกากีผู้นั้น

พ่อ..

เขาอยากจะหายตัวไปจากตรงนั้นเสียจริงๆ ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรที่ดีพอจะพูดกับพ่อในตอนนี้ รอยยิ้มประหลาดฉายบนใบหน้าผอมตอบของพ่อ ก่อนที่จะเดินเลยขึ้นเรือนไปโดยไม่กล่าวใดๆทั้งสิ้น วิชาญรู้สึกหนาวๆร้อนๆอย่างไรชอบกลกับท่าทีพิลึกของพ่อ คล้ายเหตุการณ์ในวันนั้นย้อนกลับซ้ำรอยอีกครั้ง

ไฟดวงสุดท้ายถูกดับลง วิชาญลืมตาโพลงในความมืด

เขานอนไม่หลับ..

ภาพเก่าฉายขึ้นในมโนจิตอย่างต้านทานไม่อยู่อีกต่อไป..

..............................................................................................................................................................

วิชาญเดินอย่างเงียบเชียบฝ่าความมืดลงมาจากเรือนไม้ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆตามเขามา ความหนาวเหน็บและไอฝนเข้ากัดกินร่างลึกถึงกระดูก เขาเร่งฝีเท้าให้ทันชายผู้หนึ่งหมายตามไปจับให้ได้คาหนังคาเขา ทำไมต้องโกหกถ้าไม่มีลับลมคมใน พ่อออกไปทำอะไรกลางดึกเช่นนี้ เวรกะกลางคืนก็ไม่มี แล้วนายดาบตำรวจผู้นี้คิดจะทำอะไรในคืนหมาหอน

ใบตาลวาดส่ายพาจินตภาพถึงอสูรกายร่างสูงใหญ่เต้นเร่าในความมืดมิด เขาพยายามซ่อนเสียงเดินให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความรู้สึกผิดเริ่มเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว นี่เขากำลังตามจับผิดพ่อจากความคิดแง่ร้ายของตัวเองอยู่หรืออย่างไร ขาข้างหนึ่งสะดุดเข้ากับคันดินยกสูง พ่อเหลียวหลังเหมือนกับไหวตัวหรือได้ยินเสียงใครสะกดรอยตาม เขาหยุดอยู่ตรงนั้น แว่วเสียงเพลงมาจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ตามปกติแล้ว แถวนี้ก็มักจะมีก๊งเหล้าวงใหญ่เป็นอาจิณ แต่ไม่ใช่สำหรับคืนนี้ ชายเบื้องหน้ายังคงมุ่งไปข้างหน้าไม่หยุดหย่อน พ่อคงจะไม่สงสัยเสียงในความมืดนั้น สายฝนบางเบาโปรยปรายกระทบผิว แสงไฟสีสันละลานตาเล็ดลอดออกทางช่องหน้าต่างบานน้อยของบ้านเสี่ยกวง-ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในหมู่บ้าน เขาจะไม่สงสัยเลยว่าเสี่ยกวงขายเสียงถ้าเสี่ยมีชื่อเสียงในทางที่ดี

แต่ไม่ มันเป็นเพียงคนไร้ศีลธรรมคนหนึ่งผู้บูชาเงินตราและอำนาจเป็นสรณะ เงินและอำนาจเท่านั้นเป็นสิ่งที่มันต้องการ

ให้ตายเถอะ พ่อก้าวขาเข้าไปในบ้านหลังนั้น...ไม่.....!

เขาซุ่มเงียบเลียบรั้วปูนสูงพยายามมองผ่านหน้าต่างเข้าไปด้านใน สายตาพยายามเพ่งฝ่าความมืดอย่างยากลำบาก แต่ยังมองเห็น งานรื่นเริงบางอย่างดำเนินอยู่ภายในอย่างคึกคัก

ใช่แน่แล้ว..... เขาปราดเข้าไปโดยไม่หยุดคิดใดๆก่อนทั้งสิ้น

พ่อของเขากระดกซดของเหลวสีอำพันในแก้วอย่างสนุกสนาน กลิ่นสุราเมรัย ควันยาสูบ คละคลุ้งปนกันจนน่าเวียนหัว เพื่อนบ้านที่คุ้นเคยอยู่ในอาการเมามาย บ้างก็มีเงินฟ่อนใหญ่โผล่พ้นขอบกระเป๋าขึ้นมา ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งแต่การเป็นข้าราชการของพ่อเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีที่ค้ำคอเอาไว้มาตั้งแต่เด็ก

“ พ่อ กลับบ้าน....”

