เมษายน 2554

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
อำนาจในดวงตา

           ดวงตาหวาดวิตกภายในเบ้าคล้ำนั้น
จ้องมองผมอย่างอย่างแข็งเกร็ง


ความหมายของมันอ่านได้โดยไม่ต้องสื่อสาร
บรรยากาศภายในห้องสี่เหลี่ยมเงียบสงัด มีเพียงความเคลื่อนไหวบางอย่างเท่านั้น กลิ่นอายความตึงเครียดร้อนผ่าวฉาบทุกร่างให้ระอุและมันยิ่งทวีมากขึ้นไปอีก
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวเดินอย่างเชื่องช้าและชะงักเป็นระยะด้วยโซ่ตรวนพันเกี่ยวกาย
ปรากฎเจ้าหน้าที่ขนานข้างแน่นหนา พี่ศักดิ์ยังคงส่งสัญญาณความกังวลนั้นมาที่ผม
คล้ายกับเป็นนัย บางทีพี่ศักดิ์คงจะวิตกเรื่อง “ งานชิ้นแรก” ของผมก็ได้กระมัง
ความจริงแล้วผมได้รับมอบหมายหน้าที่นี้มานานเกือบสองเดือนได้แล้ว
แต่ยังไม่เคยลงปฏิบัติงานจริงเลยสักครั้งเดียว
เหมือนเป็นเพียงตำแหน่งสำรองเท่านั้น
( หรือจะเรียกว่าเป็นพวกไก่รองบ่อนก็ได้
แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้พอใจที่มันเป็นอย่างนั้น
) ชายร่างกำยำภายใต้ชุดสีลูกวัวหย่อนกายลงบนเก้าอี้ด้วยอาการสงบนิ่ง
ซึ่งต่างกับรายอื่นๆ ส่วนมากถ้าไม่ร้องห่มร้องไห้ เป็นลมล้มพับไป ขาสั่นอ่อนระทวย
ก็มักจะฉายแววความหวาดกลัวออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


แต่ไม่ใช่สำหรับชายผู้นี้.....


สายตาคมกล้าบนดวงหน้าคมเข้มนั้นวาดมากระทบร่างผม
มันไม่ฉายแววร้ายกาจออกมาเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกว่ามันสามารถมองทะลุจิตใจของผมได้อย่างไรอย่างนั้น
ดวงตาอันแสดงถึงอำนาจ ความมุ่งมั่น และพลังอะไรบางอย่างซึ่งไม่มีอยู่ในจิตใจหยาบช้าของอาชญากรแน่นอน
เขาเป็นคนอันตรายจริงๆอย่างนั้นหรือ
รอยยิ้มปริศนาผุดขึ้นบนใบหน้าของเขาโดยที่ยังไม่วางสายตาจากเพชฌฆาตมือที่สอง
ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ผมเองนั่นล่ะ....


ผู้บัญชาการอ่านประกาศแทรกความเงียบงันขึ้นมา
ผมทำใจเตรียมเอาไว้แล้วสำหรับเรื่องนี้ คนวงในมักจะแพร่งพรายข่าวก่อนเสมอ
มันเป็นโชคร้ายของผมหรือเปล่าไม่แน่ใจนัก เมื่อพี่เกียรติ
-เพชฌฆาตมือที่หนึ่งเกิดมีเหตุขัดข้องในเวลานี้
ถึงแม้ว่าผมจะเคยทำหน้าที่พี่เลี้ยงนักโทษมาก่อน แต่การจะลั่นไกสังหารมนุษย์สักคนหนึ่ง
นั้นเป็นเรื่องยากพอสมควรสำหรับคนที่ไม่ได้ทำจนชินมือ
ครั้งที่ผมบอกเรื่องนี้กับครอบครัว บาปกรรมก็เป็นสิ่งที่แม่มักจะฝังหัวเอาไว้เสมอ สำหรับผม
กลับคิดว่าผลกรรมนั้นน่าจะขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้กระทำเสียมากกว่า ตามที่หลวงลุงเคยกล่าวไว้
กลิ่นมังสาไหม้ไฟและคาวเลือดยามกระสุนฉีกกล้ามเนื้อไม่เคยสร้างความหฤหรรษ์แก่ผมเลย
ทำไปเพื่อตามหน้าที่เท่านั้น หน้าที่รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย
แต่คนบางกลุ่มก็ยังคงมองผมเป็นเหมือนคนไร้หัวใจและมนุษยธรรม
หาได้รู้ว่าเป็นการกระทำอย่างการุณยฆาต ซึ่งเป็นวิธีที่นุ่มนวลที่สุดแล้ว


บางคนมักเปรียบเปรยว่าเข้าทำนอง “
เชือดไก่ให้ลิงดู”


แต่ทำไมไม่รู้.....คนถึงยังกระทำการละเมิดกันโดยไม่เกรงกลัว.......


