|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ชีวิตบนรถเมล์
"รัฐบาลประกาศลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลทั่วประเทศ"
"ขสมก.และรถร่วมพร้อมใจกันขึ้นค่าโดยสาร"
ฮ่วย !!
ถ้าผมเป็นคุณยายอายุ 60-70 ปี คงจะอุทานไปแล้วว่า "อกอีแป้นจะแตก" (อีแป้นเป็นใคร ผู้รู้กรุณาบอกผมด้วย จักเป็นพระคุณอย่างสูง)
อะไรกัน ขึ้นค่ารถเมล์กันเร็วยังกะการ up level ในเกมส์
ได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วทำใจ
ชีวิตผมผูกพันกับรถเมล์ตั้งแต่จำความได้
ตอนเด็กๆจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ารถเมล์คันใหญ่มี 2 สี คือครีมแดงกับครีมน้ำเงิน ตอนนั้นครีมน้ำเงินจะเก็บตังค์ถูกกว่า (แต่ตอนนี้สลับกัน) และก็มีรถเมล์เล็กสีเขียว
จำได้อีกว่าตั๋วรถเมล์สมัยก่อนสีสวยดี มีหลากสี ไม่เหมือนตอนนี้ที่มีอยู่ไม่กี่สี แถมแพงกว่าเดิมอีกต่างหาก จ่ายแพงแถมยังไม่ได้อารมณ์ศิลปะอีก (ล้อเล่นนะครับ )
เคยรู้สึกว่ากระเป๋ารถเมล์เป็นงานที่ท้าทายและดูเท่ห์มาก แถมยังรวยอีกเพราะตอนเด็กคิดว่ากระเป๋ารถเมล์เก็บค่าโดยสารมาเป็นเงินของตัวเอง ในกระบอกตั๋วก็มีเงินอยู่เยอะด้วย
ตอนนี้มานึกๆดูก็ขำตัวเองดีครับ
ตอนเป็นเด็กเล็กๆพอก้าวขาพ้นบันไดขึ้นมาเหยียบตัวรถก็จะมีคนใจดีสะกิดเรียกพร้อมลุกให้นั่ง ผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณแล้วเข้าไปนั่งแทนที่ เจอคนใจดีแบบนี้บ่อยๆเข้าจนเป็นประสบการณ์ฝังใจจนถึงวันนี้ว่า ถ้าเจอเด็กๆขึ้นรถเมล์ควรเสียสละให้พวกเขาอย่างที่เราเคยได้รับมา
โรงเรียนประถมของผมเคยสอนว่า เวลาลงจากรถเมล์แล้วให้ขอบคุณคนขับและกระเป๋าดังๆ ในฐานะที่ไม่เก็บค่าโดยสารนักเรียน
ตอนนั้นผมก็ทำบ้าง แต่ไม่ค่อยได้ทำเป็นส่วนใหญ่ เพราะอะไรเหรอครับ
ก็เพราะมัวแต่อายนี่แหละ ตอนเด็กๆผมขี้อายมากๆเลย ไม่ค่อยมั่นใจตัวเองเท่าไหร่ เสียดายอยู่เหมือนกันที่ไม่ค่อยได้ทำ
แต่ตอนนี้ทำไมความ(ละ)อายมันลดลงไปก็ไม่รู้
ลองคิดๆดูก็เป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้กับเด็กๆ พวกเขาจะได้รู้จักขอบคุณคนที่ช่วยเหลือแม้ว่าจะเป็นคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนและแม้จะไม่มีโอกาสที่จะตอบแทน แต่อย่างน้อยก็ยังได้สร้างจิตสำนึกของการเป็นผู้รับที่ดีให้เกิดขึ้น
ไม่ใช่เป็นฝ่ายเอาแต่รับอย่างหน้าด้านๆอยู่ข้างเดียว เหมือนบุคคลบางจำพวกที่เชิดหัวชูคออย่างไม่สะทกสะท้านในบ้านเรา
พอโตขึ้นมาหน่อย คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ไปรับส่งเหมือนตอนเด็กๆ