เขาเพิ่มระดับเสียงขึ้นจากปกติ พ่อส่ายหน้าแดงระเรื่อจากพิษสุราเบาๆเป็นเชิงปฏิเสธ เลือดร้อนของเด็กหนุ่มพุ่งขึ้นถึงขีดสุด วิชาญตรงเข้ากระชากแก้วเหล้าออกจากมือของพ่อ หมายจะพากลับบ้านให้ได้ เขาเกลียด เกลียดการกระทำอันไร้จรรยาบรรณเช่นนี้

“ นี่เอ็งอยากมีเรื่องหรือไงวะเฮ้ย...”

ชายร่วมโต๊ะแสดงท่าทีไม่พอใจขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเป็นอาการเมามายไร้สติ

“ เฮ้ย ไอ้หนู ดาบเขามาพักผ่อน จะไปห้ามเขาทำไมวะ”

ไอ้หนวดเฟิ้มท่าทางกร่างหนึ่งในลูกสมุนของเสี่ยกวงเอ่ยขึ้นมา พร้อมวาดมือใหญ่ราวใบลานของมันกระชากคอเสื้อเขาอย่างแรงจนเกือบลอยขึ้นจากพื้น ไอ้ยักษ์นี่ตัวใหญ่กว่าเขาเกือบสองเท่าได้กระมัง พละกำลังอันน้อยนิดดูเหมือนจะไม่สะดุ้งสะเทือนมือแข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย

“ เอ็งอย่ามายุ่ง ข้าจะเอาพ่อข้ากลับบ้าน”

แววตาแข็งกร้าวชองกลุ่มชายฉกรรจ์ผู้คุมงานเลี้ยงกวาดมาที่ตัวเขาเป็นจุดเดียว

“ ดาบเขาอนุญาตให้พวกข้าจัดงานแล้ว รองเจ้าภาพจะรีบกลับได้ยังไงวะ”

คล้ายมีดลนไฟร้อนระอุปาดผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว พ่อเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด อำนวยความสะดวกให้พวกมันก่อการชั่วอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย รับเงินเอาคนชั่วเข้ารัฐสภาเป็นตัวแทนประจานความเสื่อม เขาถูกฉีกหน้า เสียงหัวเราะเยาะดังขรมกระทบโสตจนอื้ออึงไปหมด ร่างของเขาถูกเหวี่ยงไถลไปบนโต๊ะไม้ยาว ขวดแก้ว จานชามแตกกระจายปาดผิวเลือดไหลซึบ เหล้าเพียงไม่กี่ขวดชะล้างอุดมการณ์และความถูกต้องในตัวพ่อให้มลายหายไปหมดสิ้นอย่างนั้นหรือ เลือดในกายพล่านขึ้นลง หัวใจเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ เขาโกรธพ่อ

“กูจะแจ้งจับพวกมึงเข้าตะรางให้หมดเลย...”

ปากพล่อยออกไปอย่างไม่ทันยั้งคิด ทั้งที่อันตรายเตรียมพุ่งเข้าใส่ทุกขณะ แต่เพราะความโกรธจนถึงขีดสุดนั่น อารมณ์หวาดกลัวจึงจางหายออกไปจากจิตใจทั้งหมด

อุดมการณ์....จรรยาบรรณ....ความยุติธรรม......

สิ่งที่พ่อพร่ำบอกเขามาตั้งแต่เล็กจนโตถูกลบล้างด้วยการกระทำของพ่อเอง ความศรัทธาต่อสามสิ่งนั้นอันตราธานไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือ ไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ.....

ของแข็งหวดผ่านอากาศกระแทกใบหน้าอย่างรุนแรง ร่างบนโต๊ะหล่นลงมากองอยู่กับพื้น เสียงแตกของแก้ว เศษกระจกสีชากระจายเรี่ยบนพื้นปนกับโลหิตข้นหยาดหยด ตามมาด้วยฝีเท้าเฉียดสิบกระทืบ เหยียบย่ำลงบนร่างอันปวดร้าว คำเยาะ ถากถาง ลอยมากระทบใจให้เจ็บลึก เลือดไหลอาบใบหน้าปวดหนัก สายตาพร่ามัวจนมองไม่ออกว่าใครเป็นใคร เสียงพ่อดังมาจากที่ไหนสักแห่ง พ่อเมาเกินกว่าจะช่วยเขา ขาปัดเป๋ล้มพับ พ่อทำได้เพียงหลับเคียงกองขวดสีชาอยู่ตรงนั้น

“ พอแล้ว...ป้าขอร้องล่ะ...จะเอาอะไรก็ได้แต่หยุดเถอะ..”