แล้วทำไม..?


นักโทษชายยังคงไม่ถอนสายตาออกไปจากผม....


เสียงศัพท์ทางการยืดเยื้อหย่อนยาวจบลงเสียที
มันเป็นสัญญาฝากขังที่แดนพิเศษเท่านั้น แต่ส่วนมากคนที่มาที่นี่ก็มักจะระลึกถึงชะตากรรมล่วงหน้าแล้วทั้งนั้น
อนาคตอันมืดมนและจุดจบอุบาทว์เบื้องหน้า
แทบไม่มีใครที่คาดหวังว่าจะได้ก้าวออกไปจากป้อมปราการแข็งแกร่งแห่งนี้
โดยไม่มีคนหามออกไป....


แดนพิเศษอย่างนั้นเหรอ....


เจ้าหน้าที่คงจะวิ่งวุ่นกันเป็นการใหญ่เตรียมการรองรับอยู่แน่นอน....


ผมนึกสงสัย..ทำไมพวกเขาจะต้องรีรอ
ทำเรื่องฝากขังเอาไว้ก่อน อาจเป็นเพราะมีปัญหาอะไรบางอย่างเป็นปมสะสางไม่เสร็จกระมัง
มือหนักแน่นวางพาดบนบ่าของผมเบาๆ แต่กลับทำให้สะดุ้งขึ้นมาสุดตัวได้ อาการของผมหนักเสียยิ่งกว่านักโทษคนนั้นเสียอีก


“ สุรีย์.....”


พี่ศักดิ์เรียกชื่อผมแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
ทั้งที่ภายในห้องนั้นไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว ทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปที่แดนพิเศษกันหมดแล้ว
ผมไม่ได้เอ่ยถามอะไรก่อน รอคำตอบเหล่านั้นพรูออกมาเอง


“ ผู้บัญชาการอยากพบแก..”


ความสงสัยระคนประหลาดใจเกิดขึ้นเล็กน้อย
มันต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ


มือผลักประตูห้องทำงานส่วนตัวของท่านผู้บัญชาการ
ลมเย็นภายในพัดกระทบกายต่างกับอากาศร้อนแล้งนอกอาณาเขตอย่างสิ้นเชิง
ปลายนิ้วเริ่มชาขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ริ้วรอยความเครียดระบายบนใบหน้ากร้านพับย่นของท่านผู้บัญชาการ
มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น
?
แล้วผมเกี่ยวข้องอะไรโดยตรงอย่างนั้นหรือ
?


“ ผมมีงานอย่างหนึ่งอยากให้คุณช่วย.....”


ท่านถอนหายใจยาวนานราวกับต้องการปลดเปลื้องความทุกข์ในใจ
ผมเดาใจท่านไม่ออกเลยจริงๆ


“ นักโทษคนที่นำมาฝากขังที่แดนพิเศษวันนี้..คุณก็ได้เข้าไปฟังคำสั่งใช่ไหม”


“ ครับ...”


ผมมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในใจ
แต่เลือกที่จะไม่เอ่ยมันออกไปก่อน ผมค่อนข้างแน่ใจว่าท่านจะตอบผมเอง


“
คดียังไม่เรียบร้อยเท่าที่ควร...ยังมีข้อมูลบางอย่างที่ทางการยังไม่ได้จากผู้ต้องหา....”


“
ท่านพูดเหมือนกับต้องการให้ผมสืบเสาะข้อมูล”


“
ไม่เชิงสืบหรอก....แค่ผมอยากให้คุณคุยกับเขา...”


ท่านพูดคล้ายแก้ต่าง
ทั้งที่ความหมายนั้นก็ใกล้เคียงกัน จุดมุ่งหมายคือหาข้อมูล...แล้วจะพูดให้ยากไปเพื่ออะไร


“ ขอโทษนะครับท่าน...แต่ทำไมต้องเป็นผม?”


