เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ยอดทรงมณฑปแปลง มีมุขยื่นทั้งสี่ด้าน สร้างขึ้นบนฐานชาลาใหญ่ ความสูงถึงยอดฉัตร ๓๕.๕๙ เมตร มุขหน้าด้านทิศตะวันตกเป็นทางเสด็จพระราชดำเนิน มุขด้านทิศเหนือมีสะพานเกรินสำหรับอัญเชิญพระโกศขึ้นประดิษฐานเหนือพระจิตกาธานภายในพระเมรุ มุขหลังด้านทิศตะวันออกเป็นพื้นที่วางเตาเผาพระศพ บริเวณฐานชาลาทุกด้าน มีบันไดทางขึ้นลง รายล้อมด้วยรั้วราชวัติ ฉัตร โคม และเทวดาอัญเชิญฉัตรประกอบพระอิสริยยศพลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่น สถาปนิกผู้ออกแบบเรียกเครื่องยอดลักษณะนี้ว่า เครื่องยอดทรงมณฑปแปลง เนื่องจากเป็นการประยุกต์ให้แตกต่างจากเครื่องยอดทรงมณฑปปกติ ซึ่งจะต้องมีชั้นเหมอยู่ใต้ชั้นบัวกลุ่ม แต่ครั้งนี้ พลอากาศตรีอาวุธ ได้ออกแบบทรงมณฑปนี้ใหม่โดยที่ไม่มีชั้นเหม จึงเรียกว่าเป็นทรงมณฑปแปลงเครื่องยอดพระเมรุนี้ ประกอบด้วยชั้นเชิงกลอน ๕ ชั้น กึ่งกลางของเชิงกลอนแต่ละชั้นมีซุ้มบันแถลงซ้อนสองชั้น ที่มุมหลังคามีนาคปัก ส่วนบนเป็นองค์ระฆังรับบัลลังก์ เหนือบัลลังก์เป็นชุดบัวกลุ่ม ๕ ชั้น ปลียอดแบ่งเป็นสองส่วนคั่นด้วยลูกแก้ว ที่ยอดบนสุดประดิษฐานสัปตปฎลเศวตฉัตร (ฉัตร ๗ ชั้น)ภายในพระเมรุตั้งพระจิตกาธาน ประดิษฐานพระโกศไม้จันทน์การตกแต่งพระเมรุ ใช้งานศิลปกรรมแบบซ้อนไม้ทดแทนการแกะสลักไม้จริง เป็นลักษณะพิเศษที่ใช้ในงานพระเมรุ อันถือเป็นงานลำลองสำหรับอาคารใช้งานชั่วคราว งานพระเมรุครั้งนี้ มีแนวคิดที่ลดการใช้ไม้ซึ่งเป็นวัสดุหายาก จึงเสริมบางส่วนที่เป็นงานซ้อนไม้ด้วยวิธีการหล่อด้วยไฟเบอร์กลาส การประดับตกแต่งส่วนอื่นๆ ใช้การปิดผ้าทองย่นสาบกระดาษสี แทนการปิดทองประดับกระจก
เทวดาประดับรอบพระเมรุครั้งนี้มีจำนวน ๓๐ องค์ แบ่งเป็นเทวดานั่งถือโคม ๑๔ องค์ เทวดานั่งถือบังแทรก ๖ องค์ เทวดายืนถือโคม ๒ องค์ เทวดายืนถือฉัตรผ้า ๘ องค์
เทพกินนร ลักษณะครึ่งเทพบุตรครึ่งนก จะประดับบันไดทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นทางเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ โดยจะปั้นเทพกินนรในท่าพนมมือ แสดงการถวายความเคารพแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อัปสรสีหะ ลักษณะครึ่งนางฟ้าครึ่งสิงห์ ประดับอยู่ด้านทิศเหนือซึ่งเป็นด้านอัญเชิญพระศพขึ้นประดิษฐานบนพระเมรุ โดยจะปั้นอัปสรสีหะในท่าพนมมือ เพื่อถวายการเคารพเปรียบเสมือนการคอยรับพระศพขึ้นสู่พระเมรุ นกทัณฑิมา ลักษณะถือกระบอง จะประดับไว้ด้านทิศใต้ ซึ่งเป็นที่สำหรับข้าราชการและประชาชนจะขึ้นถวายสักการะพระศพ หงส์ จะจัดสร้างลักษณะเสาหงส์ทางทิศตะวันออก สำหรับเป็นเสารับพระภูษาโยงในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพในงานออกพระเมรุ เทวดานั่งคุกเข่า รูปเทวดานั่งคุกเข่า พระหัตถ์ถือบังแทรกตรงกลางเป็นโคมไฟ ประดับตามพนัก ฐานชาลา ฐานพระเมรุ อยู่รอบพระเมรุทั้ง ๔ ทิศ เทวดาประทับยืน รูปเทวดาประทับยืนถือฉัตรเครื่องสูงรายรอบ ประดับตามพนัก ฐานชาลา ฐานพระเมรุ อยู่รอบพระเมรุทั้ง ๔ ทิศ