ผมยังจำได้ถึงความรู้สึกที่ขึ้นรถเมล์เองเป็นครั้งแรก
"ดีใจจัง นั่งไม่เลยป้าย เราทำได้แล้ว"
เหมือนกับว่าเด็กคนหนึ่งประกอบภารกิจยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าเพื่อนคนอื่นๆจะทำภารกิจนี้สำเร็จมาก่อนเรานานแล้ว แต่ก็เอาน่า วันนี้เราทำได้ วันนี้เป็นวันของเรา
มีวันแรก ก็ย่อมมีวันต่อๆไป ถ้าไม่เริ่มว้นนี้"วันของเรา"จะมาถึงเมื่อไหร่
ถึงจะทำได้ช้าหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ
มาวันนี้ผมได้ไปเที่ยวหลายๆที่ในกรุงเทพฯด้วยรถเมล์
หลายที่ไม่เคยไปมาก่อน หลายที่ได้แต่นั่งรถผ่านไป (ไว้จะมาเล่าว่าไปเที่ยวไหนมาบ้าง)
ถ้าเป็นตอนเด็กๆผมอาจจะกลัวหลงทาง แต่ตอนนี้ถ้ามัวแต่มากลัวกับอะไรที่มันอยู่ในความคิดของเราก็คงจะพลาดอะไรดีๆหลายอย่าง
หลายคนคิดว่านั่งรถเมล์ออกจะร้อน เหม็นควัน บางทีไม่ได้นั่งได้แต่ยืนมันตั้งแต่ขึ้นจนลงรถ และบางครั้งยังเข้าทำนองรถน้อย รอนาน บริการ...(เติมเองตามอัธยาศัยครับ)
ผมไม่เถียงครับ ก็มันเรื่องจริงนี่นา (เชื่อมั้ยครับสายรถเมล์ที่เป็นสายประจำของผม คือสายที่ได้รับความนิยมจากการสำรวจเป็นอันดับ 1 ในใจของคนกรุงมาหลายสมัยซ้อน โดยที่ยังไม่มีใครโค่นตำแหน่งนี้ลงได้ คงพอจะเดาได้นะครับว่าเป็นสายอะไร) แต่ว่ารถเมล์ที่บริการดีก็มีอยู่เยอะนะ กระเป๋าบริการดี คนขับขับรถไม่กระชากหัวใจ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกัน
แต่โดยส่วนตัว ผมว่าผมได้อะไรมาจากการขึ้นรถเมล์อยู่บ้างเหมือนกัน
ได้ดูได้เห็นอะไรหลายๆอย่างรอบตัวขณะที่รถเมล์กำลังวิ่งหรือขณะติดไฟแดง ไม่ว่าจะเป็นชีวิตแม่ค้าริมทางที่ต้องวิ่งหนีเทศกิจ แผงพระเครื่องแบกะดินที่อยู่ติดกับแผงหนังสือปลุกใจเสือป่า ทีมโฆษณาสินค้าออกใหม่ที่มีสาวสวยเป็น presenter เป็นต้น
อย่างน้อยๆก็ได้เห็นความเป็นไปในสังคมเรา
ได้เห็นลีลาของอดีตฮีโร่ในใจผมตะโกนเรียกและไล่ผู้โดยสารให้อยู่ในตำแหน่งที่คุณพี่เขาเห็นสมควร
เคยมีพี่กระเป๋าอยู่คนหนึ่งเรียกลูกค้าได้โดนใจผมมาก จำได้ว่ารถจอดอยู่หน้า JJ ตอนเย็นวันศุกร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การจราจรคล่องตัวดุจลำไส้ของคนท้องผูก พี่เขาใช้รยางค์ข้างซ้ายยึดเกาะตัวรถไว้ พร้อมกับห้อยส่วนที่เหลือของร่างกายออกมาตะโกนว่า
"รถติดขึ้นได้เลยเพ่ 3 คน 10 บาท 4 คน 15" (ตอนนั้นค่าโดยสารอยู่ที่ 5 บาท)
เพิ่งจะเห็นการลดแลกแจกแถมของรถเมล์เป็นครั้งแรก
น่าเสียดายที่มีคนขึ้นอยู่แค่ 2 คน ผมเลยไม่รู้ว่าถ้ามากัน 3 คน พี่เขาจะเก็บเงินตามที่บอกไว้หรือเปล่า