“
ผมเห็นท่าทางเขาสนใจในตัวคุณเป็นพิเศษ”


ภาพแววตาคมกล้าเปี่ยมอำนาจคู่นั้น
ฉายขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง


“
เขามองคุณตลอดการประกาศคำสั่ง....”


“ แค่นั้น.. เหรอครับท่าน”


“
แต่มันก็มีน้ำหนักเพียงพอที่คุณจะตัดสินใจรับงานนี้”


คำพูดของท่านคล้ายกับบังคับน้อยๆ จะเป็นไปได้ไหมที่ผมจะรู้สึก “ เกรง” กับการรับงานนี้
คล้ายกับมีอำนาจหรือมนต์อะไรบางอย่างจางออกมารอบตัวนักโทษชายประหลาดผู้นั้น
มันไร้ซึ่งคำใดๆที่สามารถอธิบายได้อย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งผมไม่เคยเห็นจากใครมาก่อน


ท่านสอดเอกสารจำนวนหนึ่งใส่มือของผม
ระเบียนของนักโทษผู้นั้น....ประวัติอย่างย่อ การตั้งข้อหา
และข้อมูลปลีกย่อยของเขาอยู่ในมือของผม อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์ที่ผมจะรู้เรื่องเขาเอาไว้บ้าง
เพื่อง่ายต่อการสอบถาม แต่ผมไม่ชอบขุดอดีตของใครขึ้นมาขู่เข็ญ
บังคับให้ใครพูดเหมือนมารสังคมบางจำพวกที่ซ้อมคนแล้วยัดเยียดข้อหาให้ทั้งที่บริสุทธิ์
มันกลายๆกันอย่างไรชอบกล


จิตใจของผมว่างเปล่าเมื่อก้าวพ้นขอบไม้สีอ่อนและอากาศยะเยือกภายใน


เสียงฝีเท้าย่ำผ่านประตูเหล็กหนาหนัก
แดนพิเศษ....


หรืออดีตแดนโรคจิตในสมัยก่อน
อาคารสูงใหญ่ ขาวสะอาด เคยคุมขังนักโทษวิกลจริต แต่ไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว คนจิตเภทก่อเหตุก็เพราะโรคภัยครอบงำ
ไม่ได้เกิดจากความโหดเหี้ยมจากจิตใจ ควรจะได้รับโทษตามกฎหมายรุนแรงอย่างนั้นหรือ สิ่งที่พวกเขาควรจะได้รับคือการบำบัดรักษาต่างหาก
จริงไหม
?


แดนพิเศษอันว่างเปล่า....


นักโทษชายผู้นี้ถูกกีดกันจากผู้อื่นในแดนเก้า
เพราะเหตุผลบางประการ.. ผมตอบได้ง่ายๆจากข้อมูลของผู้บัญชาการ
นักโทษจำนวนมากในเรือนจำมีแนวคิดเดียวกับชายผู้นี้ เขาคงกลัวการรวมตัวต่อต้านครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น
ทั้งในและนอกเรือนจำ ยิ้มหยันผุดขึ้นบนริมฝีปากของตัวเอง
เรื่องชุมนุมประท้วงมันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว แค่หลบสัญลักษณ์เอาไว้ในมุมมืด
มันไม่ใช่การแก้ปัญหาเลย จะกลับกันเสียอีก ใต้ผืนน้ำนิ่งสนิทนั้น
ย่อมตีมวนอย่างรุนแรงเสมอและไม่นานมันจะโหมซัดวาดลีลาหายนะบนพื้นดิน
ภาพท้องน้ำนิ่งสนิทนั่นคือภาพลวงตา


ประตูห้องขังเปิดอาดเชื่องช้า
ซี่ลูกกรงเกี่ยวชายผ้าสีกากีเล็กน้อย ผมประหม่าอย่างไม่น่าเชื่อ ให้ตายเถอะ......แม่งทำไมกูต้องเป็นคนทำเรื่องนี้ด้วยวะ...
!... นึกอยากจะสบถในใจให้มากกว่านี้
แต่ไม่มีเวลาเหลืออยู่แล้ว แววตาคมกล้ามองทะลุจิตใจผมอยู่ ดวงหน้าอิดโรยเลื่อนกลับมาอาบร่างอีกครั้ง
ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไรดี
เพื่อไม่ใช่เขาเกลียดขี้หน้าเสียก่อนที่จะทันได้เรื่องได้ราว


“
ผู้บัญชาการให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อนคุณคืนนี้...นะครับ.”


