บันทึกความทรงจำดี ๆ ในวันยุ่ง ๆ ภาคสองต้องขออภัยอีกครั้ง ที่ลงเรื่องนี้ในกลุ่มย่อยสูตรทำอาหาร เพราะไม่รู้จะจัดไปอยู่ตรงไหนดีที่ที่เราคุ้นเคย น่าจะดีที่สุดตั้งแต่วันที่หลานสาววางแผนงานแต่งเรียบร้อย เธอมีรีเควสขอให้เด็กที่บ้านผู้ซึ่งชอบเล่นเปียโน ให้เลือกเพลงหนึ่งเพลง สำหรับไว้ประกอบ VTR และเล่นสดในงานจัดว่าไว้ใจ และให้เกียรติกันอย่างสูงเลยเชียวแม้เราจะบอกว่า ฝีมือที่ได้ก็จะแบบเด็ก ๆ อย่าคาดหวังอะไรมากแต่คุณหลานก็ยืนยัน ว่า อยากได้มีเวลาซ้อมกันพอประมาณ เป็นการเล่นโซโลเพลงของ Yiruma ซึ่งเป็นศิลปินคนโปรดของเด็กคนนี้อยู่พอดีกับพี่ชายของเรา ที่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านนานมาก ครั้งล่าสุดที่มาคือเมื่อ 15 ปีที่แล้วตอนเราแต่งงานครั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่กลับมาเมืองไทย หลังจากเริ่มไปอยู่นานถึง 21 ปี คุณพี่ชายไปเรียนดนตรีค่ะ เครื่องดนตรีคือไวโอลิน ปัจจุบัน เธอสอนวิชาดนตรีอยู่ที่นิวยอร์คค่ะพี่ชายคนนี้ เป็นคนที่ให้แรงบันดาลใจหลาย ๆ เรื่องกับชีวิตของเรา โดยที่เจ้าตัวเองยังจำบางเรื่องไม่ได้ด้วยซ้ำไป พอมามีโอกาสได้มานั่งคุย ทบทวนความหลังกัน ส่วนมากก็จะเป็นวีรกรรมของคุณพี่เองนั่นแหละ เพราะถ้าไม่โดดเด้งจริง น้องที่ห่างไปสามสี่ปีแบบเราคงจำไม่ได้ฝังใจขนาดนี้แน่ ๆพี่มาพักที่บ้านเราก่อนค่ะ ก่อนที่จะโดนให้เดินสายไปพักบ้านนั้นบ้านนี้ เหมือนเซเลปก็ไม่ปานจากการพูดคุยกันตอนหนึ่ง เลยเกิดไอเดียขึ้นมาว่่า จากเปียโนโซโล น่าจะถือโอกาสเป็น Duet ระหว่างเปียนโน กับไวโอลินซะเลย ทั้งคู่โดนกล่อมว่า ถึงจะมีเวลาซ้อมด้วยกันน้อย แถมยังต้องมีการ arrange ใหม่บางส่วน แต่ยังไง ก็จะมีเพื่อนหน้าแตกด้วยกันบนเวที จากหนึ่งคน เป็นสองคนเลยได้มีโอกาสซ้อมกันที่บ้านเพื่อเตรียมตัว เด็กที่บ้านได้เรียนรู้เพิ่มเติมมากมายในแง่มุมของการเล่นดนตรีภาคงานฉลองแต่งงาน ต่อจากพิธีเช้าที่เขียนเล่าให้ฟังจากบล็อกที่แล้วเรามีโอกาสได้ไปที่สถานที่จัดงานก่อน (โดนขอร้องแกมบังคับ) ให้ไปถึงงานไม่เกินบ่ายสี่โมง เพราะจะต้องให้นักดนตรีทั้งสองดูเวที ลองเปียโนที่โรงแรมจัดไว้ให้ และจับเวลา ซ้อมคิวกับ organizer และ stage manager ถึงจะให้ไปเร็วกว่านั้นคงไม่มีทาง เพราะนึกภาพตัวเองแต่งชุดราตรี ทรงเครื่องแต่งหน้าทำผม ตั้งแต่บ่ายสอง เพื่อที่จะไปถึงโรงแรมบ่ายสาม แล้วอยู่ในงานจนสามสี่ทุ่มก็รับไม่ไหวเหมือนกันทั้งนักดนตรีทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นเด็กอายุ 