ได้เห็นความสัมพันธ์อันสนิทสนมระหว่างตำรวจจราจรกับคนขับ จะไม่ดีได้ไงครับ ทุกครั้งที่คุณตำรวจเรียกรถให้จอดก็จะเข้ามาพูดคุยสอบถามพี่คนขับกันอย่างกุ๊กๆกิ๊กๆกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคุณตำรวจก็ส่งกระดาษประกาศเกียรติคุณให้พี่คนขับ 1 แผ่น พอคุณตำรวจจากไป ทั้งพี่คนขับและพี่กระเป๋าต่างพากันสรรเสริญสดุดีคุณตำรวจกันอย่างเมามันด้วยเสียงอันดัง เพื่อให้ผู้โดยสารรู้สึกทราบซึ้งตามไปด้วย (ระหว่างการสดุดีอาจมีสัตว์เลื้อยคลานมาเพ่นพ่านบนรถเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในการนี้จำนวนไม่น้อย)
ฯลฯ นับไม่ถ้วน
พอถึงที่หมายก็ไม่มีอะไรมากครับ เดินเที่ยวไป พอเหนื่อยหนำใจก็ขึ้นรถกลับ
สำหรับผมแล้วรถเมล์ให้อะไรกับผมหลายอย่าง อาจจะพูดได้ว่าได้ชมละครแห่งชีวิตจริง (ไม่ใช่หนังสดนะครับ) ไม่ว่าจะเป็นในรถหรือนอกรถ
ระยะเวลาในการรับชมก็ตั้งแต่ 15, 30, 60 นาที จนถึง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็พอๆกับละครโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ซีรีส์จากต่างประเทศ
ดูละครแล้วย้อนดูตัว
ผมชอบคิดเล่นๆนะครับว่า ถ้าซักวันผมถูกเทศกิจไล่จับจะทำยังไง หรือเวลาถูกพี่ตำรวจเข้าถึงอย่างไม่รู้ตัวจะสนทนาเจรจากับพี่เขาอย่างไร
การเอาประสบการณ์คนอื่นที่เราได้รับรู้มาปรับใช้ ผมว่าเป็นการเรียนรู้ทางลัดที่ได้รู้จริงเห็นจริงและจะได้ทำจริงถ้าเราได้ลองทำ
ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ไม่ต้องแย่งกันโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเพื่อจองที่นั่งเรียนพิเศษเหมือนตอนเรียนม.ปลาย
ถ้าเทียบกับค่าโดยสาร 7 บาทในขณะนี้ ก็พอจะหยวนๆให้นะ (แต่ก็ยังหวังว่ามันคงจะไม่แพงไปกว่านี้)
ทุกสิ่งรอบตัวมีคุณค่าในตัวเองเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะเห็นมันหรือไม่ เห็นในด้านไหนและเห็นมากน้อยเพียงใด
ไม่มีสิ่งใดที่ไร้ประโยชน์ เพราะแม้แต่นาฬิกาที่ตายแล้วยังบอกเวลาได้ตรงถึง 2 ครั้งใน 1 วัน (ไม่ทราบนามผู้แต่ง)
ชอบประโยคข้างบนมากครับ หวังว่าทุกคนคงได้เห็นสิ่งดีๆที่อยู่ใกล้ตัวกันนะครับ สวัสดีครับ
Create Date : 26 ตุลาคม 2548 |
Last Update : 26 ตุลาคม 2548 22:23:26 น. |
|
2 comments
|
Counter : 586 Pageviews. |
|
|
|
โดย: azzurrini วันที่: 12 พฤศจิกายน 2548 เวลา:22:28:55 น. |
|
|
|
| |
|
|
พูดถึงรถเมล์จริงๆเราก็ขึ้นบ่อยนะ แล้วก็ชอบแอบสังเกตคนบนรถเมล์ มีวันนึงเห็นผู้ชาย2คนเกี่ยงกันนั่ง เห็นแล้วแอบรู้สึกอ่ะ ปกติเห็นจะมีแต่คนแย่งกันนั่งมากกว่า
บนรถเมล์นี่ก็มีอะไรแปลกๆหลายเรื่องเหมือนกันนะ