ผมเอ่ยลอยๆโดยไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร เพียงเพื่อแจ้งให้ทราบ
เป็นครั้งแรกที่ผมได้สังเกตลักษณะของเขาอย่างใกล้ชิด
ริ้วรอยที่มากพอกับประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาบ่งบอกความอาวุโสและแก่ความรู้ รูปร่างสันทัดแต่แลดูแข็งแรงด้วยมัดกล้าม
เขาร่างใหญ่กว่าผมเล็กน้อย ดวงตาสีนิลยังจับจ้องผมราวกับต้องการสื่ออะไรบางอย่าง
เขายังไม่ได้พูดอะไรกับผมอีกตามเคย เวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็ว
สีน้ำเงินอ่อนแห่งราตรีเจือผืนฟ้าแดงเพลิงทีละน้อยๆ อาหารเย็นถูกยกออกไปโดยไม่ลดปริมาณลง
เขาไม่แตะกับข้าวอะไรเลย เหมือนกับผม


“ ทำไมคุณไม่กินข้าวล่ะครับ”


รู้ทั้งรู้ว่าเป็นคำถามโง่ๆ คนที่รู้ชะตากรรมของตัวเองในวันรุ่งขึ้น
จะมีอารมณ์ระรื่นอยู่ได้ยังไง แต่เป็นเพราะผมไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ
เห็นที......ผมคงจะกลับไปมือเปล่าเสียกระมัง


“ แล้วคุณล่ะ....ทำไมไม่กิน”


ประโยคแรกจากนักโทษชาย เสียงของเขาพร่าเล็กน้อยแต่ยังคงหนักแน่น


“
ผม...กินไม่ลง”


ผมว่าไปตรงๆ แล้วจะให้ทำอย่างไร
ผมไม่ใช่พนักงานสอบสวนบางจำพวกที่สามารถจะตั้งคำถามรีดข้อมูลได้ตลอดเวลาอย่างนั้น


“
ทำไม...... ทำท่าทางอย่างกับหนักใจ ทำงานนี้มายังจะตื่นเต้นอีกหรือ”


คราวนี้ผมกลายเป็นฝ่ายเงียบ


“ เพชฌฆาต... ก็เพียงก้มลงเหนี่ยวไกปืน ผมก็คงดับดิ้นง่ายๆชีวิตคนน่ะเปราะบางอย่างไม่น่าเชื่อ”


ยิ้มหยันเปื้อนใบหน้าของผมอีกครั้ง
การพูดจาของชายผู้นี้ไม่ใช่คนไร้การศึกษาอย่างแน่นอน แต่ก็อย่างที่เขาว่าไว้
คนยิ่งฉลาดมาก ยิ่งอันตรายมาก


“ คุณพูดผิดแล้วล่ะครับ....
ชั่วชีวิตนี้ผมยังไม่เคยฆ่าใครเลยแม้แต่คนเดียว”


“
มือใหม่เหรอ
?”


“ ก็คงจะอย่างนั้น..”


เขาหัวเราะขื่นๆขึ้นมา รอยยิ้มของผมยังคงไม่หุบลง ในความเป็นจริงคือผมจะต้องฆ่าเขาเป็นงานแรก
เป็นเรื่องระยำสิ้นดี


“
คุณคงไม่ได้จะมาสอบสวนอะไรใช่ไหม “


หรือผมควรจะโกหก....


“ ใช่.....แต่ผมขี้เกียจแล้วล่ะครับ”


เสียงหัวเราะนั้นยังคงไม่หยุดลง
เขามักจะมีรอยยิ้มเสมอ ทั้งที่ผมก็รู้ว่ามันขมขื่นในใจอย่างถึงที่สุด


“ ครั้งนี้ผมถูกโยนเข้าคุกทั้งที่ยังไม่ได้ฆ่าใคร
”


“ แค่เตรียมการ แต่ไม่สำเร็จอย่างนั้นสิครับ”


ผมเริ่มชักเขาเข้าประเด็น
แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงที่ ราวกับเป็นเรื่องรื่นรมย์


“ คุณดูไม่ค่อยเสียใจ ?”