ลิฟท์ยกระบบไฮดรอลิก ลิฟท์ที่ติดตั้งพิเศษอยู่ทางด้านทิศตะวันตก ซึ่งติดตั้งอยู่ทั้ง 2 ฐาน คือ ฐานชาลา และ ฐานพระเมรุ ซึ่งใช้เป็นที่ขึ้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถและ พระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อเข้าสู่พระเมรุภายในพระจิตกาธาน
พระที่นั่งทรงธรรมตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของพระเมรุ สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับขณะบำเพ็ญพระราชกุศล มีบริเวณสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ทูตานุทูต นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เฝ้าฯ รับเสด็จ พระที่นั่งองค์นี้มีลักษณะเป็นอาคารโถง หลังคาจัตุรมุข ยกพื้นสูง หลังคาจั่วมีกันสาดปีกนก มุขหน้าและหลังมีมุขประเจิด พื้นที่ด้านหน้าอาคารต่อเป็นหลังคาปะรำ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้สอยการที่สถาปนิกออกแบบให้พระนั่งทรงธรรมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่พระเมรุ เนื่องจากพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพจะเริ่มตั้งแต่ช่วงบ่ายไปจนถึงค่ำ ร่มเงาของพระที่นั่งทรงธรรมจะทอดสู่ลานและบันไดทางเสด็จพระราชดำเนินขึ้นพระเมรุ อีกทั้งผู้ที่อยู่บนพระที่นั่งทรงธรรมจะแลเห็นแสงเงาและสีสันอันงดงามของพระเมรุที่สะท้อนแสงอาทิตย์ในช่วงบ่ายถึงเย็น
ทับเกษตร หมายถึงอาคารที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงขอบเขตมณฑลพิธี มักสร้างเป็นระเบียงล้อมรอบพระเมรุ ใช้เป็นที่นั่งของเจ้าหน้าที่ผู้มาร่วมงาน ส่วนกลางทับเกษตรเป็นอาคารยอดมณฑป ชั้นเชิงกลอนประดับด้วยซุ้มบันแถลงและนาคปักที่มุมทั้งสี่ บนหลังคาอาคารส่วนที่เป็นปีกทั้งสองด้านประดับฉัตรผ้าทองแผ่ลวด
กระถางต้นไม้ที่ประดับตกแต่งโดยรอบบริเวณพระเมรุนั้น มีแนวความคิดมาจากการตกแต่งพระเมรุเมื่อครั้งงานพระเมรุมาศ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้ออกแบบจัดทำลวดลายกระถางในครั้งนี้อย่างโบราณ และจัดทำเป็น ๓ แบบ คือ กระถางกลมขนาดใหญ่ ขนาดเล็กทรงรี และขนาดเล็กทรง ๘ เหลี่ยม บนกระถางได้เชิญอักษรพระนาม พ ร ประกอบช่อชัยพฤกษ์และใบปาล์ม ประดับอยู่กลางกระถางด้วย
ขอขอบคุณ : //www.princessbejaratana.com/th/index.php