14 ปี อีกคนเป็นลุง แต่ไม่ได้อยู่เมืองไทยนานมาก จนภาษาไทยก็ไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว เพราะไม่ได้ใช้ภาษาไทยเลย ทั้งคู่ไม่มีโทรศัพท์มือถือด้วย เราเลยโดนอุปโลกน์ให้กลายเป็นผู้จัดการของนักดนตรีไปโดยปริยาย อย่างแรกที่ไปถึงคือให้นักเปียโนหนุ่มน้อยทำความคุ้นเคยกับเปียโนที่จะใช้เล่นก่อน(ได้ยินเสียงบ่นว่าคีย์แข็งสุด ๆ)ลุง-หลานเริ่มซ้อมกันบนเวที ต้องขอร้องให้บรรดาคนทำระบบเสียงที่กำลังทำซาว์ดเช็ค โหวกเหวกโวยวายกันอยู่แถวนั้น ให้เงียบเสียงสักสิบ-สิบห้านาที ได้ผลบ้าง ไม่ได้บ้างเพราะตอนเล่นจริงจะใช้อคูสติค ไม่ใช้เครื่องขยายเสียง จึงต้องการลองว่าเสียงที่เล่นแบบนี้จะได้ยินทั่วทั้งแกรนด์บอลรูมของโรงแรมไหมเสียดายที่เสียงรบกวนอื่น ๆ มาเป็นระยะ ๆ แบบควบคุมไม่ได้ ทั้งที่ได้บอกกันแล้วว่าขอเวลา ขนาดผู้จัดการนักดนตรีหน้าเหี้ยมคุมมาด้วย มิไยบรรดาซาวนด์เอ็นจิเนียร์ก็ไม่สนใจไปดูสถานที่ที่เตรียมจัดเอาไว้ดีกว่า ยังไม่ถึงเวลางานจริง เก็บรูปสะดวกบรรดาไลน์อาหารเริ่มมาจัดวางแล้วในงานเราไม่ได้กินพวกนี้เลย มัวแต่ทำอย่างอื่นอาหารเป็นแบบค็อกเทลที่มี food stall อาหารเป็นเรื่องเป็นราวอยู่เยอะเหมือนกัน นอกจากพวกจิ้ม ๆ กินเล่นพวกนี้ วิธีแบบนี้ คงจะฮิตในเมืองไทยมากกว่าที่อื่น เพราะแขกที่มาจากหลากหลายประเทศดูจะชอบใจ ที่มีซุ้มอาหารให้เลือก เช่น พวกบะหมี่เป็ดย่าง เนื้อย่าง หรือ ซุปเรามัวแต่วนเวียน อยู่แถว ๆ เวที จับเวลาเล่น กะเวลา กลายเป็นหนึ่งในทีมออร์แกไนเซอร์ที่เขาไม่ได้เชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะเพลงที่เล่นควรจะเริ่มต้นจากตอนที่การฉาย VTR จบ และเริ่มมีขบวนเพื่อนเจ้าสาวเดินนำคู่บ่าวสาวเข้างาน ดังนั้น การจับเวลาให้พอดีจึงสำคัญคนคุมคิวเอง ก็ยังไม่รู้ว่า เราต้องการให้คู่บ่าวสาวมาถึงเวทีช่วงไหนของเพลงที่เหมาะสมที่สุด เพราะไม่คุ้นกับเพลง ในที่สุดก็ตกลงกันเรียบร้อยกลับมาซ้อมกันต่อ มีคนมาแซวทีหลังว่า ผู้จัดการดูลุ้นกว่านักดนตรีอีก ซ้อมจนเป็นที่พอใจแล้ว ขอถ่ายรูปบนเวทีสักหน่อย เดี๋ยวเราจะไม่ได้มาอยู่บนนี้กะใครเขาแล้วนี่นาได้เวลา แขกผู้มีเกียรติเร่ิมทะยอยกันมา แต่วันนั้นเป็นวันกลางสัปดาห์ที่ฝนตกหนัก รถติดอย่างมหาโหด ได้ยินแขกที่มางานหลายคน ทิ้งรถ แล้วโดดขึ้นรถไฟฟ้ามาแทน ช่างน่ารักสุดแสนในฐานะของคนที่รู้จักแขกมากกลุ่มที่สุด เลยต้องทำหน้าที่เป็นด่านหน้าอีกหนึ่งจ๊อบ เพราะรู้ว่าใครเป็นใคร ต้องส่งไปเข้ากลุ่มไหนที่มาถึง VTR จบลง ตามด้วยเพลง Duet จากลุง และหลาน ที่เพิ่งมีเวลามาซ้อมร่วมกันจากโน้ตที่ arrange ใหม่ ไม่ถึงอาทิตย์ แต่ได้ความงดงามทางความรู้สึก ..