ดวงตาสีนิลทอดออกไปนอกหน้าต่างเล็ก
ลมหนาวพัดแผ่วเบาราวกับกำลังโอบกอดด้วยความรัก


“ จะเสียใจไปทำไม มวลชนข้างนอกยังคงอยู่”


มวลชน ใช่-มวลชนข้างนอกกำลังรวมตัวกันขึ้นเพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
ตามข้อมูลนายพันวัยกลางคนผู้นี้ ถูกตั้งข้อหา “ลอบสังหาร” นักการเมือง


“
คุณก็มียศอย่าง ใหญ่โต ทำไมถึงทิ้งมันเพื่อการนี้ล่ะ”


ในใจนึกหวาดหวั่น
ไม่รู้ว่าเขาอาจจะรู้สึกว่าถูกละลาบละล้วงมากเกินไป
ผมพยายามรักษาน้ำเสียงเอาไว้ให้สม่ำเสมอที่สุดเท่าที่จะทำได้


“
คุณจะรู้เหตุผลของมัน ถ้า....คุณรู้สึกว่าไม่สามารถทำงานเพื่อเผด็จการต่อไปได้”


คำประชดประชันนั้นแผดเผาจิตใจผมจนไหม้เกรียม
เส้นประสาทถูกตรึงเอาไว้กับที่ ใบหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้


“
ข้าราชการชั้นผู้น้อยมันไม่มีทางเลือกมากหรอกคุณ
บางคนต้องยอมรับสภาพการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล แต่บางคนที่ทำงานกินอุดมการณ์ก็พากันยื่นซองขาวกันเป็นขบวน”


อดีตนายทหารเลื่อนดวงหน้ากลับมาภายในห้องแคบอีกครั้ง


“ ว่าแต่..... คุณเป็นพวกไหนล่ะ”


รอยยิ้มปริศนาผุดขึ้นบนใบหน้าแห้งกร้านของเขา.....


ประตูลูกกรงเปิดอาดอีกครั้ง....ผมเหลียวหลังกลับเข้าไปภายในห้อง


“
ผมยังไม่ได้ถามคุณเลย ว่าทำไมคุณถึงมองผมตอนนั้น”


“
ก็เพราะมีอำนาจอะไรบางอย่างในตัวคุณอย่างไรล่ะ โดยเฉพาะ ในดวงตา ”


อำนาจบางอย่าง?


เหมือนอย่างที่มวลชนข้างนอกถนนนั่นมี หรืออย่างที่เขามี ใช่หรือ........


ผมก้าวออกจากป้อมปราการนั่นอย่างเงียบกริบ
ความมืดมนครอบงำรอบกาย ปลายมือเย็นชาหนาวเหน็บ


ซองสีขาวสงบนิ่งบนโต๊ะไม้ขัดเงาปลาบ


ไม่นาน.....แสงทองผ่องอำไพก็จะจับเส้นขอบฟ้าเป็นริ้วกระจายบนผืนฟ้ากว้าง...


........................................................................................................................................................................................................


              เรื่องนี้แสดงอุดมการณ์ประชาธิปไตยเล็กๆ...


              ไม่ได้ตั้งใจจะดราม่าการเมืองแต่อย่างใดนะท่าน...( อยากลืมสิ...ว่าข้าพเจ้าอายุเท่าไรเอง..)


              อ่านแล้วได้ feel อะไรกันบ้าง..อย่าลืมเล่าสู่กันฟังนะคะ....






Free TextEditor



Create Date : 19 เมษายน 2554
Last Update : 19 เมษายน 2554 20:00:30 น.
Counter : 355 Pageviews.

1 comments
  
โห... สุดยอดน่ะ ละเมียดละไมมากๆ น่ะ
โดย: BarBoy วันที่: 19 เมษายน 2554 เวลา:23:09:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พลเมืองตัวน้อย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีค่ะ...
ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ...( เพิ่งสมัครใหม่มาเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ) เล่นก็ยังไม่เก่ง...จะพิมพ์จะเขียนอะไรลงก็ยังไม่ค่อยจะแข็งแรง...เป็นเด็กใหม่เต็มตัวเลยก็ว่าได้ค่ะ..

ชวนคุยได้ทุกเรื่องค่ะ...( ไม่ต้องกลัวเราฉีดยาแล้ว..๕๕+)

เด็กน้อยคนนี้ขอเข้าไปอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกท่านนะคะ... ( เราต้องอ้อนไว้ก่อน ๕๕+ )



MusicPlaylist
Music Playlist at MixPod.com