Group Blog
 
 
ตุลาคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
26 ตุลาคม 2548
 
All Blogs
 
ชีวิตบนรถเมล์

"รัฐบาลประกาศลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลทั่วประเทศ"

"ขสมก.และรถร่วมพร้อมใจกันขึ้นค่าโดยสาร"

ฮ่วย !!

ถ้าผมเป็นคุณยายอายุ 60-70 ปี คงจะอุทานไปแล้วว่า "อกอีแป้นจะแตก" (อีแป้นเป็นใคร ผู้รู้กรุณาบอกผมด้วย จักเป็นพระคุณอย่างสูง)

อะไรกัน ขึ้นค่ารถเมล์กันเร็วยังกะการ up level ในเกมส์

ได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วทำใจ

ชีวิตผมผูกพันกับรถเมล์ตั้งแต่จำความได้

ตอนเด็กๆจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ารถเมล์คันใหญ่มี 2 สี คือครีมแดงกับครีมน้ำเงิน ตอนนั้นครีมน้ำเงินจะเก็บตังค์ถูกกว่า (แต่ตอนนี้สลับกัน) และก็มีรถเมล์เล็กสีเขียว

จำได้อีกว่าตั๋วรถเมล์สมัยก่อนสีสวยดี มีหลากสี ไม่เหมือนตอนนี้ที่มีอยู่ไม่กี่สี แถมแพงกว่าเดิมอีกต่างหาก จ่ายแพงแถมยังไม่ได้อารมณ์ศิลปะอีก (ล้อเล่นนะครับ )

เคยรู้สึกว่ากระเป๋ารถเมล์เป็นงานที่ท้าทายและดูเท่ห์มาก แถมยังรวยอีกเพราะตอนเด็กคิดว่ากระเป๋ารถเมล์เก็บค่าโดยสารมาเป็นเงินของตัวเอง ในกระบอกตั๋วก็มีเงินอยู่เยอะด้วย

ตอนนี้มานึกๆดูก็ขำตัวเองดีครับ

ตอนเป็นเด็กเล็กๆพอก้าวขาพ้นบันไดขึ้นมาเหยียบตัวรถก็จะมีคนใจดีสะกิดเรียกพร้อมลุกให้นั่ง ผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณแล้วเข้าไปนั่งแทนที่ เจอคนใจดีแบบนี้บ่อยๆเข้าจนเป็นประสบการณ์ฝังใจจนถึงวันนี้ว่า ถ้าเจอเด็กๆขึ้นรถเมล์ควรเสียสละให้พวกเขาอย่างที่เราเคยได้รับมา

โรงเรียนประถมของผมเคยสอนว่า เวลาลงจากรถเมล์แล้วให้ขอบคุณคนขับและกระเป๋าดังๆ ในฐานะที่ไม่เก็บค่าโดยสารนักเรียน

ตอนนั้นผมก็ทำบ้าง แต่ไม่ค่อยได้ทำเป็นส่วนใหญ่ เพราะอะไรเหรอครับ

ก็เพราะมัวแต่อายนี่แหละ ตอนเด็กๆผมขี้อายมากๆเลย ไม่ค่อยมั่นใจตัวเองเท่าไหร่ เสียดายอยู่เหมือนกันที่ไม่ค่อยได้ทำ

แต่ตอนนี้ทำไมความ(ละ)อายมันลดลงไปก็ไม่รู้

ลองคิดๆดูก็เป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้กับเด็กๆ พวกเขาจะได้รู้จักขอบคุณคนที่ช่วยเหลือแม้ว่าจะเป็นคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนและแม้จะไม่มีโอกาสที่จะตอบแทน แต่อย่างน้อยก็ยังได้สร้างจิตสำนึกของการเป็นผู้รับที่ดีให้เกิดขึ้น

ไม่ใช่เป็นฝ่ายเอาแต่รับอย่างหน้าด้านๆอยู่ข้างเดียว เหมือนบุคคลบางจำพวกที่เชิดหัวชูคออย่างไม่สะทกสะท้านในบ้านเรา

พอโตขึ้นมาหน่อย คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ไปรับส่งเหมือนตอนเด็กๆ

ผมยังจำได้ถึงความรู้สึกที่ขึ้นรถเมล์เองเป็นครั้งแรก

"ดีใจจัง นั่งไม่เลยป้าย เราทำได้แล้ว"

เหมือนกับว่าเด็กคนหนึ่งประกอบภารกิจยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าเพื่อนคนอื่นๆจะทำภารกิจนี้สำเร็จมาก่อนเรานานแล้ว แต่ก็เอาน่า วันนี้เราทำได้ วันนี้เป็นวันของเรา