คำอ้อนวอนสั่นระส่ำดังขึ้น เสียงของแม่หรือ ? ช่างแผ่วเบาราวกับต้นเสียงอยู่ไกลเหลือเกิน เท้ามัจจุราชพวกนั้นค่อยถอนออกไป สติใกล้ดับวูดเต็มทน มืออ่อนนุ่มของแม่เข้าประคองร่างบาดเจ็บของวิชาญ น้ำใสจากนัยน์ตาแม่หยดลงปนกับของเหลวสีทับทิมที่ไหลรินไม่หยุด...

ทุกอย่างดำมืดมีเพียงสัมผัสนั้นที่ยังคงมีตัวตน.....

.................................................................................................

เขาลืมตาโพลงในความมืดอีกครั้ง แผลเป็นบนใบหน้ากระตุกขึ้นคล้ายกับเป็นสัญญาณเตือนอะไรบางอย่าง ร่างคลุมผ้าห่มยังคงนิ่งอยู่ในมุ้ง ทำไม....ทำไมเขาต้องระแวงพ่อแบบนี้ด้วย นึกกระดากในความคิดตัวเองขึ้นมาน้อยๆ

แต่..มุ้งใหญ่นั้น.กลับปรากฎสตรีร่างเล็กทอดกายอยู่เพียงผู้เดียว...

แล้วพ่อล่ะ..

วิชาญค่อยย่องผ่านพื้นไม้ เสียงแผ่นกระดานรับน้ำหนักเขาดังขึ้นแผ่วเบา เขาหวังว่าแม่คงจะไม่ได้ยิน คราวนี้ถ้าพ่อยังคงเกลือกกลั้วกับเงินสกปรกนั่นอีก

เขายอมตาย...ถ้าพ่อไม่รักและคิดจะปกป้องเขาจริงๆ

ท่ามกลางความมืดมน ยังคงปรากฎร่างชายวัยกลางคนผู้นั้น แต่คราวนี้พ่อกลับใส่เครื่องแบบออกมา สองเท้าย่ำผ่านถนนดินลูกรังแห้งแล้ง โสตไม่รับเสียงเพลงเฉลิมฉลองอย่างที่เขาคิดเอาไว้ มีเพียงจิ้งหรีดเรไรและนกแสกแผดเสียงจากแมกไม้ที่ไหนสักแห่ง ไฟดวงเล็กเว้นช่องระหว่างถนนเป็นระยะพอมองเห็น บ้านใหญ่กลางที่ดินกว้างไม่มีแสงสีเล็ดลอดออกมากระทบสายตา ทุกอย่างเงียบสนิท เขาหยุดเดินอีกครั้ง ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่คล้ายกำลังคุมเชิงอยู่ในบริเวณนั้น ใช่-หนึ่งในนั้นคือพ่อ......

“ ไอ้ชาญ...”

เสียงหนึ่งแหวกความเงียบขึ้นมา ท่ามกลางทุ่งนาและป่าละเมาะรอบกาย เขาสะดุ้งสุดตัว ที่แท้ก็อาไพบูลย์นั่นเอง ไฟถนนไล้ผิวกร้านภายใต้เครื่องแบบหยาบหนา

“ อามาทำอะไรที่นี่ครับ....”

ผุดยิ้มปริศนาบนดวงหน้าของอา ชายวัยกลางคนเบื้องหน้าเขาผายมือไปทางกลุ่มคนตรงนั้น...

“ มาเดินตรวจกันหมามันหอนยังไงล่ะ..”

อาไพบูลย์กวักไม้กวักมือเรียกพวกของตนให้มารวมตัวกัน ทั้งหมดคือตำรวจและพลเมืองอาสา รวมทั้งพ่อ....

สายตาของพ่อฉายแววอ่อนโยนอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกคนมาเพื่อทำงานจริงๆ หยาดเหงื่อและสายตาอันมุ่งมั่นเป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุด คล้ายกับไฟแห่งศรัทธาถูกปลุกให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

ไม่นาน....เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันออกไปปฏิบัติงาน เหลือเพียงเขาและพ่อ.....