เพราะเล่นจากใจ จากความตั้งใจให้ทุกตัวโน้ตมีความหมายขบวนเพื่อนเจ้าสาวเริ่มเข้าสู่งานแล้วบรรดาสาวสวยเหล่านี้ รวมกลุ่มลูกพี่ลูกน้อง เพื่อนรักสนิทของเจ้าสาว คนสุดท้ายที่เดินปิดขบวน เป็นพี่สาวคนเดียวของเจ้าสาววันนี้ คนที่จัดผ้าคลุมหน้าให้น้องตอนรับตัวเจ้าสาวตอนเช้าให้เห็นหน้าชัด ๆ นะคะ จากนั้นก็เป็นคู่บ่าวสาวของงาน เดินเข้ามาในงานท่ามกลางเสียงเพลงจากดนตรีบนเวทีพิธีกรในงานขึ้นเวทีแล้วจากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนงานตามแบบแผนทั่ว ๆ ไปค่ะภาพทั้งหมดนี้ไม่ใช่จากช่างกล้องมืออาชีพในงาน เป็นกล้องส่วนตัว ต้องการเก็บบรรยากาศมากกว่านักดนตรีสมัครเล่นหมดหน้าที่แล้ว ผู้จัดการเข้าไปแสดงความยินดีด้วย ถ้ามีโอกาส (และหาวิธีแปลงไฟล์เพลงที่มีสำเร็จ ) จะมาลงเพลงที่เล่นในงานให้ฟังกันค่ะทั้งสองคนคงจะหิว เพราะก่อนหน้านี้ถึงแม้แขกอื่น ๆ จะเริ่มรับประทานอาหารไป แต่คู่นี้ยังต้องอยู่ในช่วงทำสมาธิ ไม่ได้กินอะไรนอกจากน้ำลุงหลานสองคนเลยจูงกันไปหาของกินกัน แล้วกลับมานั่งด้วยกัน คงจะโล่งใจ หมดหน้าที่แล้ว
อาจารย์โกวิทย์ ขันธศิริ กับวงจามจุรี รับหน้าที่ในงานต่อค่ะอาจารย์ท่านนี้ เคยสอนพี่ชายเราในช่วงแรก ๆ ของการเล่นไวโอลิน และไม่ว่าจะงานไหนของครอบครัว อาจารย์จะยินดีมาทำหน้าทีให้เสมอ ไม่เคยขาดคราวนี้มาเป็นชุดใหญ่ เพราะจะมี after party หลังจากจบงานผู้ใหญ่ สำหรับบรรดาเพื่อน ๆ ของเจ้าสาว ที่เดินทางมาประเทศไทยเพื่องานนี้โดยเฉพาะเป็นขบวนใหญ่การจัดดอกไม้บนโต๊ะ ที่เตรียมไว้สำหรับแขกสูงอายุ..เอ๊ย ญาติผู้ใหญ่คุณยาย และคุณยายน้อยดูมีความสุขดีการพูดบนเวทีสำหรับงานแต่งงาน ก็เป็นเรื่องตามธรรมเนียมของงานแต่งงานสมัยนี้ไปแล้วขณะเดียวกัน นอกจากจะเป็นการเปิดโอกาสให้คู่บ่าวสาว ได้มีโอกาสของคุแขกเหรือที่ให้เกียรติมาร่วมงาน บางทีก็ให้โอกาสได้แสดงความในใจ และตัวคนของตัวเองออกมาได้ในกรณีนี้ เจ้าสาวซึ่งปรกติเป็นคนพูดน้อยมาก ได้เรียบเรียงคำพูดในโอกาสนี้ออกมาอย่างลึกซึ้ง กินใจ ไม่มีการอ่าน เป็นสปีชที่ไพเราะ ชัดเจน และขออนุญาตพูดให้บรรดาแขกรับเชิญจากต่างประเทศทั้งของตัวเอง และครอบครัวทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาจีนกวางตุ้ง