มีวันแรก ก็ย่อมมีวันต่อๆไป ถ้าไม่เริ่มว้นนี้"วันของเรา"จะมาถึงเมื่อไหร่

ถึงจะทำได้ช้าหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำ

มาวันนี้ผมได้ไปเที่ยวหลายๆที่ในกรุงเทพฯด้วยรถเมล์

หลายที่ไม่เคยไปมาก่อน หลายที่ได้แต่นั่งรถผ่านไป (ไว้จะมาเล่าว่าไปเที่ยวไหนมาบ้าง)

ถ้าเป็นตอนเด็กๆผมอาจจะกลัวหลงทาง แต่ตอนนี้ถ้ามัวแต่มากลัวกับอะไรที่มันอยู่ในความคิดของเราก็คงจะพลาดอะไรดีๆหลายอย่าง

หลายคนคิดว่านั่งรถเมล์ออกจะร้อน เหม็นควัน บางทีไม่ได้นั่งได้แต่ยืนมันตั้งแต่ขึ้นจนลงรถ และบางครั้งยังเข้าทำนองรถน้อย รอนาน บริการ...(เติมเองตามอัธยาศัยครับ)

ผมไม่เถียงครับ ก็มันเรื่องจริงนี่นา (เชื่อมั้ยครับสายรถเมล์ที่เป็นสายประจำของผม คือสายที่ได้รับความนิยมจากการสำรวจเป็นอันดับ 1 ในใจของคนกรุงมาหลายสมัยซ้อน โดยที่ยังไม่มีใครโค่นตำแหน่งนี้ลงได้ คงพอจะเดาได้นะครับว่าเป็นสายอะไร) แต่ว่ารถเมล์ที่บริการดีก็มีอยู่เยอะนะ กระเป๋าบริการดี คนขับขับรถไม่กระชากหัวใจ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกัน

แต่โดยส่วนตัว ผมว่าผมได้อะไรมาจากการขึ้นรถเมล์อยู่บ้างเหมือนกัน

ได้ดูได้เห็นอะไรหลายๆอย่างรอบตัวขณะที่รถเมล์กำลังวิ่งหรือขณะติดไฟแดง ไม่ว่าจะเป็นชีวิตแม่ค้าริมทางที่ต้องวิ่งหนีเทศกิจ แผงพระเครื่องแบกะดินที่อยู่ติดกับแผงหนังสือปลุกใจเสือป่า ทีมโฆษณาสินค้าออกใหม่ที่มีสาวสวยเป็น presenter เป็นต้น

อย่างน้อยๆก็ได้เห็นความเป็นไปในสังคมเรา

ได้เห็นลีลาของอดีตฮีโร่ในใจผมตะโกนเรียกและไล่ผู้โดยสารให้อยู่ในตำแหน่งที่คุณพี่เขาเห็นสมควร

เคยมีพี่กระเป๋าอยู่คนหนึ่งเรียกลูกค้าได้โดนใจผมมาก จำได้ว่ารถจอดอยู่หน้า JJ ตอนเย็นวันศุกร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การจราจรคล่องตัวดุจลำไส้ของคนท้องผูก พี่เขาใช้รยางค์ข้างซ้ายยึดเกาะตัวรถไว้ พร้อมกับห้อยส่วนที่เหลือของร่างกายออกมาตะโกนว่า

"รถติดขึ้นได้เลยเพ่ 3 คน 10 บาท 4 คน 15" (ตอนนั้นค่าโดยสารอยู่ที่ 5 บาท)

เพิ่งจะเห็นการลดแลกแจกแถมของรถเมล์เป็นครั้งแรก

น่าเสียดายที่มีคนขึ้นอยู่แค่ 2 คน ผมเลยไม่รู้ว่าถ้ามากัน 3 คน พี่เขาจะเก็บเงินตามที่บอกไว้หรือเปล่า

ได้เห็นความสัมพันธ์อันสนิทสนมระหว่างตำรวจจราจรกับคนขับ จะไม่ดีได้ไงครับ ทุกครั้งที่คุณตำรวจเรียกรถให้จอดก็จะเข้ามาพูดคุยสอบถามพี่คนขับกันอย่างกุ๊กๆกิ๊กๆกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคุณตำรวจก็ส่งกระดาษประกาศเกียรติคุณให้พี่คนขับ 1 แผ่น พอคุณตำรวจจากไป ทั้งพี่คนขับและพี่กระเป๋าต่างพากันสรรเสริญสดุดีคุณตำรวจกันอย่างเมามันด้วยเสียงอันดัง เพื่อให้ผู้โดยสารรู้สึกทราบซึ้งตามไปด้วย (ระหว่างการสดุดีอาจมีสัตว์เลื้อยคลานมาเพ่นพ่านบนรถเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในการนี้จำนวนไม่น้อย)