“ เอ็งตามข้าออกมาเหรอ....”

พ่อเอ่ยขึ้นคล้ายกับแกล้งถาม เขาไม่ได้ตอบคำตอบนั้น

“ ข้าขอโทษ....”

คำขอโทษ ทำไมพ่อถึงได้เอ่ยเอาป่านนี้ มันยากลำบากมากหรืออย่างไร ถึงได้ปล่อยปละเรื้อรังตลอดสี่ปี

“ พ่อขอโทษตัวเองเถอะครับ....”

ความภาคภูมิใจในอาชีพของพ่อเหือดหายไปมานาน พ่อคงหวังว่าคำขอโทษนั้นจะสามารถกอบกู้ความน่าเชื่อถือให้กลับมาได้ แต่มันยังไม่เพียงพอสำหรับเขา.......

“ มีอยู่วันนึง....ฉันนอนดูทีวีอยู่กับแม่เพ็ญ”

พ่อกวาดสายตาออกไปไกลแสนไกล ราวกับปล่อยจิตล่องลอยไปในนภากาศ วิชาญไม่ได้โต้ขึ้นมา เขาก็อยากจะรู้ ว่าพ่ออยากจะบอกอะไรกับเขา

“ เจอข่าว เรื่องการเมืองห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ ที่แอฟริกา”

พ่ออยากจะสื่ออะไรกันแน่ หรืออายที่จะพูดบางอย่างถึงต้องใช้การเล่าอ้อมๆเช่นนี้

“ มันประท้วงเรียกหาประชาธิปไตยกันแทบเป็นแทบตาย แต่ดูสิ ฉันกลับแลกมันไปด้วยเหล้า”

น้ำใสๆเอ่อขึ้นปริ่มบนขอบตาแดงก่ำ ก่อนจะไหลลงอย่างช้าๆ พ่อร้องไห้....

“ ฉันเอาความภูมิใจในเครื่องแบบ อุดมการณ์ ที่มีมาตลอดห้าสิบปี...ไปแลกกับเศษเงินสกปรก..

ทั้งหน้ามืดตามัว เกือบจะเสียแกให้ไอ้พวกชั่วนั่นไป”

พ่อพูดต่อกันไม่หยุด เสียงสั่นอย่างเก็บงำไว้ไม่อยู่ น้ำตาอาบแก้มกร้าน มือเอื้อมขยี้ผมของวิชาญเบาๆ สายเลือดและความรักมันตัดกันไม่ขาดจริงๆ พ่อคนเดิมกลับมาแล้ว ผุดยิ้มขึ้นบนใบหน้าของเขา มันเป็นรอยยิ้มแห่งความปิติอย่างถึงที่สุด

“ ถ้าอย่างนั้น....พรุ่งนี้พ่อก็เริ่มต้นใหม่ตอนนี้เสียเลยสิครับ”

เขาพูดพลางทอดสายตาออกไปไกลแสนไกลด้วยความสุขที่เปี่ยมล้นเต็มหัวใจ

ใกล้เวลาแล้ว... แสงทองยามอรุณเข้าจับขอบฟ้าอันกว้างใหญ่ รุ่งขึ้นเบิกฟ้าทองผ่องอำไพ...ดวงไฟแห่งศรัทธาสาดแสงเจิดจรัส

อุดมการณ์ จรรยาบรรณ ความยุติธรรม ยังคงมีตัวตนอยู่จริง...




Create Date : 11 ตุลาคม 2554
Last Update : 11 ตุลาคม 2554 18:39:22 น.
Counter : 796 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พลเมืองตัวน้อย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีค่ะ...
ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ...( เพิ่งสมัครใหม่มาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ) เล่นก็ยังไม่เก่ง...จะพิมพ์จะเขียนอะไรลงก็ยังไม่ค่อยจะแข็งแรง...เป็นเด็กใหม่เต็มตัวเลยก็ว่าได้ค่ะ..

ชวนคุยได้ทุกเรื่องค่ะ...( ไม่ต้องกลัวเราฉีดยาแล้ว..๕๕+)

เด็กน้อยคนนี้ขอเข้าไปอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกท่านนะคะ... ( เราต้องอ้อนไว้ก่อน ๕๕+ )



MusicPlaylist
Music Playlist at MixPod.com