เป็นเรื่องที่น่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับครอบครัวเรา ซึ่งพวกเราทุกคนภูมิใจในตัวเธอเป็นอย่างยิ่งจากนั้น ก็เป็นพิธีการตัดเค้ก รินแชมเปญสำหรับการเฉลิมฉลองเพื่อก้าวเข้าสู่ชีวิตใหม่ โยนช่อดอกไม้ หาผู้โชคดี (?) คนต่อไปที่จะมีโอกาสได้แต่งงาน เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นธรรมเนียมผสมผสานไปแล้วในงานแต่งงานแบบไทย หรือจีนท่ามกลางบรรยากาศหวาน และมีฟองสวยใสโปรยปราย ฟองสบู่สีสวยเหล่านั้น บอบบาง แตกง่าย แต่ก็ให้ภาพที่ดูเหมือนอยู่ในความฝันชีวิตจริงบางทีสิ่งที่ดูสวย เหมือนอยู่ในความฝัน ส่วนมาก็จะเปราะบาง ต้องรักษาไว้เป็นอย่างดีหรืออย่างน้อย ก็ต้องให้มันอยู่กับเรานานที่สุด ด้วยการประคับประคอง และยอมรับว่า ความสวยฟูฟ่อง ไม่ใช่เรื่องถาวร และมีเรื่องสำคัญมากมายหลายเรื่องที่จะต้องทำ เพื่อให้ชีวิตคู่นั้น ๆ เป็นไปด้วยดีและมีความสุขทั้งสองฝ่ายงานแต่งงาน อย่างที่หลาย ๆ คนคงรุู้ว่าเป็นแค่เพียงการเริ่มต้น ไม่ใช่ตอนจบเหมือนนวนิยายชีวิตคู่ก็ย่อมไม่ได้เหมือนเดินอยู่บนกลีบกุหลาบแบบบนเวทีเช่นนี้เสมอไปแถมบางครั้ง ท่ามกลางกลีบกุหลาบแสนสวยเหล่านั้น ก็ยังอาจมีหนามแหลมคมปะปนอยู่จุดสำคัญที่สุด อยู่ที่คนสองคน ที่จะต้องทำความเข้าใจ และให้เวลาซึ่งกันและกัน ในการพิสูจน์ตัวเองยากกว่าการพิสูจน์ตัวเองก่อนที่จะมาตกลงใช่ชีวิตคู่ร่วมกันเสียอีกสำหรับเรา การที่จะดูว่าเราจะใช้ชีวิตร่วมกันใครได้ ข้อสำคัญที่สุดในการตัดสินใจก็คือ ให้ดูว่า ในยามที่สถานการณ์เลวร้ายที่สุดของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของใคร อีกฝ่ายหนึ่งปฎิบัติตัวอย่างไร หรือมีปฎิกิริยาอย่างไร เพราะในยามที่อะไร ๆ ก็ดี ทุกคนก็สามารถแสดงด้านดีของตัวเองออกมาได้ทั้งนั้นต้องดูว่าในยามที่แย่ที่สุด เขาเป็นอย่างไรต่างหากที่สำคัญสำหรับเราหลานสาวของน้าก็คงจะรู้ว่า ไม่ว่าเธอจะเดินไปทางไหน อย่างไร เธอจะมีครอบครัวและบรรดาน้า ๆ อา ๆ ทั้งหลายคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ ขอให้ทุกคนที่กำลังจะมีชีวิตคู่ หรือมีชีวิตคู่อยู่แล้ว มีความสุขและจัดการกับชีวิตครอบครัวได้อย่างราบรื่นนะคะเพราะถ้าชีวิตครอบครัวไม่ราบรื่นแล้ว ก็ยากที่จะทำให้อย่างอื่นเป็นเรื่องดีและมีความสุขเพียงแต่ต้องยอมรับและเข้าใจตัวเองให้มากที่สุดเท่านั้นเองขอบคุณทุก ๆ ท่านที่แวะมาใช้เวลาด้วยกัน ณ ที่ตรงนี้ค่ะ