ฯลฯ นับไม่ถ้วน

พอถึงที่หมายก็ไม่มีอะไรมากครับ เดินเที่ยวไป พอเหนื่อยหนำใจก็ขึ้นรถกลับ

สำหรับผมแล้วรถเมล์ให้อะไรกับผมหลายอย่าง อาจจะพูดได้ว่าได้ชมละครแห่งชีวิตจริง (ไม่ใช่หนังสดนะครับ) ไม่ว่าจะเป็นในรถหรือนอกรถ

ระยะเวลาในการรับชมก็ตั้งแต่ 15, 30, 60 นาที จนถึง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็พอๆกับละครโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ซีรีส์จากต่างประเทศ

ดูละครแล้วย้อนดูตัว

ผมชอบคิดเล่นๆนะครับว่า ถ้าซักวันผมถูกเทศกิจไล่จับจะทำยังไง หรือเวลาถูกพี่ตำรวจเข้าถึงอย่างไม่รู้ตัวจะสนทนาเจรจากับพี่เขาอย่างไร

การเอาประสบการณ์คนอื่นที่เราได้รับรู้มาปรับใช้ ผมว่าเป็นการเรียนรู้ทางลัดที่ได้รู้จริงเห็นจริงและจะได้ทำจริงถ้าเราได้ลองทำ

ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ ไม่ต้องแย่งกันโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเพื่อจองที่นั่งเรียนพิเศษเหมือนตอนเรียนม.ปลาย

ถ้าเทียบกับค่าโดยสาร 7 บาทในขณะนี้ ก็พอจะหยวนๆให้นะ (แต่ก็ยังหวังว่ามันคงจะไม่แพงไปกว่านี้)

ทุกสิ่งรอบตัวมีคุณค่าในตัวเองเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะเห็นมันหรือไม่ เห็นในด้านไหนและเห็นมากน้อยเพียงใด

ไม่มีสิ่งใดที่ไร้ประโยชน์ เพราะแม้แต่นาฬิกาที่ตายแล้วยังบอกเวลาได้ตรงถึง 2 ครั้งใน 1 วัน (ไม่ทราบนามผู้แต่ง)

ชอบประโยคข้างบนมากครับ หวังว่าทุกคนคงได้เห็นสิ่งดีๆที่อยู่ใกล้ตัวกันนะครับ สวัสดีครับ







Create Date : 26 ตุลาคม 2548
Last Update : 26 ตุลาคม 2548 22:23:26 น. 2 comments
Counter : 586 Pageviews.

 
ตอนแรกนึกว่าหนุ่มที่ไหนแวะมาอ่านบล็อคซะอีก อิอิ ยิ่งเห็น friend's blog ด้านขวาในบล็อคนี้แล้วยิ่งตกใจใหญ่เลย

พูดถึงรถเมล์จริงๆเราก็ขึ้นบ่อยนะ แล้วก็ชอบแอบสังเกตคนบนรถเมล์ มีวันนึงเห็นผู้ชาย2คนเกี่ยงกันนั่ง เห็นแล้วแอบรู้สึกอ่ะ ปกติเห็นจะมีแต่คนแย่งกันนั่งมากกว่า

บนรถเมล์นี่ก็มีอะไรแปลกๆหลายเรื่องเหมือนกันนะ


โดย: โยเกิร์ตรสสตอว์เบอร์รี่ วันที่: 27 ตุลาคม 2548 เวลา:0:03:13 น.  

 
ตอนเราเด็กๆจำได้ว่าไม่ชอบเลยเวลามีคนลุกให้นั่ง รู้สึกอยากยืนอยู่กับพ่อแม่มากกว่า ถ้าให้คิดตอนนี้ คงเป็นความกลัวคนแปลกหน้าละมั้ง จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่นะ แต่มันจะออกมาในรูปของความอึดอัดซะมากกว่า

เห็นด้วยมากๆเลย ว่าทุกสิ่งมีประโยชน์ในตัวมัน ขึ้นอยู่กับคนที่จะเลือกมองมุมไหน ดังนั้น เรามาช่วยกันมองหาข้อดีของสิ่งๆต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ รวมไปถึงคนต่างๆ ดีกว่าเนาะ

ปล. ชอบเวลาบอลเขียน blog นะ มันแสดงถึงความเป็นคนช่างคิดดี และก็ชอบการใช้ภาษาด้วย ชอบมากกว่าเวลาคุยกับบอลอีกแฮะ ล้อเล่นจ้า


โดย: azzurrini วันที่: 12 พฤศจิกายน 2548 เวลา:22:28:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Shadow Dio
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Shadow Dio's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.